Skip to content

A Will Eternal 28

บทที่ 28 ความกดดันต่างหากคือแรงผลักดัน

ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็ตะลึงตาค้างไปเช่นกัน เห็นคนรอบด้านส่งเสียงตกใจ เห็นจ้าวอี้ตัวและเฉินจื่ออ๋างที่ถูกม้วนตวัดบินไปไกล แต่ยังวิ่งกลับมาอีกครั้งด้วยความรวดเร็วราวกับไม่สนใจความเจ็บปวดทั่วร่าง นอนคว่ำลงไปบนพื้นทั้งตัว มองศึกษาอย่างละเอียดอยู่ตรงนั้น

โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านผู้เฒ่าโจวที่มองดูไปทีละต้นด้วยท่าทางตื่นเต้นเป็นกำลัง แฝงไปด้วยความไม่อยากเชื่อ และที่ยิ่งกว่านั้นคือความดีใจอย่างบ้าคลั่ง

ภาพเหตุการณ์ที่เลอะเลือนเช่นนี้ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนตกใจ ในขณะเดียวกันก็รู้สึกว่าคนพวกนี้เป็นบ้ากันไปหมดแล้ว ในใจคิดว่าก็แค่ต้นไผ่ไม่กี่ต้นไม่ใช่เหรอ ตามความคิดของเขาคือกะจะปลูกให้สูงได้สิบจั้งด้วยซ้ำ

“ท่านผู้เฒ่า…” ป๋ายเสี่ยวฉุนถอยหลังไปหลายก้าว ร้องเรียกลองเชิงหนึ่งประโยค

“ดีๆๆ!” ผู้เฒ่าโจวหัวเราะเสียงดัง ลูบคลำไปที่ไผ่เหมันต์วิเศษพวกนั้น ไม่ปล่อยเว้นว่างไปแม้แต่นิดเดียวราวกับไม่ได้ยินเสียงของป๋ายเสี่ยวฉุน

“ไผ่เหมันต์วิเศษเช่นนี้หาได้ยากยิ่งนัก มีเพียงแค่โตถึงห้าจั้งเท่านั้น ถึงจะมีสีเขียวเข้มไปทั้งลำ ไผ่เหมันต์วิเศษเช่นนี้ไม่ได้เป็นแค่เพียงสมุนไพรเท่านั้น ยังเป็นวัตถุดิบหลักในการหลอมกระบี่ไม้ไผ่วิเศษ ที่ยิ่งไปกว่านั้นคือสามารถนำไปกระตุ้นวิชาเวทคาถาพิเศษบางอย่างได้!”

“พวกเจ้าลองดมดูสิ ได้กลิ่นหอมของเนื้อและกระดูกด้วยใช่หรือไม่ นี่ก็คือกลิ่นหอมพิเศษหลังจากต้นไผ่นี้โตได้ถึงห้าจั้ง” ท่านผู้เฒ่าโจวเอ่ยปากด้วยความตื่นเต้น ทั้งยังสูดดมแรงๆ หนึ่งเฮือกอีกด้วย

สีหน้าของเฉินจื่ออ๋างและจ้าวอี้ตัวจริงจังอย่างถึงขีดสุด พากันดมกลิ่นไปด้วย ลูกศิษย์คนอื่นๆ ที่อยู่โดยรอบไม่ห่างไกลนักก็อดที่จะดมตามไปด้วยไม่ได้

ป๋ายเสี่ยวฉุนไอแห้งๆ หนึ่งที เขาได้กลิ่นนี้มาตลอดทางที่แบกไม้ไผ่แล้ว เห็นๆ อยู่ว่ามันคือ…กลิ่นกระดูกไก่ ถึงอย่างไรในที่นาวิเศษที่ใช้ปลูกไผ่เหมันต์วิเศษพวกนี้ก็ถูกฝังไว้ด้วยกระดูกของไก่หางวิเศษจำนวนนับร้อยนับพันตัว… แถมแต่ละชิ้นเขาก็แทะมาแล้วทั้งนั้น

“ท่านผู้เฒ่า…” ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกว่าคนพวกนี้บ้ากันไปแล้ว จึงเรียกขึ้นมาอีกครั้ง

แต่ในเวลานี้ ทันใดนั้นร่างทั้งร่างของผู้เฒ่าโจวก็สะท้านไหวขึ้นมา จ้องเขม็งไปยังบางจุดบนไม้ไผ่ต้นหนึ่ง ดวงตาเผยความโกรธเกรี้ยวออกมาอย่างฉับพลัน ใบหน้าเปลี่ยนเป็นบิดเบี้ยว

“บัดซบ ตรงนี้มันอะไรกัน ทำไมถึงมีรอยกัดหนึ่งรอยได้ ไผ่เหมันต์วิเศษนี้ฝาดขมยิ่งกว่าอะไรดี กินสดๆ ไม่ได้ เจ้าสารเลวคนไหนมากัดมัน ทำลายคุณภาพของไผ่ต้นนี้!” ผู้เฒ่าโจวเจ็บปวดเสียดาย รู้สึกราวกับว่าบนหยกงามไม่มีที่ติหนึ่งชิ้น ได้ปรากฏรอยผุกร่อนขึ้นมาอย่างฉับพลันอย่างไรอย่างนั้น จึงเงยหน้าขึ้นทันใด มองไปยังป๋ายเสี่ยวฉุน

“ไม่ใช่ข้านะ!” ป๋ายเสี่ยวฉุนตกใจถอยหลังกรูด พลันนึกถึงครั้งแรกที่ตัวเองหิวโหยขึ้นมาได้ คลับคล้ายคลับคลาว่าตอนนั้นหิวจนไม่เลือกกินจึงกัดไผ่ต้นนี้ลงไปหนึ่งคำ เพียงแต่เขาคิดไม่ถึงเลยว่า สถานที่ส่งมอบภารกิจแห่งนี้จะน่ากลัวได้ถึงเพียงนี้ ต้นไผ่ที่ตนเองปลูก กินไปคำเดียวจะเป็นไรไป คนพวกนี้บ้ากันไปหมดแล้วหรือไง

ได้ยินคำพูดของท่านผู้เฒ่าโจว หลายคนที่อยู่รอบๆ ล้วนหันไปมอง แล้วก็เห็นร่องรอยถูกกัดบนต้นไผ่เหมันต์วิเศษต้นสุดท้ายจริง

ผู้เฒ่าโจวจ้องเขม็งไปยังรอยน่าเกลียดบนต้นไผ่ เงียบไปนานถึงได้ถอนหายใจยาวออกมาหนึ่งที เขาเป็นถึงนักพรตผู้บำเพ็ญเพียรได้ถึงขั้นสร้างฐานราก แม้ว่าจะหลงใหลในทางยาแต่ก็ยังมีสติดี เพียงแต่ว่าไผ่ที่ป๋ายเสี่ยวฉุนเอามาน่าตกตะลึงเกินไป โดยเฉพาะความแตกต่างเช่นนั้นก็ยิ่งเป็นสิ่งที่ผู้เฒ่าโจวไม่เคยเห็นมาก่อน เมื่อครู่ถึงได้สติหลุดไปบ้าง

เขามองป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยสายตาลึกล้ำหนึ่งครั้ง สะบัดปลายเสื้อแขนยาวหนึ่งที

“ต้นไผ่นี้ได้ระดับยอดเยี่ยม…ไม่ถูกสิ ระดับสุดยอด ถูกจัดให้เป็นระดับสุดยอด มอบรางวัลหนึ่งหมื่นคะแนนคุณความดี!” คำพูดนี้ของเขาเปล่งออกไป คนรอบด้านสูดหายใจเฮือกกันอีกครั้ง ต้องเข้าใจว่าภารกิจปลูกพืชทั่วไปจะได้คะแนนคุณความดีแค่ประมาณสิบคะแนนเท่านั้น อย่างมากที่สุดก็แค่หนึ่งร้อย แต่ตอนนี้พริบตาเดียวกลับขึ้นมาเป็นหนึ่งหมื่นเสียแล้ว!

เด็กที่ยืนอยู่ด้านข้างก็อึ้งไปเช่นกัน หลายปีมานี้ พืชวิเศษที่ถูกจัดเข้าเป็นระดับสุดยอดของสำนักธาราเทพนั้นมีให้เห็นได้ยากยิ่ง

อย่างน้อยที่สุดในช่วงหลายร้อยปีมานี้ นี่ถือเป็นครั้งแรก

ป๋ายเสี่ยวฉุนตื่นเต้น เขารีบเดินมายังด้านข้างเด็กน้อย หยิบเอาป้ายประจำตัวออกมาแล้วรีบกระตุ้นเร่งเร้า เด็กน้อยลังเลอยู่ชั่วครู่ สายตามองเห็นท่านผู้เฒ่าโจวเริ่มศึกษาไม้ไผ่พวกนั้นอีกครั้ง ดังนั้นจึงกัดฟันมอบคะแนนความดีให้ป๋ายเสี่ยวฉุนไปหนึ่งหมื่นคะแนน

รับเอาคะแนนคุณความดีมาได้ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็รีบไปจากที่นี่ เขาตัดสินใจว่าจะไม่มาอีกเป็นครั้งต่อไปแน่ คนที่นี่บ้ากันไปหมดแล้ว

ยังไม่ทันที่เขาจะได้จากไปไกล ด้านหลังของเขาก็มีเสียงผู้เฒ่าโจวลอยมา

“เจ้าชื่ออะไร”

“ป๋ายเสี่ยวฉุน ข้าชื่อป๋ายเสี่ยวฉุน ท่านอาของข้าคือหลี่ชิงโหว!” ป๋ายเสี่ยวฉุนรีบเอ่ยปาก ก่อนมาที่นี่เขาไม่รู้ว่าต้นไผ่พวกนั้นจะสร้างความตกตะลึงได้ถึงเพียงนี้ ตอนนี้ในใจเริ่มมีความกังวลอยู่ไม่น้อย ดังนั้นจึงเอ่ยชื่อหลี่ชิงโหวออกมาเป็นหนังหน้าไฟให้ก่อน

“หึ เจ้าเล่ห์ไม่เบา สำนักธาราเทพคือสำนักใหญ่อยู่มาหลายหมื่นปี ลูกศิษย์มีมากมหาศาล แต่ละคนล้วนมีความลับ มีโชคชะตาเป็นของตนเอง คนแก่อย่างข้าไม่มีทางบากหน้าไปถามซักไซ้ไล่เรียง หากต่อไปเจ้ามีต้นไผ่แบบนี้อีก ข้าจะรับไว้ทั้งหมด และจะให้คะแนนความดีอย่างที่เจ้าพอใจแน่นอน!” ท่านผู้เฒ่าโจวไม่สบอารมณ์เล็กน้อย โบกมือหนึ่งทีก็ไม่สนใจป๋ายเสี่ยวฉุนอีก ศึกษาต้นไผ่เหล่านั้นต่อไป ส่วนการส่งมอบภารกิจของลูกศิษย์คนอื่นในวันนี้ก็ต้องสิ้นสุดลงก่อนเวลาด้วยเหตุนี้

ป๋ายเสี่ยวฉุนหยิบเอาป้ายประจำตัวของตนเองไป นัยน์ตาเผยความฮึกเหิม หลังออกจากหอส่งมอบภารกิจแล้วก็ตรงดิ่งไปยังโถงยาวิเศษของเขาเซียงอวิ๋น โถงยาวิเศษที่ว่านี้ก็คือสถานที่แลกเปลี่ยนเอายาวิเศษของลูกศิษย์เขาเซียงอวิ๋น

หากตนเองมียาวิเศษก็สามารถเอามาขายให้กับสำนัก แลกเอาคะแนนคุณความดีได้ที่นี่

ป๋ายเสี่ยวฉุนห้อทะยานเข้ามา เดินเลือกไปทั่วโถงยาวิเศษแห่งนี้ นานพักใหญ่ถึงได้จากไป เขาซื้อยาที่เหมาะสมกับพลังรวมลมปราณขั้นที่ห้ามาหนึ่งขวด ยานี้ราคาไม่ธรรมดา เดิมทีป๋ายเสี่ยวฉุนคิดว่าตนเองมีคะแนนคุณความดีหมื่นคะแนนก็ถือว่ามากพอแล้ว แต่กลับนึกไม่ถึงว่ายาวิเศษที่นี่จะแพงยิ่งกว่า

“ยาวิเศษชิงเสินอวิ้น” ป๋ายเสี่ยวฉุนมองขวดยาในมือ ด้านในมียาอยู่สามเม็ด แค่สามเม็ดนี้ก็เสียคะแนนความดีของเขาไปถึงสี่พันกว่า

แต่ว่ายานี้ไม่ใช่ยาของลูกศิษย์ขั้นรวมลมปราณทั่วไป ผลลัพธ์ไม่ธรรมดา ไม่เพียงแต่มีสรรพคุณที่มากกว่ายาวิเศษทั่วไป ยังมีผลของพลังวิญญาณอันบริสุทธิ์ที่ดีอีกด้วย

ป๋ายเสี่ยวฉุนครุ่นคิดมาแล้วว่าพลังขั้นที่ห้าของการรวมลมปราณยังรับประกันความปลอดภัยให้ไม่ได้ ดังนั้นจึงวางแผนว่าคราวนี้จะต้องฝ่าทะลุไปให้ถึงขั้นสมบูรณ์แบบของการรวมลมปราณขั้นที่ห้า

ส่วนการรวมลมปราณขั้นที่หกนั้น เขาเคยคิดว่าจะใช้วิธีนี้มาหลีกเลี่ยงการต่อสู้ แต่หากทำเช่นนี้จริง ป๋ายเสี่ยวฉุนก็นึกภาพออกเลยว่าหลี่ชิงโหวจะต้องเปลี่ยนวิธีใหม่มาใช้ลงโทษตนเองต่ออย่างแน่นอน

สำหรับคะแนนความดีที่เหลือ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ไม่ได้เอาไปใช้สิ้นเปลือง นำไปแลกยันต์สำหรับใช้ป้องกันตัวแบบครั้งเดียวทิ้งมาทั้งหมด เมื่อนำสิ่งของพวกนี้มาไว้ที่ตัวเขาถึงรู้สึกมั่นคงขึ้นมาบ้าง

หากไม่ใช่เพราะคะแนนคุณความดีไม่พอ เขายังคิดจะไปหอสมบัติเพื่อแลกเอาอาวุธของขั้นการรวมลมปราณมาใช้ด้วย ตอนนี้จึงทำได้เพียงล้มเลิกความคิด หลังจากกลับมาถึงลานที่พักแล้ว สายตาของป๋ายเสี่ยวฉุนแน่วแน่ นั่งขัดสมาธิอยู่ในห้องไม้ หยิบเอายาออกมาพลางก้มลงไปมอง

“มีเวลาเหลือไม่ถึงสามเดือน ข้าจะปิดด่านฝึกวิชา!” เขากัดฟัน หลังจากมองไปรอบด้านแล้ว มือขวาทำท่ามุทราแล้วชี้ พลันหม้อรูปกระดองเต่าปรากฏขึ้น แล้วจึงหยิบหางของไก่หางวิเศษออกมาอีก สะบัดหนึ่งที ไฟสามสีก็ปรากฏ

หางเดียวไม่สามารถตอบสนองต่อความต้องการของหม้อกระดองเต่าได้ จนกระทั่งใช้ไปสิบหางแล้ว ลายเส้นสามเส้นแรกถึงได้สว่างวาบขึ้นมา ป๋ายเสี่ยวฉุนนำยาสามเม็ดหลอมพลังจิตทั้งหมดสามครั้งในรวดเดียว

จากนั้นก็หยิบเอายาวิเศษชิงเสินอวิ้นที่มีลายเส้นสีเงินสามเส้นขึ้นมาหนึ่งเม็ด กลืนเข้าปากไป

เมื่อยาเข้าปากก็หลอมละลายโดยพลัน พลังวิญญาณมหาศาลระเบิดตูมตามออกมา ป๋ายเสี่ยวฉุนรีบทำท่าและหายใจตามวิธีของพลังลมปราณม่วงควบคุมกระถางทันที สมาธิทั้งหมดแน่วแน่ ชักนำการเคลื่อนไหวของพลังวิญญาณในร่างกายไม่หยุดพัก

หลังจากผ่านไปหลายวัน เสียงตูมดังสนั่นห้องไม้ของป๋ายเสี่ยวฉุน ฝุ่นดินเหลือคณานับลอยคละคลุ้งราวกับถูกโจมตีจากด้านในจนแตกกระเซ็นมายังด้านนอก หลังผ่านไปครู่หนึ่งก็มีเสียงหัวเราะของป๋ายเสี่ยวฉุนลอยออกมาจากในห้องไม้

“พลังการรวมลมปราณขั้นที่ห้า!” ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจเข้าลึก ดวงตาเปล่งประกายสดใส ก่อนหน้านี้เขากินไก่หางวิเศษไปตั้งมากมาย เดิมก็ถึงขั้นสมบูรณ์แบบของการรวมลมปราณขั้นที่สี่แล้ว และยังกลืนกินยาเข้าไปอีกหนึ่งเม็ดจึงฝ่าทะลุขั้นได้ราบรื่นอย่างถึงที่สุด กลายมาเป็นการรวมลมปราณขั้นที่ห้า

ร่างกายของเขามีคราบสกปรกปรากฏออกมาให้เห็นอีกครั้ง แต่กลับน้อยกว่าก่อนหน้านี้อย่างเห็นได้ชัด หลังจากชำระล้างแล้ว ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ได้กินยาอีกในทันทีแต่กลับฝึกวิชาอย่างตั้งใจ ผ่านไปอีกห้าวันเขาถึงได้กลืนยาวิเศษชิงเสิน อวิ้นเม็ดที่สองซึ่งผ่านการหลอมพลังจิตมาแล้วสามครั้งลงไป คราวนี้พลังวิญญาณในร่างกายเต็มแน่น แม่น้ำลมปราณเส้นยาวของเขายิ่งขยายใหญ่ ไหลทะลักอยู่ในร่างกาย ทำให้พลังจากการบำเพ็ญตบะเพิ่มขึ้นไปอีกหนึ่งช่วงใหญ่

แล้วก็ตั้งใจฝึกฝนอีกหลายวัน เขาถึงได้กลืนยาวิเศษชิงเสินอวิ้นเม็ดที่สามลงไป พลังฝ่าไปถึงขั้นสมบูรณ์แบบของการรวมลมปราณขั้นที่ห้าได้ในรวดเดียว

มาถึงตอนนี้ ระหว่างที่เขาขยับแขนขาเบาๆ มองดูแล้วเหมือนร่างทั้งร่างต่างไปจากก่อนหน้านี้ ไม่ต้องพูดถึงผิวที่ยิ่งขาวขึ้น ที่มากไปกว่านั้นคือมีบุคลิกรัศมีที่เป็นเอกลักษณ์เพิ่มขึ้นมาไม่น้อยด้วย

นี่ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนเบิกบานใจเป็นอย่างมาก เขาเองก็รู้ดีว่าหากเป็นลูกศิษย์คนอื่นที่ฝึกได้ถึงขั้นสมบูรณ์แบบของการรวมลมปราณขั้นที่สี่ กินยาสามเม็ดนี้เข้าไป อย่างมากที่สุดก็แค่ฝ่าทะลุไปถึงการรวมลมปราณขั้นที่ห้าเท่านั้น ไม่มีทางบรรลุถึงขั้นสมบูรณ์แบบของการรวมลมปราณขั้นที่ห้าอย่างเขาได้แน่นอน ระยะห่างจากการรวมลมปราณขั้นที่หกก็เหมือนว่าขาดอีกแค่ก้าวเดียวเท่านั้น

จุดสำคัญของเรื่องนี้ก็คือพลังจิตของหม้อกระดองเต่า

ประสิทธิภาพของของสิ่งนี้ยิ่งปรากฏให้เห็นเด่นชัดขึ้นตามการฝึกบำเพ็ญเพียรของป๋ายเสี่ยวฉุน ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนแปลกใจอยู่ตลอดว่าหม้อกระดองเต่าใบนี้มีที่มาที่ไปอย่างไรกันแน่

มองแล้วเหมือนกระดองเต่า แต่เขาก็พบอีกว่ามันไม่ใช่

ส่วนเรื่องที่เกี่ยวกับการหลอมพลังจิต เขาก็สืบข่าวมาจนรู้แน่ชัดแล้วว่า บนเขาจื่อติ่งจะมีสถานที่สำหรับหลอมพลังจิตโดยเฉพาะ หลังจากจ่ายเป็นคะแนนความดีไปบางส่วนแล้ว สามารถให้ผู้อาวุโสของสำนักที่อยู่ที่นั่นช่วยหลอมพลังจิตให้ได้ ส่วนท่านผู้นำของภูเขาจื่อติ่ง ได้ยินว่าเป็นปรมาจารย์ด้านการหลอมพลังจิตท่านหนึ่ง

ลูบคลำลายเส้นของด้านหลังหม้อกระดองเต่า แววตาป๋ายเสี่ยวฉุนเปล่งประกาย ผ่านไปครู่ใหญ่ก็ส่ายหัว ในเมื่อไม่เข้าใจก็ไม่ต้องไปสนใจมันก่อนแล้วกัน เขายกมือขวาขึ้นมาสะบัดหนึ่งที ด้านหน้าก็ปรากฏเป็นหยกสีเขียวหนึ่งชิ้น กระบี่ไม้หนึ่งเล่ม

ป๋ายเสี่ยวฉุนมองไปยังอาวุธเพียงสองอย่างที่ตนเองมีในตอนนี้ก็กัดฟัน หยิบเอาหางวิเศษออกมาอีกครั้ง เตรียมนำวัตถุสองชิ้นนี้มาหลอมพลังจิตให้ได้ถึงครั้งที่สาม

“ไม่รู้ว่าหลังหลอมพลังจิตสามครั้งแล้ว กระบี่ไม้และหยกชิ้นนี้จะมีอะไรเปลี่ยนแปลงหรือเปล่า”

มือขวาของป๋ายเสี่ยวฉุนโบกหนึ่งครั้ง หลังจากลายเส้นทั้งสามของหม้อกระดองเต่าล้วนสว่างขึ้นมาแล้วก็โยนหยกลงไปในหม้อตรงๆ หลังจากแสงสีเงินกะพริบวาบขึ้น เสียงสะเทือนเลื่อนลั่นดั่งเสียงฟ้าผ่าลอยออกมา ยังดีที่ดังไปไม่ไกลนักจึงไม่มีใครให้ความสนใจเท่าไหร่

จนกระทั้งแสงสีเงินหายไปหมด บนหยกสีเขียวด้านหน้าป๋ายเสี่ยวฉุนมีลายเส้นสีเงินโผล่พรวดขึ้นมาสามเส้น เส้นสีเงินนี้เปล่งแสงวิบวับแล้วค่อยๆ ทึบจางลง แต่ป๋ายเสี่ยวฉุนกลับสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่ารัศมีที่อยู่บนหยกชิ้นนี้ต่างไปจากก่อนหน้าอย่างสิ้นเชิง ต่างกันราวฟ้ากับดิน

ถึงขั้นที่ว่าในแสงสีเขียวยังปรากฏเส้นแสงสีม่วงให้เห็นเลือนราง ราวกับถูกเลี่ยมลงไปในหยกชิ้นนี้ แม้แต่รูปร่างของหยกก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย ไม่ได้เป็นทรงรูปไข่อีกต่อไป แต่เรียบแบนมากขึ้นราวกับจะกลายมาเป็นทรงกลม

ป๋ายเสี่ยวฉุนหยิบหยกขึ้นมา หลังจากหลอมรวมพลังวิญญาณแล้วเสียงตูมก็ดังขึ้นหนึ่งที พลันรอบกายของเขาก็ปรากฏวงแสงสีเขียวขึ้นมาหนึ่งชั้น หนาพอสามฉื่อกว่า มองดูแล้วน่าตะลึงอย่างมาก

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version