บทที่ 25 ผิวหนังเหล็กคงกระพัน!
จนกระทั่งหนึ่งเดือนให้หลัง ข่าวลือหนาหูเกินไป เมื่อแม้แต่เหล่ายายแก่ที่จางต้าพั่งเรียกอย่างสวีเหมยเซียง ผู้นำภูเขาจื่อติ่งก็ยังได้ยินข่าวนั้นด้วย ป๋ายเสี่ยวฉุนและจางต้าพั่งจึงจำเป็นต้องล้มเลิกความคิดที่จะอยู่เขาจื่อติ่งต่อ จากคำแนะนำของจางต้าพั่ง พวกเขาตัดสินจะไปขอคำช่วยเหลือจากแม่นางเฮยซาน
ดังนั้นทั้งสองคนจึงไปที่ภูเขาชิงเฟิง
แม่นางเฮยซานเองก็ผอมลงไปบ้างเล็กน้อย แม้ว่าจะเห็นได้ไม่ชัดเจนนัก แต่ก็เผยให้เห็นถึงเรือนร่างอรชรอ้อนแอ้นอยู่บ้าง ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนและจางต้าพั่งตะลึงงันไปครู่ใหญ่ แทบจะจำไม่ได้ แม้แต่ใบหน้าที่เคยดำคล้ำ มาวันนี้ก็ยังดูมีเสน่ห์น่าพิศมัยขึ้นมาบ้างแล้ว สามารถนึกภาพได้ว่าหากสุดท้ายนางผอมลงอย่างถึงที่สุด แม่นางเฮยซานต้องเป็นหญิงงามอย่างแน่นอน
เพียงแต่พอได้ยินคำว่าไก่หางวิเศษ ดวงตาของแม่นางเฮยซานก็เป็นประกายขึ้นมาทันที
นับตั้งแต่นั้น ไก่หางวิเศษของภูเขาชิงซานก็เริ่มหายไป…
มาถึงตอนนี้ ชื่อเสียงเรียงนามของปีศาจคลั่งขโมยไก่ก็เลื่องลือไปทั่วทั้งชายฝั่งทางทิศใต้แล้ว สะเทือนเลื่อนลั่นไปแปดทิศ ลูกศิษย์ฝ่ายนอกแทบจะไม่มีใครไม่รู้เรื่อง แม้แต่ฝ่ายนักการก็ยังได้ยินข่าว
ยังดีที่ไม่ได้ยืดเยื้อออกไปนานนัก พอพวกผู้เฒ่าเริ่มให้ความสนใจ ปีศาจคลั่งขโมยไก่นี้ก็หายต๋อมเข้ากลีบเมฆไปทันที ไม่เผยตัวออกมาอีก เพียงแต่ไม่ว่าจะเป็นแม่นางเฮยซานหรือจางต้าพั่งก็ล้วนมีร่างกายที่คืนสภาพมาบ้างแล้วเล็กน้อย แม้ว่าจะห่างไกลจากความใหญ่โตมโหฬารที่เคยเป็นอยู่มาก แต่ก็บึกบึนขึ้นมาเยอะ
ส่วนทางป๋ายเสี่ยวฉุนเอง ในที่สุดก็…ทำครบวงจรเก้าเก้าแปดสิบเอ็ดวันแล้ว ไม่รู้สึกหิวโหยรุนแรงเช่นนั้นอีกต่อไป ดังนั้นทั้งสามคนจึงได้ยุติการขโมยไก่ต่อ
วงจรเก้าเก้าแปดสิบเอ็ดวันของวิชาอมตะมิวางวายนี้ แม้ว่าไม่ได้ทำสำเร็จต่อเนื่องกัน แต่สะสมมาเรื่อยๆ จนครบ ผลลัพธ์ที่ได้ก็เหมือนกัน ไม่มีอะไรแตกต่าง
วันนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่ในลานที่พักบนภูเขาเซียงอวิ๋น สีหน้าเคร่งขรึม ผิวหนังทั้งกายมีสีเหล็กกระจายออกมาเป็นระลอก ยิ่งไปกว่านั้นคือมีแสงสีดำเปล่งประกาย ปราณที่แกร่งกร้าวแผ่ออกมาจากผิวหนังของเขา กลายเป็นความรู้สึกอันห้าวหาญ
ความเจ็บปวดและความหิวโหยตลอดเก้าเก้าแปดสิบเอ็ดวันมารวมเข้าด้วยกัน ณ ตอนนี้ กลายเป็นพละกำลังอันน่าตกตะลึง ระเบิดกระจายออกมาอย่างต่อเนื่องอยู่ในร่างกายของป๋ายเสี่ยวฉุน
ทุกการระเบิดล้วนแฝงไปด้วยพลังชีวิตเหลือคณานับ พลังชีวิตเหล่านี้หลอมรวมเข้ากับผิวหนังของป๋ายเสี่ยวฉุน ทำให้ผิวหนังเขายิ่งเป็นสีเหล็กมากขึ้น แสงสีนิลบาดตา ระดับความแข็งแกร่งก็เพิ่มขึ้นมาอีกเป็นเท่าตัว
ถึงขั้นที่ว่าเมื่อเขายืนอยู่ตรงนั้น หากคนนอกมา แวบแรกที่เห็นก็จะคิดว่าเขาคือมนุษย์เหล็กคนหนึ่ง ไม่ใช่มนุษย์ที่มีเลือดเนื้อ
สมองของเขามีเสียงดังตูมตามไม่หยุด การระเบิดเช่นนี้เกิดขึ้นในร่างเขามาสิบเก้าครั้งแล้ว แต่กลับไม่ทิ้งร่องรอยใดๆ เอาไว้ กลับเป็นว่ายิ่งบุกปะทะรวดเร็วขึ้น
ป๋ายเสี่ยวฉุนยืนนิ่งไม่ขยับเขยื้อนราวกับว่าไม่ได้หายใจ แต่เมื่อมองอย่างละเอียดจะสามารถเห็นได้ว่ารูขุมขนตลอดทั้งร่างของเขากำลังหุบเข้าและขยายออกเล็กน้อย พลังฟ้าดินรอบกายเองก็มารวมตัวกันอย่างเงียบเชียบ
“หลังจากระเบิดไปเก้าเก้าแปดสิบเอ็ดครั้งแล้ว ผิวหนังคงกระพันของข้าก็จะสำเร็จในขั้นต้น เข้าสู่ระดับผิวเหล็ก!” ในสมองของป๋ายเสี่ยวมีสูตรของวิชาอมตะมิวางวายลอยมา สมาธิแน่วแน่ ความพยายามทั้งหมดตลอดหนึ่งปีของเขานี้ ไม่ว่าจะเป็นความเจ็บปวดมหาศาลหรือความหิวโหยก็เพื่อ…การระเบิดในครั้งนี้
ตูม!
พลังชีวิตในร่างกายพุ่งปะทะอีกครั้ง สีเหล็กบนผิวหนังของเขายิ่งมากขึ้น พลังชีวิตมุดเข้าไปทั่วทุกส่วนของผิวหนัง ประหนึ่งเริ่มการตีรูปเหล็กที่ผ่านการต่อสู้และทดสอบมาอย่างโชกโชน
เขาในเวลานี้ดุจดั่งอาวุธเทพศักดิ์สิทธิ์หนึ่งชิ้น อีกทั้งการระเบิดแต่ละครั้งนั้นก็คือค้อนที่ตีลงไปแต่ละครั้ง ตูม ตูม ตูม!
ยี่สิบครั้ง สามสิบครั้ง สี่สิบครั้ง สี่สิบแปดครั้ง…
เวลาผันผ่าน สามวันผ่านไป ป๋ายเสี่ยวฉุนยังคงยืนอยู่ตรงนั้น ด้านนอกไม่มีเสียงใดเล็ดลอดให้ได้ยิน แต่หูของเขา กลับได้ยินเสียงกัมปนาทดุจเสียงฟ้าผ่าที่ดังออกมาจากในร่างกายอย่างไม่มีวันหมด
แต่ในเวลานี้ หลังจากที่พลังชีวิตในร่างของเขาระเบิดจนมาถึงครั้งที่สี่สิบเก้า ทันใดนั้นพลังที่ปะทะเข้ามาก็เพิ่มขึ้นอีกเป็นเท่าตัว ร่างของเขาสั่นไหวหนึ่งที บางส่วนบนผิวปรากฏรอยแตกเล็กๆ ที่สามารถมองเห็นได้ ราวกับว่าผิวหนังไม่อาจต้านทานได้ไหว
รอยแตกเหล่านี้แม้ว่าจะไม่มาก แต่หลังจากที่ปรากฏขึ้นมาแล้วกลับทำให้ใจของป๋ายเสี่ยวฉุนหนักอึ้ง
“เกิดลางดับจริงๆ ด้วย” ป๋ายเสี่ยวฉุนขมวดคิ้ว ในวิชาอมตะมิวางวายมีคำแนะนำถึงสถานการณ์ในเวลานี้เอาไว้ กล่าวว่าในขั้นตอนความสำเร็จขั้นต้นของผิวหนังคงกระพัน จำเป็นต้องมีการแตกของผิวหนังเช่นนี้ปรากฏขึ้น เพียงแต่ว่าอิงตามปณิธานของแต่ละคน ยิ่งยืนหยัดนานเท่าไหร่ ผลลัพธ์ของผิวหนังคงกระพันในวันข้างหน้าก็ยิ่งดีมากขึ้นเท่านั้น
ต่อให้ไม่ยืนหยัดทำต่อ ผิวหนังคงกระพันก็สามารถฝึกสำเร็จได้เช่นเดียวกัน เพียงแต่ว่าในเรื่องของผลลัพธ์นั้น แน่นอนว่ายิ่งสมบูรณ์แบบก็ยิ่งดี
หากสามารถยืนหยัดได้จนถึงแปดสิบเอ็ดครั้งของการระเบิดพลังชีวิต ถึงจะเรียกว่าสมบูรณ์แบบไร้ที่ติอย่างแท้จริง
นัยน์ตาป๋ายเสี่ยวฉุนเผยแววเด็ดเดี่ยว หลับตาลงอีกครั้ง เสียงดังลั่นในร่างกายกระจายไปทั่วร่าง ห้าสิบครั้ง หกสิบครั้ง เจ็ดสิบครั้ง… เขาอดทนทำรวดเดียวติดต่อกันห้าวัน ยืนหยัดมาได้จนถึงครั้งที่เจ็ดสิบกว่า
เวลานี้รอยปริแตกของผิวหนังเขาประหนึ่งลายบนหม้อกระดองเต่า ทั้งเยอะและแน่นขนัดกระจายไปทั่วตัว ถึงขั้นที่ว่ามีหลายจุดที่เชื่อมรวมเข้าด้วยกัน ดุจดั่งแจกันดอกไม้ที่ถูกทุบให้แตกแล้วเอามาต่อติดกันใหม่อีกครั้ง
แทบจะสามารถปริแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ได้ตลอดเวลา
“ขาดแค่อีกเจ็ดครั้งเท่านั้น!” ในดวงตาของป๋ายเสี่ยวฉุนมีแต่เส้นเลือดฝอย กลายเป็นกระจุกก้อนเลือด ลมหายใจของเขาถี่กระชั้น กัดฟันแรงๆ หนึ่งที ความกร้าวแกร่งในนิสัยเกิดขึ้นมาในบัดดล
เจ็ดสิบสี่ครั้ง!
เจ็ดสิบเจ็ดครั้ง!
เจ็ดสิบเก้าครั้ง!
ป๋ายเสี่ยวฉุนเงยหน้าคำรามขึ้นฟ้า เสียงคำรามนี้ไม่ดัง ด้วยที่มีมากกว่าคือเสียงแห่งความอัดอั้น เมื่อร่างกายสั่นสะท้านก็ข้ามผ่านการระเบิดของพลังชีวิตในร่างกายไปอีกหนึ่งครั้ง บรรลุถึงครั้งที่แปดสิบ
พลังชีวิตนั้นหลอมรวมเข้าไปบนผิวหนังของเขาอย่างรวดเร็ว ทำให้ถึงแม้ผิวหนังจะมีรอยแตกเป็นลายกระดองเต่า แต่กลับเป็นเหมือนผิวเหล็ก เมื่อผู้คนมองไปทำให้รู้สึกตกตะลึงไปหมด
“ครั้งสุดท้าย!” ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ยอมแพ้ ขณะที่พลังชีวิตครั้งสุดท้ายระเบิด มือขวาก็ยกขึ้นมากะทันหัน พุ่งลงไปยังพื้นดินเบื้องหน้า กระแทกกำปั้นลงไปหนักๆ หนึ่งที
เสียงตูมดังหนึ่งครั้งพร้อมกับหลุมลึกที่ปรากฏขึ้น พลังชีวิตในร่างกายของเขาระเบิดเป็นครั้งสุดท้าย ในที่สุดก็จบสิ้นลง พลังชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนหลอมรวมเข้าไปในผิวหนังของเขา สามารถมองเห็นได้ว่ารอยปริแตกทั่วร่างของเขาหายไปในพริบตา เรียบเป็นมันวาวไปทั้งตัว แม้แต่แสงสีดำก็สลายหายไปด้วย มองดูแล้วขาวสะอาดสะอ้านเช่นเดิม แต่ไม่มีใครรู้ว่าบนผิวที่ดูเหมือนธรรมดานี้ ในวันนี้กลับมีความแข็งแกร่งทนทานอย่างน่าตกตะลึง
ลมหายใจป๋ายเสี่ยวฉุนถี่กระชั้น ผ่านไปนานถึงได้เงยหน้าขึ้นมา เขามองหลุมใหญ่ที่ถูกตนเองทุบจนแตกออกเป็นวงกว้างตรงหน้าแล้วก็มองที่ผิวหนัง พลันเกิดความตื่นเต้นฮึกเหิม เงยหน้าขึ้นฟ้าหัวเราะเสียงดัง
มือขวาของเขายกขึ้นสะบัด กระบี่ไม้ลอยออกมา กลายเป็นแสงสีดำหนึ่งเส้นตรงดิ่งมายังแขนของเขา พริบตาที่มันสัมผัสกับแขน กลับเกิดเป็นเสียงของโลหะดังเคร้งหนึ่งที กระบี่ไม้สั่นไหวเด้งไปด้านหลังทันที ส่วนผิวหนังบนแขนของเขา มีเพียงแค่ความรู้สึกเหมือนถูกยุงกัดเท่านั้น เมื่อมองอย่างละเอียดก็ไม่เห็นรอยแผลใดๆ
“หนังคงกระพัน!” ป๋ายเสี่ยวฉุนดีใจจนควบคุมตัวเองไม่อยู่ ต้องเข้าใจว่ากระบี่ไม้เล่มนี้ไม่ใช่อาวุธวิเศษธรรมดาทั่วไป แต่ได้ผ่านการหลอมพลังจิตมาแล้วสองครั้ง แม้ว่าลักษณะจะดูธรรมดา แต่อานุภาพหลังจากที่หลอมพลังจิตมากพอที่จะเทียบกับอาวุธวิเศษของสวรรค์อันน่าภาคภูมิได้ แต่แม้จะเป็นเช่นนี้ก็ยังไม่สามารถสร้างรอยบาดแผลใดๆ ได้แม้แต่นิด
ป๋ายเสี่ยวฉุนสะบัดร่างหนึ่งที ระเบิดพลังทั้งหมดที่มีด้วยการพุ่งทะยานออกไป อากาศรอบทิศล้วนเกิดเสียงตูมตามดังออกมา เมื่อเขาปรากฏตัวก็อยู่ห่างมาสิบกว่าจั้งแล้ว ความเร็วเช่นนี้มากกว่าก่อนหน้าอีกหลายเท่า ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนยิ่งตะลึงระคนดีใจ
ส่วนพละกำลัง เขามองหลุมใหญ่บนพื้นหนึ่งที ในใจรู้ดีว่าตนเองที่ฝึกผิวหนังคงกระพันได้สำเร็จในขั้นต้นนั้นยังเรียกไม่ได้ว่าเกิดใหม่เปลี่ยนถ่ายถอนกระดูก แต่ก็อยู่ห่างอีกไม่เท่าไหร่แล้ว
“พลังป้องกันตัวเช่นนี้ ถึงจะสามารถปกป้องข้าป๋ายเสี่ยวฉุนให้อยู่บนเส้นทางของการเป็นอมตะได้” ป๋ายเสี่ยวฉุนภาคภูมิใจอย่างสุดๆ เมื่อมองดูพลังตบะของตนเองอีกที ก็พบว่ามีความก้าวหน้าขึ้นไปอีกไม่น้อย ไปถึงขั้นสมบูรณ์แบบของขั้นที่สี่การรวมลมปราณแล้ว
อีกทั้งไม่ใช่ขั้นสมบูรณ์แบบของขั้นที่สี่การรวมลมปราณธรรมดาๆ อีกด้วย แต่เป็นหลังจากที่พลังวิญญาณถูกบีบอัดแล้ว สามารถพูดได้ว่าคุณลักษณะเดิมของพลังวิญญาณในตัวเขาอยู่ในระดับที่ผู้ที่บำเพ็ญเพียรเหมือนกันไม่สามารถเปรียบเทียบได้
เขาพอใจมากเหลือเกิน ห้อตะบึงไปมาอยู่ในลานแห่งนี้ หลังผ่านไปครู่หนึ่งร่างกายเขาหยุดชะงักฉับพลัน ดวงตาทั้งคู่เปล่งประกายวาบขึ้นมา ยกมือขวาขึ้น นิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้ทำเป็นรูปครึ่งปากบิดไปข้างหน้าแรงๆ หนึ่งที ในเวลาเดียวกันนั้น นิ้วทั้งสองของเขาปรากฏแสงสีดำวาบขึ้นมา เห็นได้ชัดว่าด้านหน้าของเขาไม่มีอะไรสักอย่าง เป็นเพียงความว่างเปล่า แต่เมื่อบิดลงไปเช่นนี้ ความว่างเปล่าตรงหน้ากลับมีเสียงดังคึ่กๆ ออกมา
ดวงตาของป๋ายเสี่ยวฉุนหดลง หมุนตัวเดินไปยังด้านข้างของหินก้อนหนึ่ง นิ้วมือข้างขวาทั้งสองเปล่งสีดำวาบขึ้นอีกครั้ง เมื่อบิดลงไป เสียงเปรี๊ยะดังหนึ่งที หินก้อนนั้นแตกออกได้อย่างง่ายดายราวกับเป็นเพียงเต้าหู้ก้อนหนึ่ง
เขาสะบัดตัวอีกครั้ง มาปรากฏอยู่ด้านข้างไผ่เหมันต์วิเสษ ต้นไผ่ตรงนี้สูงถึงสามจั้งกว่าแล้ว เขาเลือกต้นไผ่ที่แข็งแกร่งที่สุด บิดลงไปหนึ่งที ไม้ไผ่เกิดเสียงดังลั่น แตกหักออกมาเช่นเดียวกัน
ภาพนี้ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดหายใจคำโต ร่างกายทรุดลงไปกองกับพื้น เขาก้มหน้าลงมองนิ้วมือทั้งสองของตัวเอง มองดูแสงสีดำบนนิ้วมือที่ค่อยๆ สลายหายไป เนิ่นนานเขาถึงได้ผ่อนลมหายใจออกมายาว
“นี่ก็คือตรวนสลายลำคองั้นเหรอ…” ป๋ายเสี่ยวฉุนพึมพำกับตัวเอง นี่คือเคล็ดลับอย่างหนึ่งของวิชาอมตะมิวางวาย มีเพียงฝึกหนังคงกระพันให้สำเร็จขั้นต้นเท่านั้นจึงจะสำแดงออกมาได้ ว่ากันว่าสามารถระเบิดพลังออกมาได้มากถึงสองเท่า ไม่มีอะไรที่ไม่สามารถทำลายได้
อีกทั้งเมื่อครู่นี้ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ใช้พลังแค่เพียงห้าส่วนเท่านั้น เขาคิดไม่ออกเลยว่าหากตัวเองสำแดงพลังของวิชาลับนี้ออกมาทั้งหมด มันจะน่าหวาดกลัวมากเพียงใด
วิชาลับเช่นนี้ ในสายตาของป๋ายเสี่ยวฉุนแล้วก็คือวิชาลับที่ใช้ฆ่าคนอย่างหนึ่ง เขาเงียบนิ่งไปครู่ใหญ่ แม้จะรู้สึกว่าวิชานี้โหดเหี้ยมทารุณแต่ก็ยังฝึกฝนอย่างจริงจัง ร่างกายเขาว่ายเวียนไปมาอยู่ในลานที่พักด้วยความรวดเร็ว แสงสีดำบนนิ้วทั้งสองเปล่งวาบซ้ำไปมา เสียงดังคั่กๆ ก็มีให้ได้ยินเป็นระลอก
เวลาผันผ่าน พริบตาเดียวก็ผ่านไปครึ่งเดือนแล้ว ครึ่งเดือนมานี้ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ได้เดินออกไปนอกลานที่พัก ยังคงฝึกฝนวิชาอยู่ตลอดเวลา จึงไม่มีทางรู้แน่นอนว่าหลี่ชิงโหวที่ออกไปทำธุระข้างนอกหลายเดือน เช้าตรู่วันนี้ได้เหยียบย่างอยู่บนเส้นรุ้งสีเขียวหนึ่งเส้น กลับเข้ามายังสำนักธาราเทพ และกลับมายังยอดเขาภูเขาเซียงอวิ๋นแล้ว
หลังจากที่เขากลับมายังไม่ทันได้หยุดพัก รุ้งเส้นยาวสองเส้นก็ห้อตะบึงมาจากภูเขาชิงซานและภูเขาจื่อติ่งในทันที ตรงดิ่งมายังยอดเขาเพื่อมาพบหลี่ชิงโหว สามารถมองเห็นได้รางๆ ว่าภายในรุ้งเส้นยาวสองเส้นนั้น เส้นหนึ่งคือผู้เฒ่าซึ่งร่างกายดุจดั่งกระบี่คมที่ไม่ได้ชักออกจากฝักเล่มหนึ่ง ทั้งตัวเขามีพลังบีบคั้นที่เป็นเอกลักษณ์ของผู้บำเพ็ญเพียรขั้นสร้างฐานรากกระจายออกมา
ส่วนในสายรุ้งอีกเส้นคือหญิงสาวอรชรอ้อนแอ้นนางหนึ่ง หญิงสาวผู้นี้งามล้ำไปทั่วทุกอณูของร่างกาย แต่เวลานี้ใบหน้ากลับดูแปลกประหลาด เหมือนจะร้องก็ร้องไม่ได้ จะหัวเราะก็หัวเราะไม่ออก เดินทางมายังยอดเขาพร้อมกับท่านผู้เฒ่า
ทั้งสองคนนี้ก็คือท่านผู้นำของยอดเขาชิงเฟิงและยอดเขาจื่อติ่ง เมื่ออยู่บนยอดเขาเซียงอวิ๋น ทั้งสองคนปรึกษาหารือกับหลี่ชิงโหวเป็นการส่วนตัวอยู่ครู่หนึ่งถึงได้กลับไป
บนยอดเขาเซียงอวิ๋น หลี่ชิงโหวนวดคลึงหัวคิ้วนั่งอยู่ตรงนั้น กวาดพลังจิตมองไปยังสถานที่เลี้ยงไก่หางวิเศษของทั้งสามยอดเขา หลังจากพบว่าที่นั่นเหลือเพียงลูกไก่ เขาก็เผยท่าทางพูดไม่ออกบอกไม่ถูก ถอนหายใจหนึ่งที สะบัดปลายแขนเสื้อออกไปจากโถงใหญ่ เดินลงไปตามทางของภูเขา ทิศทางที่เขามองไปนั้น…
คือลานที่พักของป๋ายเสี่ยวฉุน
———