Skip to content

A Will Eternal 29

บทที่ 29 ยกหนักเสมือนเบา

ป๋ายเสี่ยวฉุนทดลองระดับการป้องกันดูก็หัวเราะร่าขึ้นมาทันควัน จากนั้นมองไปยังกระบี่ไม้ของตนเองด้วยแววตาร้อนแรง กระบี่ไม้นี้เขามีไว้ในครอบครองตอนเข้าสำนัก อยู่กับเขามาจนถึงตอนนี้ ผ่านการหลอมพลังจิตมาแล้วสองครั้ง

“ดูจากระดับการป้องกันของหยกชิ้นนี้ หลังจากข้าหลอมพลังจิตให้กระบี่ไม้เป็นครั้งที่สามแล้ว พลานุภาพจะต้องไม่ธรรมดาแน่นอน!” ป๋ายเสี่ยวฉุนอมยิ้มน้อยๆ เริ่มทำการหลอมพลังจิตกระบี่ไม้เล่มเล็กนี้

หลังจากแสงสีเงินเปล่งวาบ เมื่อประกายแสงในหม้อกระดองเต่าสลายไป กระบี่ไม้เล่มเล็กที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าป๋ายเสี่ยวฉุนมีลายเส้นสีเงินเส้นที่สามเจิดจ้าบาดจา ผ่านไปนานถึงได้ค่อยๆ ทึบจางลง ขณะเดียวกันนั้นรูปร่างของกระบี่ไม้เล่มนี้ก็มีการเปลี่ยนแปลงตามไปด้วยเล็กน้อย มันยาวกว่าก่อนหน้านั้นหนึ่งข้อนิ้ว อีกทั้งเส้นลายไม้ก็แทบจะเป็นสีม่วงอย่างสมบูรณ์

ถึงขั้นที่ว่ายังมีกลิ่นหอมประหลาดลอยกำจายออกมาด้วย เพียงแต่ว่ากลิ่นหอมนี้แปลกมาก เมื่อดมเข้าไปในโพรงจมูก แรกเริ่มคือกลิ่นหอมหวาน แต่ไม่นานก็ทำให้คนใจลอยเคลิบเคลิ้ม

ร่างป๋ายเสี่ยวฉุนสะท้านไหว ดวงตาทั้งคู่กลับมามีสติอีกครั้ง มองกระบี่ไม้เล่มเล็กเล่มนี้ด้วยความตกตะลึง เมื่อค่อยๆ หยิบมันขึ้นมาก็รู้สึกได้ทันทีว่าน้ำหนักของกระบี่ไม้เล่มเล็กนี้เพิ่มขึ้นมากกว่าแต่ก่อนหลายเท่าตัว เมื่อถืออยู่ในมือราวกับถือก้อนหินที่หนักอึ้งก้อนหนึ่ง

ดวงตาทั้งคู่ของเขาเปล่งวาบ วางกระบี่ไม้เล่มเล็กไว้ด้านหน้าแล้วพิจมองอย่างละเอียด นัยน์ตาค่อยๆ เผยแววครุ่นคิดลึกล้ำ

“เนื้อกระบี่ไม้เล่มนี้น่าจะเป็นไม้เฉินอวิ๋นที่ไม่ถือว่าหายาก ไม้เฉินอวิ๋นนี้เพียงแค่หลอมเจ็ดเจ็ดสี่สิบเก้าวันก็จะสามารถกลายเป็นวัตถุดิบที่ใช้หลอมอาวุธได้ อีกทั้งยังหลอมได้เป็นจำนวนมาก” ป๋ายเสี่ยวฉุนพึมพำเสียงเบา สายตากวาดมองไปยังลายเส้นบนกระบี่ไม้เล่มเล็ก

“ลายเส้นสีม่วง ถ้าอย่างนั้นก็อธิบายได้อย่างเดียว กระบี่เล่มนี้หลังจากหลอมพลังจิตหลายครั้งแล้วจึงเกิดร่องรอยการเปลี่ยนแปลง” ป๋ายเสี่ยวฉุนหลับตาลง ในสมองมีความรู้ด้านพืชหญ้าที่เขาเคยศึกษาเกี่ยวกับข้อมูลของไม้เฉินอวิ๋นลอยออกมาทันที

ผ่านไปนาน เมื่อเขาลืมตาทั้งสองข้างขึ้น นัยน์ตาก็เผยแววรอคอย มือขวาทำมุทราชี้ไปที่กระบี่ไม้เล่มเล็ก พลันกระบี่ไม้เล่มนี้ก็มีแสงสีดำวาบขึ้น สามารถมองเห็นแสงสีม่วงเปล่งประกายอยู่ภายในได้รางๆ พริบตาเดียวก็ลอยทะลุห้องไม้ ทั้งยังบินออกไปจากลานที่พัก ออกไปไกลเป็นสิบกว่าจั้ง เสียบปักเข้าไปบนหินก้อนมหึมาก้อนหนึ่งโดยตรง

ไร้สรรพเสียงใด กระบี่ไม้เล่มเล็กนี้พุ่งทะลุเข้าไป ทั้งยังหมุนจ่ออยู่ในหินใหญ่อีกหนึ่งรอบ แล้วจึงพุ่งทะลุออกมา พริบตาเดียวก็กลับมาอยู่เบื้องหน้าป๋ายเสี่ยวฉุน

ตัวกระบี่ไม่มีร่องรอยเสียหายแม้แต่นิด กลับกันยังมีรัศมีความแหลมคมผลุบๆ โผล่ๆ ออกมาให้เห็นอีกด้วย

ป๋ายเสี่ยวฉุนฮึกเหิมเป็นกำลัง ทั้งยังเอากระบี่ไม้เล่มเล็กมาเล่นชมอย่างละเอียดอยู่อีกครู่หนึ่ง หลังจากทาสีอำพรางลายเส้นสีเงินทั้งสามอีกครั้งแล้วถึงได้ผลักประตูไม้ออก เขาสูดลมหายใจเข้าลึกกำลังเตรียมจะพูดจาปลุกเร้ากำลังใจให้ตนเองฮึกเหิมสักหนึ่งประโยค แต่พอนึกถึงการประลองเล็กของเขาเซียงอวิ๋นอีกสองเดือนกว่าข้างหน้าก็ให้รู้สึกว่ายังไม่มั่นคงปลอดภัย

“ไม่ได้ ความสามารถเล็กน้อยแค่นี้เกรงว่าจะยังไม่พอ คนพวกนั้นแต่ละคนต้องโหดเหี้ยมดุร้ายมากอย่างแน่นอน ข้าต้องเตรียมตัวให้มากกว่านี้อีกหน่อยถึงจะดี” ป๋ายเสี่ยวฉุนกัดฟัน นึกถึงขอบเขตสองประเภทที่แนะนำเอาไว้ในวิชาพลังลมปราณม่วงควบคุมกระถาง

ยกหนักเสมือนเบา ยกเบาเสมือนหนัก

ขอบเขตสองประเภทนี้คือวิชาแห่งการบรรลุซึ่งจะเกิดขึ้นเมื่อฝึกพลังลมปราณม่วงควบคุมกระถาง หากสามารถฝึกฝนได้จนถึงจุดสูงสุดก็จะสามารถสร้างพลังอภินิหารอย่างหนึ่งที่เรียกว่าลมปราณม่วงแปลงกระถางได้

ชายฝั่งทิศใต้สำนักธาราเทพในทุกวันนี้ พลังลมปราณม่วงควบคุมกระถางคือวิชาพื้นฐาน แทบทุกคนล้วนฝึกวิชานี้ เพียงแต่คนที่ฝึกได้ถึงขั้นยกหนักเสมือนเบานั้นมีไม่มากนัก ขอบเขตที่สองคือยกเบาเสมือนหนักก็ยิ่งมีให้เห็นน้อย ส่วนการฝึกจนถึงขั้นสูงสุด พัฒนาให้เป็นพลังอภินิหารลมปราณม่วงแปลงกระถางก็ยิ่งมีน้อยเข้าไปใหญ่

ต่อให้มีผู้บรรลุลมปราณม่วงแปลงกระถางจริง ส่วนใหญ่ก็ล้วนมีแต่ลูกศิษย์ของยอดเขาจื่อติ่ง

“ยกหนักเสมือนเบา…มีเพียงบรรลุถึงขอบเขตการควบคุมวัตถุเช่นนี้เท่านั้นถึงสามารถทำให้ความมั่นใจของข้าเพิ่มสูงขึ้นมาได้” ป๋ายเสี่ยวฉุนนึกถึงคำแนะนำในวิชาแล้วก้มลงมองกระบี่ไม้เล่มเล็กในมือ

การต่อสู้ของเขากับสวีเป่าไฉในปีนั้น ถูกกลุ่มคนของฝ่ายตรวจการและฝ่ายครัวไฟเข้าใจผิดว่าบรรลุถึงขั้นยกของหนักเสมือนเบาแล้ว ในเวลานี้มาย้อนคิดดู ในสมองของป๋ายเสี่ยวฉุนมีแสงเลือนรางอย่างหนึ่งเปล่งวาบแล้วหายไป

“ที่ข้าถูกเข้าใจผิดว่าบรรลุถึงขั้นยกของหนักเสมือนเบา เป็นเพราะว่าสามารถควบคุมกระบี่ไม้ได้ตามใจ แต่สาเหตุจริงๆ เกินกว่าครึ่งในนั้น คือตัวกระบี่ไม้ที่ผ่านการหลอมพลังจิตจนมีพลานุภาพไม่ธรรมดาต่างหาก

ในความเป็นจริงแล้วข้ายังไม่ถนัดควบคุมกระบี่ไม้เท่าไหร่นัก จึงยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องยกของหนักเสมือนเบา…” ป๋ายเสี่ยวฉุนขมวดคิ้ว ถือโอกาสนั่งขัดสมาธิลงไปในลานที่พัก ก้มหน้ามองกระบี่ไม้ ดวงตาทั้งคู่ค่อยๆ เลื่อนลอย แต่กลับมีเส้นเลือดค่อยๆ ปรากฏขึ้นมา

ผ่านไปครู่ใหญ่เขาก็ยกมือขวาขึ้นมาอย่างกะทันหัน กระบี่ไม้เล่มเล็กบินลอยตามออกมา ฟันฉับลงไปข้างหน้าแรงๆ หนึ่งที เสียงลมวืดวาดพัดฝุ่นผงบนพื้นดินจำนวนไม่น้อยให้ลอยขึ้น คิ้วของป๋ายเสี่ยวฉุนยิ่งขมวดแน่น มือขวาทำมุทราชี้ไปอีกครั้ง คราวนี้สิ่งที่เขาชี้ไม่ใช่กระบี่ไม้แต่เป็นก้อนหินใหญ่ด้านนอกที่เมื่อครู่เพิ่งถูกกระบี่ไม้แทงทะลุไป

เพียงแค่ชี้ ก้อนหินใหญ่ก้อนนั้นก็สั่นไหวขึ้นมาทันที หลังจากค่อยๆ ลอยสูงขึ้นประมาณหนึ่งฉื่อ พลังวิญญาณในร่างกายป๋ายเสี่ยวฉุนไม่มั่นคง เสียงโครมดังหนึ่งที ก้อนหินใหญ่ร่วงลงมาอีกครั้ง

แต่ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่เพียงไม่เสียใจ กลับกันนั้นดวงตาทั้งคู่ยิ่งเปล่งประกายมากขึ้น เขามีความมุ่งมั่น เคลื่อนย้ายพลังวิญญาณในร่างกาย ยกนิ้วขึ้นมาชี้อีกครั้ง

หนึ่งครั้ง สองครั้ง สามครั้ง…

เวลาผันผ่าน พริบตาเดียวก็ผ่านไปแล้วครึ่งเดือน ตลอดครึ่งเดือนมานี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนแทบจะทดลองควบคุมหินก้อนใหญ่นั้นอยู่ตลอดเวลา หินก้อนนี้สูงพอร่างสามคนกว่าต่อกัน น้ำหนักไม่ต่ำกว่าเจ็ดแปดร้อยจิน[1] ต่อให้ป๋ายเสี่ยวฉุนฝึกได้ถึงขั้นสมบูรณ์แบบของการรวมลมปราณขั้นที่ห้าแล้ว คิดจะควบคุมวัตถุชิ้นนี้ให้ได้อย่างไม่มีที่ติก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องง่ายนัก

และเป็นเพราะพลังในร่างกายของเขาผ่านการกลั่นกรองมาแล้วจึงสามารถทดลองทำได้ หากเปลี่ยนเป็นการรวมลมปราณขั้นที่ห้าของคนอื่น อย่างมากที่สุดก็คือทำให้หินใหญ่ก้อนนี้ลอยขึ้นมาได้เพียงไม่กี่ฉื่อเท่านั้น

เมื่อผ่านการพยายามอย่างไม่ย่อท้อมาตลอดหนึ่งเดือน ป๋ายเสี่ยวฉุนค้นพบถึงความยากลำบากที่สุดของการควบคุมหินก้อนใหญ่นี้ของตนเองนานแล้ว ไม่ใช่เพราะพลังวิญญาณไม่พอ แต่เป็นเพราะควบคุมได้ไม่มั่นคง เห็นๆ อยู่ว่าพลังวิญญาณยังมี แต่กลับมักจะหยุดชะงักไปกลางคัน

“พลังวิญญาณกลายเป็นเส้นไหม ใช้ความเร็วที่มั่นคงในการเคลื่อนพลัง ทำให้ไหมเส้นนี้ไม่มีทางหลุดขาดไปได้ นี่จึงจะเป็นกุญแจสำคัญในการควบคุมวัตถุ” นัยน์ตาป๋ายเสี่ยวฉุนเปล่งประกายวาบ ดวงตาทั้งคู่เต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอย พูดพึมพำเสียงแหบแห้ง

นี่ก็เหมือนกับเส้นหมี่ที่ชาวบ้านธรรมดาเป็นผู้ทำขึ้นมา ดึงเส้นเร็วเกินไปจะทำให้เส้นขาดออกจากกัน หากช้าเกินไปก็ไม่อาจดึงให้เส้นยาวมากขึ้นอีก จำเป็นต้องกะระยะให้ดี ถึงจะสามารถมีฝีมือที่ชำนาญ ทำให้ออกมาดีได้ดั่งใจ

ส่วนการควบคุมวัตถุของผู้บำเพ็ญเพียร หากคิดจะบรรลุถึงระดับเหนือล้ำความธรรมดา จำเป็นต้องรักษาระยะที่ว่านี้ให้มั่นคงถึงจะได้ เมื่อเป็นเช่นนี้แน่นอนว่าความยากจึงเพิ่มมากขึ้น

“ข้าเข้าใจแล้ว ยกหนักเสมือนเบาที่พูดถึงไม่ใช่ความหมายตามตัวอักษร ควบคุมวัตถุหนักมีความรู้สึกเหมือนเบา นี่เป็นเพียงแค่จินตนาการเท่านั้น ความหมายแฝงที่แท้จริงไม่ได้เกี่ยวกับวัตถุ แต่เกี่ยวกับการควบคุมพลังวิญญาณ!”

“พลังวิญญาณของการรวมลมปราณขั้นห้าของข้าก็คือคำว่าหนักนี้ และจะนำมันมาทำให้กลายเป็นเส้นไหมที่เล็กแต่ไม่ขาดเส้นหนึ่งได้ก็คือคำว่าเบา หากทำได้ก็คือยกหนักเสมือนเบา และเมื่อมองจากภายนอกก็คือระดับความเร็วหลังจากที่ฝึกจนชำนาญแล้ว!” สีหน้าป๋ายเสี่ยวฉุนเผยความตื่นเต้น หลังจากที่เขาคิดปัญหาข้อนี้ออก มือขวาก็ยกขึ้นมาโบกหนึ่งที ทันใดนั้นหินก้อนใหญ่ที่อยู่ไกลออกไปก้อนนั้นก็สั่นไหว ถูกยกลอยขึ้นทันควัน

ราวกับว่ามีมือยักษ์ที่มองไม่เห็นข้างหนึ่งจับก้อนหินใหญ่นี้เอาไว้ หลังจากลอยขึ้นในอากาศเสียงดังฟู่หนึ่งที ก็ดิ่งทะยานมาหาป๋ายเสี่ยวฉุน แต่พลันหยุดชะงักอยู่กลางอากาศแล้วร่วงกระแทกอยู่ในลานที่พัก ก่อให้ฝุ่นตลบคลุ้งขึ้นมา

ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ท้อถอย ทดลองทำต่อ จนกระทั่งเวลาผ่านไปอีกครึ่งเดือน เขาพบว่าไม่ว่าตนเองจะทำเช่นไรก็คล้ายกับจะไม่สามารถทำได้ถึงขั้นรักษาให้พลังวิญญาณของตนเป็นดั่งเส้นไหมบางที่ไม่ขาดจากกันได้ตลอดรอดฝั่ง

มีบางครั้งแม้ว่าจะทำได้จริงแล้ว แต่เพราะก้อนหินใหญ่หนักเกินไป ทำให้เส้นไหมพลังวิญญาณที่กำลังหมุนเวียนขาดออกจากกันเนื่องจากความไม่มั่นคง

แต่ถ้าหากนำไปควบคุมกระบี่ไม้เล่มเล็กกลับไม่มีปัญหาข้อนี้ เพราะน้ำหนักของมันเทียบกับหินใหญ่ไม่ได้ เวลาที่ควบคุมป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกสบายกว่ามากอย่างเห็นได้ชัด อีกทั้งจากการฝึกฝนตลอดหนึ่งเดือน ความเร็วก็เพิ่มขึ้นมาหลายส่วนด้วย

ในความเป็นจริง นี่คือการยกหนักเสมือนเบาแล้ว แต่ป๋ายเสี่ยวฉุนกลับไม่พอใจ ดวงตาของเขาแดงก่ำ กัดฟันแรงๆ หนึ่งที ความมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยวประเภทนั้นเพิ่มพูนขึ้นมา

“ข้าไม่เชื่อหรอก!” มือขวาป๋ายเสี่ยวฉุนทำมุทราแล้วชี้ หินใหญ่ก้อนนี้ลอยมาอยู่บนศีรษะของเขา

หน้าผากของป๋ายเสี่ยวฉุนมีเหงื่อเย็นๆ ผุดซึม มองไปยังหินใหญ่ที่อยู่บนหัวด้วยความอกสั่นขวัญแขวน ทุ่มเทความสามารถอย่างเต็มที่เพื่อรักษาเส้นไหมพลังจิตที่มองไม่เห็นเส้นนั้น คราวนี้หากมันขาดลง หลังจากหินก้อนใหญ่หล่นลงมา แม้ว่าจะไม่กระแทกหัวจนเขาตาย แต่ก็ต้องเจ็บปวดรุนแรงแน่นอน

เวลาที่ยืนหยัดได้ในครั้งนี้เพิ่มมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แต่เมื่อครึ่งชั่วยามผ่านไป เสียงตูมดังหนึ่งที ป๋ายเสี่ยวฉุนกรีดร้องโหยหวน หินใหญ่ก้อนนั้นร่วงลงมา ผ่านไปนานหินก้อนใหญ่ถึงได้ขยับ ป๋ายเสี่ยวฉุนผลักมันออกไปแล้วปีนออกมาจากด้านใน

เขามีหนังคงกระพันปกป้องจึงไม่มีบาดแผล แต่ความเจ็บปวดนั้นทำให้เขาถึงกับต้องแยกเขี้ยวยิงฟัน

แต่วิญญาณนักสู้ของเขากลับรุนแรงมากยิ่งกว่า ภายใต้การทดลองอย่างไม่หยุดพักนี้เวลาก็ได้ผ่านไปอีกหนึ่งเดือน หินใหญ่ก้อนนั้นที่แต่เดิมทุกวันจะต้องร่วงลงมากระแทกวันละหลายครั้ง ก็ค่อยๆ กลายเป็นวันละครั้ง พอถึงท้ายที่สุด บางครั้งป๋ายเสี่ยวฉุนยังถึงขั้นที่สามารถทำได้สำเร็จโดยไม่ล้มเหลวสักครั้งเลยตลอดทั้งวัน

ส่วนหินใหญ่ก้อนนั้นก็ถูกเขาค่อยๆ ยกขึ้นสูง อย่างมากที่สุดคือสูงถึงสิบกว่าจั้ง หากร่วงลงมากระแทกทั้งอย่างนี้ ความเจ็บปวดนั้นแม้จะเป็นป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็ยังใบหน้าซีดเผือด

แต่มีเพียงวิธีนี้เท่านั้น ถึงจะทำให้สมาธิเขาจดจ่อมารวมกันได้ถึงขั้นสูงสุด

และเขาก็ค่อยๆ ทำให้พลังวิญญาณในร่างกายยกหนักเสมือนเบา รักษาความมั่นคงได้ตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่มีการหยุดชะงักกลางคันเลยแม้แต่นิด แต่เขาก็ยังคงไม่พอใจ ดังนั้นจึงไม่นั่งขัดสมาธิต่อ แต่เป็นเคลื่อนไหวร่างกายไปพลาง รักษาเส้นไหมพลังวิญญาณไม่ให้ขาดไปพลาง

ระดับความยากเพิ่มมากขึ้น เสียงดังตูมตามในลานที่พักดังขึ้นทุกระยะอีกครั้ง

เวลาผันผ่านไปแต่ละวัน เมื่อเหลือเวลาแค่เพียงสามวันก็จะถึงการประลองเล็กที่หลี่ชิงโหวพูดถึง ลานที่พักของป๋ายเสี่ยวฉุน กลางอากาศมีหินใหญ่หนักขนาดเจ็ดแปดร้อยจินก้อนหนึ่งลอยอยู่ ในลานมีร่างของเขาเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว เขาทำได้ถึงระดับที่ว่าเคลื่อนไหวร่างกายไม่หยุดไปด้วย ก้อนหินใหญ่ก็ยังคงลอยอยู่กลางอากาศไม่ขยับเขยื้อนไปด้วยได้แล้ว

เคลื่อนไหวอยู่นาน ร่างกายป๋ายเสี่ยวฉุนก็หยุดชะงัก ยืนอยู่หน้าบ้านไม้ เงยหน้าขึ้นฟ้าหัวเราะเสียงดัง มือขวายกขึ้นโบกหนึ่งที หินใหญ่ที่อยู่กลางอากาศก้อนนั้นลอยออกไปนอกลานที่พักดังวูบ ร่วงลงไปยังที่เดิมอย่างมั่นคง

ป๋ายเสี่ยวฉุนทำมุทราชี้ไป กระบี่ไม้เล่มเล็กบินออกมา ยังคงตวัดฟันไปข้างหน้าอย่างเรียบง่ายเช่นเดิม แต่ความเร็วมีมากถึงระดับที่ทำให้มองเห็นตัวกระบี่ไม่ชัด แข็งแกร่งกว่าก่อนหน้านี้หลายต่อหลายเท่านัก

ใบหน้าป๋ายเสี่ยวฉุนเต็มไปด้วยความปิติ ทำท่ามุทราอย่างรวดเร็ว

ความเร็วอย่างถึงที่สุดบวกกับพลานุภาพของกระบี่ไม้ บรรลุไปถึงระดับที่สร้างความตกตะลึงได้ในทันที ชั่วพริบตาเดียวในลานที่พักก็ราวกับมีกระบี่ไม้เล่มเล็กจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นมา บินฉวัดเฉวียนแผ่รัศมี

สุดท้ายเขาสะบัดปลายแขนเสื้อหนึ่งที ภาพมายาของกระบี่ไม้หายไปหมด มีเพียงเล่มเดียวที่คงอยู่ พุ่งดิ่งมายังป๋ายเสี่ยวฉุนและหายวับเข้าไปในถุงเก็บของของเขา

“ครั้งนี้น่าจะสามารถเข้าเป็นห้าอันดับแรกได้แล้วนะ” ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจเข้าลึก แม้จะยังรู้สึกว่าไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่นัก แต่เวลาใกล้จะถึงแล้ว เขาทำได้เพียงแค่รวบรวมสตินั่งขัดสมาธิ รักษาสภาพของตนให้อยู่ในสภาวะที่ดีที่สุด

———-

[1] จิน มีน้ำหนักเท่ากับ 500 กรัม เจ็ดแปดร้อยจินจึงหนักประมาณ 350-400 กิโลกรัม

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version