Skip to content

A Will Eternal 248

บทที่ 248 ไปไกลๆ เลย อย่าตามข้ามานะ

ป๋ายเสี่ยวฉุนอึ้งไปครู่หนึ่ง มองลำแสงทะลุฟ้าที่อยู่เบื้องหน้า โดยเฉพาะในลำแสงนั้นยังมีกุญแจสีเลือดดอกหนึ่งลอยอยู่ ราวกับว่าแค่เขายกมือก็สามารถคว้ามันเอาไว้ได้

ป๋ายเสี่ยวฉุนเบิกตากว้าง สำลักลมหายใจ ไม่ว่าอย่างไรเขาก็คิดไม่ถึงว่าตนก็แค่เลือกทิศทางมั่วๆ แล้วห้อตะบึงไป แต่ดันมาเจอกุญแจดอกแรกเสียได้

เวลาเดียวกันนี้ เนื่องจากการปรากฏตัวของลำแสง เซวี่ยเหมยและซ่งจวินหว่านที่กำลังประมือกันกลางอากาศห่างออกไปไกลก็หยุดชะงักไปครู่หนึ่ง หันขวับมามอง ตามมาติดๆ ด้วยผู้พิทักษ์ของสองฝ่ายที่แยกย้ายกันไปคนละทิศละทาง ไม่ว่าอยู่ในจุดใด ทุกคนล้วนหยุดชะงักแล้วหันไปมองที่ตั้งของลำแสงนี้อย่างพร้อมเพรียงกัน

บุคคลเหล่านี้ที่ถูกเลือกมาเป็นผู้พิทักษ์ แต่ละคนล้วนมีฝีมือไม่ธรรมดา แน่นอนว่าย่อมรู้ว่ากุญแจดอกแรกเอามาครองได้ยากที่สุด เวลานี้ต่างฝ่ายต่างลังเลเล็กน้อย ทว่าสุดท้ายก็ยังมีคนลงมือ ไม่นานทุกคนก็บินดิ่งไปยังที่ตั้งของลำแสง

และปราณดุร้ายระลอกแล้วระลอกเล่าก็ระเบิดตูมตาม

“กุญแจดอกนี้ ใครกล้าแย่งข้า ก็อย่ามาโทษว่าข้าผู้แซ่ซ่งสังหารคน!” ซ่งเชวียคำรามเสียงแหบห้าว พลังในการรบจากจุดสุดยอดของชีพจรดินแปดครั้งปะทุขึ้นอย่างน่าตะลึง

“คนอื่นกลัวเจ้าซ่งเชวีย แต่ข้าโจวหัวไม่กลัว!”

“แย่งกุญแจเลือด!” หลังจากเสียงมากมายที่ดังออกมา การเข่นฆ่าบนทะเลทรายร้างสีเลือดพลันบังเกิดขึ้นในนาทีนี้

“บัดซบ ข้าต้องรีบไปแล้ว!” ป๋ายเสี่ยวฉุนร่างสั่น ได้ยินเสียงจากคนรอบด้าน และก็มองเห็นเงาร่างหลายสิบเงาที่พุ่งเข้ามาหาตน ป๋ายเสี่ยวฉุนสำลักลมหายใจ ถอยหลังเร็วจี๋

ทว่าชั่วขณะที่เขาก้าวถอยหลังนั้นเอง…ป๋ายเสี่ยวฉุนค้นพบอย่างไม่อยากเชื่อว่า กุญแจสีเลือดนั่นสามารถขยับได้…แถมยัง…พุ่งเข้ามาหาเขาด้วย

“สวรรค์ กุญแจนี่ขยับได้ยังไง!” ป๋ายเสี่ยวฉุนใกล้จะร้องไห้อยู่รอมร่อ ยังดีที่ตอนนี้มีผู้พิทักษ์ของเซวี่ยเหมยคนหนึ่งอยู่ห่างไปไม่ไกล เขาจึงกระโจนเข้าใส่ทันควัน หลังจากมองเห็นกุญแจสีเลือดนั่น ไอสังหารของเขาก็ตลบอบอวล ทว่ากลับไม่คิดแย่งชิงกุญแจก่อน แต่พุ่งเข้าสังหารป๋ายเสี่ยวฉุนแทน

นักพรตสร้างฐานรากช่วงท้ายคนนี้แค่ลงมือก็ใช้กระบี่โลหิตยักษ์ กระบี่ตวัดฉับลงมา ปิดผนึกสี่ด้าน นัยน์ตาเต็มไปด้วยไอสังหาร ตอนที่มองมายังป๋ายเสี่ยวฉุนคล้ายว่ากำลังกัดฟันอยู่ด้วย

“เจ้าๆๆ…เจ้ารังแกกันเกินไปแล้ว เห็นกุญแจกลับไม่หยิบไป ดันจะมาฆ่าข้า!” ป๋ายเสี่ยวฉุนโมโหปรี๊ดทันใด เขามองออกว่ากระบี่นี้อีกฝ่ายลงมือด้วยพลังทั้งหมดที่มี ลักษณะพลังไม่ธรรมดา โดยเฉพาะจิตสังหารที่อยู่บนกระบี่โลหิต เห็นได้ชัดว่าคิดจะสังหารให้สิ้นซากในการฟันครั้งเดียว

ดวงตาป๋ายเสี่ยวฉุนหดตัวลง ประกายเย็นเยียบเปล่งแสงวาบ หลังจากเขามาอยู่ที่สำนักธาราโลหิต แม้จะลงมือกับคนอื่นน้อยครั้งนัก ทว่าการเพิ่มพูนของพลังในการรบกลับไต่ไปถึงระดับน่าหวาดกลัวจนถึงขีดสุด เวลานี้เมื่อกระบี่นั้นฟันฉับลงมาบนหัว ป๋ายเสี่ยวฉุนพลันยกเท้าขวากระทืบลงไปบนพื้นอย่างแรงหนึ่งครั้ง ยืมใช้พลังนี้กระโดดผลุงขึ้นด้วยเสียงดังเลือนลั่น ความเร็วนั้นทำให้ร่างเขากลายมาเป็นเงาพร่าเลือน พอหลบกระบี่นั้นได้ก็มาปรากฏอยู่กลางอากาศข้างกายผู้พิทักษ์คนนั้นของเซวี่ยเหมย แล้วจึงพุ่งชนอย่างแรงโดยที่ไม่แม้แต่จะหยุดคิด

และนี่ก็คือ…ชนาเขย่าภูเขา!

นั่นคือตบะสร้างฐานรากช่วงกลางภายใต้ฐานรากวิถีฟ้า ภายใต้การตกผลึกของมหาสมุทรวิญญาณสามชั้น นั่นคือพลังกล้ามเนื้อของผีร้ายหกตนแห่งบทสองของเนื้อคงกระพัน ทั้งในเวลานี้ยังร่ายวิชาชนาเขย่าภูเขาซึ่งเป็นเวทลับของบทมิวางวายออกมา อานุภาพเกรียงไกรระเบิดออกมาอีกหลายต่อหลายเท่า ทำให้ยามนี้ร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนแทบจะใกล้เคียงกับสัตว์ร้ายที่มีร่างเป็นคนตนหนึ่ง!

เสียงตูมดังหนึ่งครั้ง เสียงนี้สั่นสะเทือนไปรอบด้าน แม้จะเป็นเสียงอื้ออึง แต่กลับสร้างความรู้สึกตื่นตกใจให้กับผู้คน ยากที่จะจินตนาการได้ว่าคนทั้งสองชนเข้าด้วยกันแล้วเกิดเสียงเช่นนี้ได้ ผู้ที่ถูกชนจะตกอยู่ในสภาพน่าสังเวชขนาดไหน

เสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดดังก้องไปทั่วทิศ ขณะเดียวกันผู้พิทักษ์ของเซวี่ยเหมยคนนั้นก็กระอักเลือดออกมาจากปากคำใหญ่ อวัยวะชิ้นส่วนภายในจำนวนไม่น้อยแตกออกเป็นเสี่ยงๆ อาภรณ์ด้านหลังก็ยิ่งพองนูนขึ้นมา ใบหน้าแดงฉานในชั่วพริบตา เสียงเปรี๊ยะๆ ดังเบาๆ แต่กลับดังออกมาอย่างต่อเนื่องจากในกายของคนผู้นี้

ร่างของเขาถูกชนจนกระเด็นออกไป เบื้องหน้าของเขาพร่าเลือน ทุกอย่างกลายมาเป็นสีดำสนิท บัดนี้แม้แต่หัวสมองของเขาก็ยังขาวโพลน น่าเสียดายที่ความขาวโพลนนี้ดำรงอยู่ได้ไม่นานนักก็กลายมาเป็นความว่างเปล่าอย่างรวดเร็ว

ท่ามกลางเสียงตูมตามดังสนั่น คนหลายสิบคนที่บินทะยานมายังจุดนี้ล้วนมองภาพที่ทำให้พวกเขาหนังหัวชาดิกด้วยความตะลึงลาน ผู้พิทักษ์ที่ถูกป๋ายเสี่ยวฉุนพุ่งชน ร่างของเขาซึ่งลอยอยู่กลางอากาศได้ไม่นานก็พลัน…ระเบิดพังทลาย!

นั่นคือเศษเล็กเศษน้อยของกระดูก นั่นคือการกระจัดกระจายของเลือดและเนื้อ นั่นคือวิญญาณที่แตกสลายกลายเป็นเถ้าธุลี!

เสียงยังคงดังแว่ว ทว่าผู้พิทักษ์ของเซวี่ยเหมยกลับสูญสิ้นทั้งร่างกายและจิตวิญญาณ!

หากเปลี่ยนไปเป็นสำนักอื่น การกระทำเช่นนี้มากพอที่จะสยบขวัญทุกคนได้ ทว่านี่คือสำนักธาราโลหิต ลูกศิษย์ของสำนักธาราโลหิตแต่ละคนไม่เพียงแต่เหี้ยมโหดดุร้าย ทั้งยังอำมหิตป่าเถื่อน ไม่นานพวกผู้พิทักษ์ของเซวี่ยเหมยก็ฟื้นคืนสติจากความหวาดกลัวก่อนหน้านั้น พริบตาเดียวก็มีคนสามคนบินเข้ามาใกล้อย่างรวดเร็ว ตรงเข้าหาป๋ายเสี่ยวฉุน

ทั้งสามคนนี้ล้วนมีตบะสร้างฐานรากช่วงท้าย ทั้งหนึ่งในนั้นยังอยู่ในขั้นสมบูณร์แบบของสร้างฐานราก เมื่อลงมือ กระบี่โลหิตสามเล่มสูงใหญ่เทียมฟ้าเผยกาย เสียงดังครั่นครืนไปสี่ทิศ ทว่าคนที่น่ากลัวที่สุดกลับไม่ใช่นักพรตสร้างฐานรากขั้นสมบูรณ์แบบผู้นั้น แต่เป็นชายวัยกลางคนสร้างฐานรากช่วงท้ายคนหนึ่ง ชายผู้นี้มีรูปหน้ายาว ไว้หนวดเครา สีหน้าไร้อารมณ์ ทว่าตอนที่ลงมือ กลางฝ่ามือของเขากลับมีธูปก้านหนึ่งแปลงกายออกมา!

ธูปหอมนี้จุดตัวขึ้นมาได้โดยที่ไม่มีลม ควันเป็นสายลอยกระจายไปทั่ว ก่อเกิดเป็นปราณระลอกหนึ่งที่ทำให้จิตวิญญาณของป๋ายเสี่ยวฉุนสะท้านไหว ทำให้ตลอดทั้งร่างของเขาส่งวิกฤตความเป็นความตายที่รุนแรงออกมา ราวกับเลือดเนื้อทุกชุ่นของเขากำลังกรีดร้องบอกกับเขาว่าธูปก้านนี้อันตรายอย่างถึงที่สุด

ไม่เพียงแต่ป๋ายเสี่ยวฉุนเท่านั้นที่รู้สึกเช่นนี้ คนอื่นๆ ที่อยู่รอบด้านต่างก็พากันหน้าเปลี่ยนสี…

“คนผู้นี้คือหยางหงอู่! นี่นะหรือของล้ำค่าที่ซ่งจวินหว่านพูดถึง!!” ป๋ายเสี่ยวฉุนสำลักลมหายใจ ทว่าเขาก็ต้องหนังหัวชาดิกตามมาติดๆ เพราะเขาสัมผัสได้ทันทีว่าทุกคนที่อยู่รอบด้าน มีคนถึงสี่ห้าคน…ที่คล้ายจะถูกธูปหอมลึกลับนั่นกระตุ้นในเวลาเดียวกัน ทำให้ไม่ว่าจะเป็นในร่างกายของพวกเขา หรือในถุงเก็บของของพวกเขาต่างก็ระเบิดปะทุออกมา…แม้จะไม่เหมือนกัน แต่กลับทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนจิตวิญญาณสั่นสะเทือนได้เช่นเดิม ความรู้สึกถึงความเป็นความตายยิ่งรุนแรง!

ป๋ายเสี่ยวฉุนอึ้งไปครู่ แม้ว่าตบะของเขาจะไม่ธรรมดา สามารถชนให้สร้างฐานรากช่วงท้ายคนหนึ่งตายได้ แต่ต้องเผชิญหน้ากับคนทั้งสามในเวลาเดียวกัน ไม่เพียงแต่หนึ่งในนั้นคือนักพรตสร้างฐานรากขั้นสมบูรณ์แบบ ทั้งยังมีของวิเศษที่ทำให้เขาอกสั่นขวัญแขวนแบบนี้อีก เขาใจสั่นวาบอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้ รู้สึกว่านักพรตสร้างฐานรากพวกนี้ของสำนักธาราโลหิต ช่างน่ากลัวเกินไปแล้ว

แต่ป๋ายเสี่ยวฉุนก็เข้าใจดี สามารถถูกเลือกมาเป็นผู้พิทักษ์ของเซวี่ยเหมยและซ่งจวินหว่านได้นั้น นักพรตสร้างฐานรากเหล่านี้ต้องเป็นบุคคลโดดเด่นกันทั้งหมด หากไม่ใช่ศิษย์แห่งความภาคภูมิใจในรุ่นปัจจุบัน ก็คือบุคคลที่มีชื่อเสียงของรุ่นอาวุโส

โดยเฉพาะเซียวชิงที่ซ่งจวินหว่านเคยพูดถึงก่อนหน้านี้ นั่นคือบุคคลน่ากลัวที่ถูกคาดการณ์ว่าสามารถฝ่าทะลุรวมโอสถได้ทุกเวลา แต่เป็นเพราะสาเหตุบางประการจึงยังไม่ฝ่าทะลุขั้น

ส่วนของวิเศษ ด้วยสันดานที่ชอบแย่งชิงของสำนักธาราโลหิต แน่นอนว่าย่อมมีมากกว่าลูกศิษย์ของสำนักอื่นๆ

มองเห็นวิกฤตความตาย ป๋ายเสี่ยวฉุนกลัวจนตัวสั่น เพียงแต่ว่าจะให้เสียหน้าไม่ได้ ดังนั้นตอนที่ถอยหลังจึงกล่าวด้วยเสียงหัวเราะเย็นชา

“ข้าผู้แซ่เย่ไม่มีเวลามาเล่นกับพวกเจ้า แต่จะบอกพวกเจ้าไว้อย่างหนึ่ง อย่ามายั่วยุให้ข้าโมโห!” สีหน้าของป๋ายเสี่ยวฉุนมืดทะมึนชั่วร้าย ทว่าในใจกลับรู้สึกว่าประโยคนี้ของตัวเองช่างพูดได้เผด็จการยิ่งนัก สะบัดร่างหนึ่งครั้งความเร็วก็ระเบิดออก กลายร่างเป็นรุ้งยาวบินห่างออกไปไกล

แทบจะชั่วพริบตาเดียวกับที่เขาห่างออกไปไกล กระบี่โลหิตของคนทั้งสามตวัดฉับลงมากลายเป็นการสังหารที่พร้อมเพรียง แม้ว่าป๋ายเสี่ยวฉุนจะหลบได้ ทว่าควันของธูปหอมนั่นกลับยังคงห้อมล้อม ระเบิดคลื่นน่าสยองขวัญไปทั่วด้าน

เมื่อสัมผัสได้ถึงคลื่นนี้เล็กน้อย ความเร็วของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยิ่งเพิ่มพูน พอเขาจากไป ผู้คนที่โอบล้อมกุญแจดอกแรกซึ่งปรากฏอยู่ ณ ที่แห่งนี้ก็เริ่มตรงเข้าประหัตประหารกันทันที เมื่อมีคนคว้าไปครองได้ ทั้งสองฝ่ายต่างก็เริ่มสู้รบกันอย่างเอาเป็นเอาตาย

แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่ลงมือ ยังมีบางส่วนที่เอาแต่คุมเชิง ไม่ได้เข้าไปร่วมด้วย และยังมีบางส่วนที่ไม่แม้แต่จะเข้ามาที่นี่ พวกเขากระจายตัวกันออกไป เห็นได้ชัดว่ามีความคิดเหมือนป๋ายเสี่ยวฉุนที่มองว่าการแย่งชิงกุญแจดอกแรกนั้นอันตรายมากที่สุด

ป๋ายเสี่ยวฉุนบินห่างออกไปไกล แต่ก็คอยหันกลับไปมองเป็นระยะ มองเห็นว่าคนพวกนั้นแย่งชิงกันอย่างโหดร้ายน่าเวทนา โดยเฉพาะคนพวกนี้ส่วนใหญ่ล้วนสร้างฐานรากช่วงท้าย ลงมือทีก็เอากันถึงตาย ไม่มีการออมมือแม้แต่นิดเดียว แถมแต่ละคนยังเอาอาวุธวิเศษปกป้องชีพออกมาใช้ เสียงดังสะเทือนเลือนลั่นปฐพี ทั้งยังมีคลื่นพลังไร้ที่สิ้นสุดซึ่งใกล้เคียงกับรวมโอสถแผ่กระจายออกมารำไร ทำเอาป๋ายเสี่ยวฉุนที่มองดูหวาดหวั่นพรั่นพรึง

“ต่อให้ข้ามีเนื้อคงกระพัน สู้กันตัวต่อตัวยังพอว่า แต่ถ้าคนมากมายขนาดนั้นรุมข้าคนเดียว ชีวิตน้อยๆ ของข้าคงรักษาไว้ไม่ได้แน่นอน…” ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจเข้าลึก โบยบินเร็วกว่าเดิม ในใจก็รู้สึกปลงอยู่ไม่น้อย ครุ่นคิดว่าเมื่อครู่นี้บางทีอาจเป็นเรื่องบังเอิญที่กุญแจดอกนั้นมาปรากฏอยู่เบื้องหน้าตัวเอง คราวนี้เขาคิดว่าหากบินออกไปไกลอีกหน่อย ก็คงไม่มีปัญหาแล้ว

ส่วนเรื่องการแย่งชิงกุญแจ ป๋ายเสี่ยวฉุนใคร่ครวญว่ารอให้กุญแจดอกที่สี่ปรากฏก่อนแล้วค่อยไปแย่งมาสักดอก บางทีนี่อาจจะเป็นวิธีที่มั่นคงมากที่สุดแล้ว เวลานี้บินออกมาได้เกินครึ่งชั่วยาม หลบทุกคนมาไกลมากแล้ว เขาถึงได้วางใจหาที่นั่งพัก

“คราวนี้ข้าบินมาไกล คงจะไม่เป็นไรแล้วกระมัง กุญแจดอกแรกๆ ใครอยากแย่งก็ไปแย่งกันเอาเองเถอะ ข้าไม่เอาด้วยหรอก” ป๋ายเสี่ยวฉุนคิดว่าครั้งนี้ตนฉลาดมาก ขณะที่กำลังรู้สึกว่าตัวเองช่างปราดเปรื่องยิ่งนัก ชั่วยามที่สองก็มาถึง

แทบจะวินาทีเดียวกับที่ชั่วยามที่สองมาถึง…ป๋ายเสี่ยวฉุนพลันเบิกตากว้าง ร้องอุทานตกใจ เขาเหม่อมองเบื้องหน้าตัวเอง จุดที่แค่เอื้อมมือไปคว้าก็ถึง เวลานี้ปรากฏจุดสีแดงหนึ่งจุด

ในชั่วระยะเวลาไม่กี่ลมหายใจ จุดสีแดงนี้ก็ระเบิดออกเป็นแสงสีแดงจ้าบาดตาทันที กลายเป็นลำแสงสีแดงหนึ่งเส้น พุ่งทะยานสู่ชั้นเมฆ ตลอดทั้งทะเลทรายร้างสีเลือดล้วนสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน

ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกแปลกใจอย่างมาก อดนึกถึงภาพเหตุการณ์ในโลกโลหิตไร้ที่สิ้นสุดขึ้นมาไม่ได้

“เป็นไปไม่ได้กระมัง…ข้าไม่ได้จะเลื่อนขั้นเป็นบุตรโลหิตสักหน่อย ทำไมถึงเป็นอย่างนี้ไปได้…” ป๋ายเสี่ยวฉุนเห็นว่าในแสงสีเลือดเบื้องหน้ามีกุญแจปรากฏขึ้นก็ถอนหายใจหนึ่งครั้ง ร่างถอยกรูดรวดเร็ว ขณะเดียวกันกับที่เขาถอยหลัง กุญแจดอกนี้ก็พุ่งเข้ามาหาเข้าด้วย

“ไปไกลๆ เลย อย่าตามข้ามานะ…”

ป๋ายเสี่ยวฉุนใกล้จะร้องไห้เต็มที พอเขานึกถึงภาพที่สามคนห้าคนเข่นฆ่ากันเมื่อครู่แล้วมีคลื่นน่าหวาดกลัวกระจายออกมา เขาก็ใจหายแวบ รีบบินออกไปเร็วกว่าเดิม

แม้ว่าเขาจะเร็ว แต่กุญแจที่อยู่ด้านหลังเขาก็เร็วพอกัน ไล่กวดป๋ายเสี่ยวฉุนไปทั่วทะเลทรายร้างสีเลือดแห่งนี้…

ไม่นานนักพรตของทั้งสองฝ่ายที่อยู่รอบด้านก็มองเห็นภาพนี้ แต่ละคนตาเหลือกถลน ตะลึงลานกันไปหมด สะท้านสะเทือนไปเพราะภาพเหตุการณ์นี้ รู้สึกเหลือเชื่ออย่างยิ่ง

กุญแจดอกแรก…ปรากฏอยู่ข้างกายป๋ายเสี่ยวฉุน พวกเขารู้สึกว่าเป็นเรื่องบังเอิญ

กุญแจดอกที่สองก็ปรากฏอยู่ข้างกายป๋ายเสี่ยวฉุน พวกเขากัดฟันก็พอจะฝืนคิดได้ว่านี่เป็นเรื่องบังเอิญ แต่…เมื่อกุญแจดอกนี้ถึงขนาดไล่ตามป๋ายเสี่ยวฉุน ทุกคนจึงมองเซ่อไปทันที

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version