Skip to content

A Will Eternal 30

บทที่ 30 เข้ามาสิ!

สามวันต่อมาตอนเช้าตรู่

ป๋ายเสี่ยวฉุนลืมตาตั้งแต่พระอาทิตย์เพิ่งโผล่พ้นขอบฟ้า เขาสูดลมหายใจเข้าลึก สมาธิแน่วแน่ถึงขีดสุด การประลองของสำนักเช่นนี้ สำหรับเขาแล้วถือว่าเพิ่งได้เจอเป็นครั้งแรก

ตอนนั้นที่มีเรื่องกับสวีเป่าไฉไม่ถือว่าเป็นการต่อสู้อะไร เวลานี้ที่ต้องเข้าร่วมการประลองเล็กของเขาเซียงอวิ๋นต่างหาก ถึงจะหมายถึงการต่อสู้ระหว่างผู้ร่วมสำนักด้วยกันอย่างแท้จริง

ป๋ายเสี่ยวฉุนค่อยๆ ลุกขึ้นยืน หลังจากจัดระเบียบถุงเก็บของอยู่สักพักก็เดินออกจากบ้านพักไปด้วยสีหน้าเคร่งขรึม แต่ก็วิ่งกลับมาอย่างรวดเร็ว พลิกใต้เตียงไปมา หาเสื้อหนังที่เก็บเอาไว้ตอนอยู่ฝ่ายครัวไฟ สวมเข้าไปบนตัวทีละชุด แล้วก็เอาหยกออกมาแขวนในตำแหน่งที่สามารถใช้งานได้ทันที

หากไม่เป็นเพราะหม้อกระดองเต่าเอาออกมาไม่สะดวก เขาก็อยากจะเอามันมาแบกไว้บนหลังเสียด้วยซ้ำ

“พลาดแล้ว ลืมเตรียมหม้อใหญ่ใบหนึ่งไปได้ยังไงนะ” ป๋ายเสี่ยวฉุนใจเสียที่พลาดไป แต่ไม่มีเวลาไปหามาแล้ว ดังนั้นจึงกัดฟันยอมเดินออกไปนอกห้องอีกครั้ง มองไปยังดวงอาทิตย์ที่อยู่แสนไกล นัยน์ตาของเขาเผยแววเด็ดเดี่ยว เชิดหน้ายืดอก เดินไปทางยอดเขา

เสื้อหนังที่อยู่บนตัวเขามีมากเกินไป แม้ว่าไม่มีหม้อสีดำ แต่มองดูแล้วก็ยังคงเหมือนบะจ่างก้อนหนึ่งอยู่ดี…แน่นจนลมไม่เล็ดรอด ทำให้เดินไปได้ไม่นานเท่าไหร่ หน้าผากของป๋ายเสี่ยวฉุนก็มีเหงื่อออก

แต่ต่อให้เหงื่อมีมากแค่ไหน เขาก็ไม่ถอดเสื้อหนังออกแม้แต่ชิ้นเดียว เขาใส่ใจกับการประลองเล็กอย่างมาก ในสมองมีแต่ภาพโหดร้ายทารุณตามจินตนาการลอยมาไม่หยุดหย่อน เดินไปตามทางภูเขาก็ค่อยๆ มาถึงยอดเขา แต่ยอดเขายามเช้าตรู่หมอกหนาเกินไป ป๋ายเสี่ยวฉุนเดินๆ อยู่ ทันใดนั้นเขาก็พบว่าตนเองเดินเลี้ยวมาที่ไหนแล้วก็ไม่รู้

“ไม่ถูกสิ…” ป๋ายเสี่ยวฉุนรีบหาคนสอบถามถึงได้เปลี่ยนทิศทาง ในใจเต้นกระหน่ำกลัวว่าจะไปสายเลยเวลา

บนยอดเขาของเขาเซียงอวิ๋นมีลานแสดงวรยุทธ์อยู่แห่งหนึ่ง และที่นี่ก็คือสถานที่ที่ใช้จัดการประลองเล็กของเขาเซียงอวิ๋น ในเวลานี้มีคนมาล้อมรอบอยู่ไม่น้อยแล้ว กำลังพูดคุยกันเสียงเบา

ในนั้นยังมีพวกลูกศิษย์ที่ฝึกพลังจนเกินการรวมลมปราณขั้นที่ห้าไปแล้วอยู่ด้วย ซึ่งส่วนใหญ่ล้วนนั่งกอดอก มองไปยังศิษย์น้องชายศิษย์น้องหญิงเหล่านั้น แน่นอนว่าช่วยสร้างความน่าเกรงขามให้ได้มาก

การประลองเล็กของศิษย์ฝ่ายนอกเขาเซียงอวิ๋นประเภทนี้ แม้ว่าจะไม่ใช่งานทางการเท่าไหร่นัก แต่กลับเป็นสถานที่ให้ศิษย์ฝ่ายนอกได้แสดงฝีมืออกมา ครั้งนี้คนที่เข้าร่วมก็มีถึงยี่สิบกว่าคน ส่วนใหญ่ล้วนนั่งขัดสมาธิ เตรียมตัวด้วยความจริงจังอย่างยิ่งอยู่รอบๆ ลานแสดงวรยุทธ์

ในนั้นไม่มีใครที่มีพลังแค่ขั้นรวมลมปราณขั้นที่สาม แม้ว่ากฏของการประลองเล็กฝ่ายนอกนี้จะบอกไว้ว่าผู้มีพลังการรวมลมปราณขั้นที่สาม สี่ ห้าล้วนสามารถเข้าร่วมได้ แต่ในความเป็นจริงแล้วคนที่มาที่นี่ส่วนใหญ่ล้วนมีพลังถึงการรวมลมปราณขั้นที่ห้า ต่อให้เป็นการรวมลมปราณขั้นที่สี่ก็มีแค่ห้าหกคนเท่านั้น

หนึ่งในนั้นมีหญิงสาวผู้หนึ่งที่โดดเด่นมาก หญิงสาวผู้นี้รูปร่างสูงโปร่ง เมื่ออยู่ภายใต้อาภรณ์ของศิษย์ฝ่ายนอกแล้ว สามารถมองเห็นส่วนเว้าส่วนโค้งได้รางๆ ทรวดทรงองค์เอวที่งดงามทำให้คนมองจินตนาการไปไกล

ผิวพรรณขาวดั่งหิมะ ใต้คิ้วที่โค้งดุจกิ่งหลิวมีดวงตาคู่งามเป็นประกายดั่งสายน้ำ ใบหน้างามล้ำ โดยเฉพาะกางเกงที่สวมอยู่ใต้เสื้อคลุมยาวที่มองดูแล้วใหญ่โคร่ง แต่ตรงตำแหน่งสะโพกกลับแน่นเปรี๊ยะอย่างน่าตะลึง เผยให้เห็นถึงความยืดหยุ่นอย่างน่าตกใจ

รอบกายของนางมีศิษย์ฝ่ายนอกจำนวนไม่น้อยรายล้อม เห็นได้ชัดว่านั่นคือคนที่ชื่นชอบหญิงสาวผู้นี้

หญิงสาวผู้นี้คือลูกศิษย์ฝ่ายนอกคนหนึ่ง ที่ถึงแม้จะเทียบโจวซินฉีไม่ได้แต่ก็มีชื่อเสียงอยู่มากทีเดียว นางคือตู้หลิงเฟย

“การประลองเล็กครั้งนี้ ดูจากพลังขั้นสมบูรณ์แบบของการรวมลมปราณขั้นที่ห้าของศิษย์พี่หญิงตู้ ก็น่าจะได้เป็นอันดับหนึ่งแล้ว ไม่มีเรื่องใดให้ต้องกังวลเลย”

“ศิษย์พี่เฉินจื่ออ๋างก็ดูถูกไม่ได้นะ ได้ยินว่าเมื่อหนึ่งเดือนก่อนเขาฝึกวิชาจนทะลายฝ่าไปอีกขั้นได้แล้ว แม้ว่าจะไม่ใช่ขั้นสมบูรณ์แบบของการรวมลมปราณขั้นที่ห้าแต่ก็ใกล้เคียงแล้ว” ขณะที่คนรอบด้านวิพากษ์วิจารณ์กันเสียงเบา ไม่ห่างจากตู้หลิงเฟยนัก มีชายหนุ่มคนหนึ่งยืนอยู่ด้วยใบหน้าลำพองใจ เขาก็คือเฉินจื่ออ๋างผู้ที่ตะลึงงันไปกับต้นไผ่ของป่ายเสี่ยวฉุนตอนที่อยู่ส่วนมอบภารกิจนั่นเอง

เมื่อเขามองไปยังตู้หลิงเฟย ดวงตาก็เปล่งแสงแวววับ ในใจขบคิดว่าครั้งนี้ตนเองไม่มีทางได้อันดับหนึ่งแน่นอน แต่ว่าอันดับที่สองต้องเป็นของตนอย่างไม่ต้องสงสัย บางทีอาจจะถือโอกาสนี้มาทำความคุ้นเคยใกล้ชิดกับตู้หลิงเฟยได้อีกสักหน่อย

ขณะที่ทุกคนกำลังรอคอยอยู่นั้น สายรุ้งเส้นยาวสองเส้นถลาเข้ามาจากจุดไกลๆ พริบตาเดียวก็เข้ามาใกล้ จากนั้นก็แปลงเป็นร่างของหลี่ชิงโหว ข้างกายเขายังมีผู้เฒ่าอีกหนึ่งคน ผู้เฒ่าคนนี้ผอมแห้ง ผิวคล้ำเล็กน้อย แต่ดวงตาทั้งคู่กลับแจ่มใสอย่างยิ่ง ลักษณะของเขาให้ความรู้สึกว่าเป็นคนเข้มงวดมาก

หลี่ชิงโหวเพิ่งปรากฏตัว ลูกศิษย์ฝ่ายนอกทั้งหมดที่อยู่โดยรอบล้วนตกใจไปตามๆ กัน รีบทำท่าคารวะ

“คารวะท่านผู้นำ ท่านผู้เฒ่าซุน” แต่ละคนพากันสงสัยว่าเหตุใดวันนี้ท่านผู้นำถึงมาด้วยตัวเอง ต้องรู้ว่าที่ผ่านมาการประลองเล็กระดับนี้ ส่วนใหญ่มีแต่ท่านผู้เฒ่าซุนคนเดียวเท่านั้นที่เป็นประธานของงาน

พวกตู้หลิงเฟยและเฉินจื่ออ๋างก็ตะลึงไปเช่นกัน คารวะหลี่ชิงโหวอย่างเคารพเลื่อมใส

หลี่ชิงโหวพยักหน้าตอบรับด้วยสีหน้าอ่อนโยน ขณะที่กวาดสายตาไปยังเหล่าลูกศิษย์ทุกคนที่อยู่รอบกายกลับขมวดคิ้วน้อยๆ เขามองไม่เห็นป๋ายเสี่ยวฉุน

สังเกตเห็นว่าหลี่ชิงโหวขมวดคิ้ว ในใจของลูกศิษย์ฝ่ายนอกรอบด้านล้วนเต้นตึกตัก ขนาดตู้หลิงเฟยเองก็ยังเครียดไปด้วย ไม่รู้ว่าท่านผู้นำไม่สบอารมณ์ด้วยเรื่องอันใด

“ท่านผู้นำ เริ่มได้หรือยัง?” ผู้เฒ่าซุนที่อยู่ข้างกายหลี่ชิงโหวเอ่ยปากช้าๆ

หลี่ชิงโหวกำลังจะพูด แต่เวลาเดียวกันนั้น ตรงจุดไกลๆ มีร่างหนึ่ง ทั้งเนื้อทั้งตัวไม่ต่างไปจากลูกกลมลูกเล็กกำลังวิ่งเข้ามาด้วยความรวดเร็ว วิ่งไปด้วยร้อนใจไปด้วย

“หลงทางเสียแล้ว หมอกหนาเกิน…” ป๋ายเสี่ยวฉุนวิ่งเข้ามาอย่างเร็วรี่ พอเห็นหลี่ชิงโหวจึงรีบเอ่ยปากทันใด ในใจก็ให้รู้สึกไม่เป็นธรรมเอาเสียเลย เขาไม่คุ้นชินกับทางบนยอดเขาเอามากๆ ภูเขาลูกใหญ่ขนาดนี้ แถมหมอกก็หนาขนาดนั้น ในใจเขามีเรื่องให้ขบคิดจึงเดินไปผิดทางโดยไม่รู้ตัว

พอเขาพูดออกมา ลูกศิษย์ฝ่ายนอกทุกคนที่อยู่โดยรอบล้วนหันไปมองอย่างอดไม่อยู่ ในนั้นมีบางคนที่รู้จักป๋ายเสี่ยวฉุน ได้ยินประโยคนี้เข้าก็หัวเราะเสียงเบาออกมาอย่างกลั้นไม่ไหว ส่วนคนที่ไม่รู้จักก็ล้วนพากันขมวดคิ้วฉับ บางคนถึงขั้นเผยสายตาดูถูกออกมาด้วยซ้ำ

สามารถหลงทางบนภูเขาเซียงอวิ๋นได้ ก็เข้าใจได้อย่างเดียวว่าปกติแล้วคนตรงหน้านี้ไม่เคยมายังยอดเขา ไม่ได้ให้ความสนใจการประลองของสำนักเลยสักนิด ซึ่งส่วนมากมักจะเป็นเพียงแค่ลูกศิษย์ทั่วไปที่เดินเตร็ดเตร่อยู่ช่วงกลางของภูเขาเท่านั้น

ตู้หลิงเฟยมองป๋ายเสี่ยวฉุนหนึ่งที จำได้ว่าป๋ายเสี่ยวฉุนคือหนึ่งในลูกศิษย์ของสำนักที่ช่วงก่อนหน้านี้ยกยอปอปั้นโจวซินฉี ได้ยินว่าตอนที่จับโจรขโมยไก่เขาทุ่มเทแรงกายแรงใจอย่างสุดกำลัง จึงนึกเหยียดหยามในใจ ดึงสายตากลับมา มองเมินเขาไปเสีย

เฉินจื่ออ๋างที่อยู่ในกลุ่มคน พอเห็นป๋ายเสี่ยวฉุนเข้าก็อึ้งงัน เขากวาดสายตาไปมองหลี่ชิงโหวโดยไม่รู้ตัว ในใจนึกถึงประโยคที่ป๋ายเสี่ยวฉุนบอกตอนก่อนจะไปจากจุดส่งมอบภารกิจว่าหลี่ชิงโหวคืออาของเขา พลันก็เข้าใจถึงสาเหตุที่หลี่ชิงโหวขมวดคิ้วเมื่อครู่ ในใจครุ่นคิดว่าเมื่อถึงคราวต้องลงมือ หากเจอกับป๋ายเสี่ยวฉุน จะตีเขารุนแรงเกินไปนักไม่ได้

หลี่ชิงโหวทำเสียงหึเย็นชาหนึ่งที จ้องเขม็งไปยังป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างดุดัน พยักหน้าน้อยๆ ให้กับผู้เฒ่าซุนที่อยู่ข้างกาย

ผู้เฒ่าซุนคิดอะไรขึ้นมาได้ จึงมองไปยังป๋ายเสี่ยวฉุนหนึ่งที หัวเราะออกมาแล้วค่อยสะบัดปลายเสื้อแขนยาวครั้งหนึ่ง

“เอาล่ะ ผู้ที่อยากจะเข้าร่วมการประลองเล็กฝ่ายนอก เดินขึ้นเวทีมา”

เห็นหลี่ชิงโหวจ้องตนเอง ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ให้รู้สึกอดสูยิ่งนัก ได้แต่โกรธแต่ไม่กล้าพูด ในเวลานี้พอได้ยินประโยคนี้ของผู้เฒ่าซุนจึงพุ่งออกไปเป็นคนแรก ยืนอยู่บนเวทีประลอง หน้าเชิดอกตรงด้วยท่าทางต่อให้ขึ้นเขามีดลงทะเลไฟก็ไม่หวาดหวั่น

ไม่นานทุกคนก็เดินขึ้นเวทีไป รวมป๋ายเสี่ยวฉุนเข้าไปด้วยจึงมีศิษย์ฝ่ายนอกทั้งหมดยี่สิบคน

การประลองเล็กกันเองแบบนี้ของเขาเซียงอวิ๋น ด้านกฎเกณฑ์จึงไม่เคร่งครัดเท่าไหร่นัก ผู้เฒ่าซุนกวาดสายตาหนึ่งครั้ง เมื่อมือขวายกขึ้นก็หยิบเอาถุงผ้าหนึ่งใบออกมา ด้านในมีลูกกลมเล็กแห้งอยู่หลายลูก แต่ละลูกมีเครื่องหมายอยู่ ให้ลูกศิษย์ฝ่ายนอกแต่ละคนเดินหน้าไปหยิบออกมาเอง เพื่อตัดสินคนที่จะมาต่อสู้ด้วย

ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ได้เป็นคนแรกที่เดินเข้าไป แต่มาแทรกอยู่ตรงกลาง เดินไปหยิบลูกกลมออกมาหนึ่งลูก ด้านบนเขียนว่าสิบเอ็ด

“เอาล่ะ ทุกคนถอยไปกันให้หมด รอบแรก การต่อสู้ของหนึ่งสอง!” หลังจากผู้เฒ่าซุนเอ่ยปากเนิบนาบแล้ว ป๋ายเสี่ยวฉุนรีบตามคนอื่นออกไปจากเวทีแสดงวรยุทธ์ มีเพียงลูกศิษย์ที่หยิบลูกกลมได้ลูกที่หนึ่งและสองเท่านั้นที่ยังอยู่บนเวที สองคนนี้หลังจากมองกันและกันแล้ว นัยน์ตาต่างก็เผยประกายแหลมคม

แล้วก็ต่อสู้กันอย่างรวดเร็ว เสียงปึงปังดังออกมา ขณะที่ทั้งสองคนต่อสู้กัน ป๋ายเสี่ยวฉุนมองเปะปะไปรอบกาย ในใจเขาแอบคำนวณการประลองของคนยี่สิบคน ขอเพียงตนเองชนะสองครั้งก็สามารถติดหนึ่งในห้าได้อย่างมั่นคงแล้ว ดังนั้นจึงคิดจะหาลูกศิษย์คนที่หยิบลูกกลมได้ลูกที่สิบสอง แต่คนพวกนั้นล้วนเก็บซ่อนเอาไว้อย่างแน่นหนา ไม่ให้โอกาสเขาแม้แต่นิด

ขณะกำลังหน้าม่อยคอตก การประลองรอบแรกก็จบลง รอบที่สองเริ่มขึ้น ผู้ที่ลงแข่งคือตู้หลิงเฟย ระหว่างที่หญิงสาวทำมุทรา ธงผืนหนึ่งก็ปรากฏออกมากลายเป็นกลุ่มหมอก โอบล้อมลูกศิษย์ที่ต่อสู้กับนางเอาไว้ ลูกศิษย์คนนั้นเดินไปมาอยู่นานก็บุกออกมาจากไอหมอกไม่ได้ จึงยอมแพ้ไปอย่างราบคาบ

รอบที่สาม รอบที่สี่เองก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ส่วนรอบที่ห้าเป็นการแสดงฝีมือของเฉินจื่ออ๋าง โจมตีลูกศิษย์ฝ่ายนอกที่อยู่ขั้นการรวมลมปราณที่สี่ให้พ่ายแพ้ไปอย่างรวดเร็วง่ายดาย

“ลูกกลมที่สิบเอ็ด ลูกกลมที่สิบสอง ลงประลอง” เมื่อเสียงของผู้เฒ่าซุนลอยมา ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจเข้าลึก ค่อยๆ เดินออกไปด้วยสีหน้าเคร่งขรึม หลังจากมายืนอยู่บนเวทีแล้ว เขามองเห็นชายหนุ่มผอมสูงคนหนึ่งเดินออกมาด้วยรอยยิ้มเย็นเยียบ

ชายหนุ่มคนนี้มีพลังไม่ธรรมดา อยู่ในขั้นการรวมลมปราณขั้นที่ห้าเช่นเดียวกัน สายตาประดุจสายฟ้า มองดูแล้วไม่น่าแหยมไปมีเรื่องด้วย

“ศิษย์น้อง เจอกับข้าถือว่าเจ้าดวงซวย ยอมแพ้ตอนนี้ยังทันนะ มิเช่นนั้นล่ะก็ หลังจากประลองยุทธ์ไปแล้ว บาดเจ็บขึ้นมาต้องรับผิดชอบเอง” ชายหนุ่มร่างผอมเอ่ยปากเสียงเย็น

และชั่วพริบตาที่เขาปล่อยคำพูดออกมานั้น ป๋ายเสี่ยวฉุนก็คำรามเสียงดังขึ้นมาหนึ่งที

เสียงคำรามนี้มีพลังมากพอ สะท้านสะเทือนจนคนจำนวนไม่น้อยที่อยู่รอบทิศยังตกตะลึง ชายหนุ่มร่างผอมคนนั้นก็ใจสั่นเช่นกัน ถอยหลังไปหลายก้าวโดยไม่รู้ตัว เมื่อมองไปยังป๋ายเสี่ยวฉุนอีกครั้งกลับอึ้งงันไปครู่หนึ่ง

เห็นเพียงว่าหลังจากที่ป๋ายเสี่ยวฉุนคำรามเสียงดังแล้ว ก็ตบหยกสีเขียวที่อยู่บนตัว ทันใดนั้นแสงสีเขียวเส้นหนาก็ปรากฏพรวดออกมาปกคลุมไปรอบบริเวณ เขายังรู้สึกไม่วางใจจึงหยิบกระดาษยันต์ปึกใหญ่ที่อยู่ในถุงผ้าออกมาอีก เอามาแปะไปทั่วร่าง ทุกครั้งที่ยันต์กระทบลงไปก็จะมีแสงสว่างวาบขึ้นหนึ่งที ไม่นาน แสงสว่างบนร่างของเขาก็มีถึงสิบกว่าเส้น รวมตัวกันแน่นขนัด กลายเป็นพลังคุ้มกันซึ่งหนาถึงสี่ฉื่อกว่า เมื่อมองไกลๆ สามารถทำให้คนตะลึงค้างได้ทีเดียว

“เข้ามาสิ!” เสียงของป๋ายเสี่ยวฉุนดังลอดออกมาจากแสงคุ้มกันแผงนั้น จึงฟังอู้อี้อยู่มาก

ชายหนุ่มร่างผอมอึ้งงัน ไม่เพียงแต่เขาเท่านั้นที่เป็นเช่นนี้ ลูกศิษย์ฝ่ายนอกรอบด้านเหล่านั้น รวมไปถึงกลุ่มคนที่เข้าร่วมการแข่งขันล้วนตะลึงอ้าปากค้าง พวกเขาเคยดูการประลองเล็กมาหลายครั้ง นี่เป็นครั้งแรกเลยที่เห็นคนป้องกันตัวเองถึงระดับนี้

ใบหน้าหลี่ชิงโหวบิดเบี้ยวเล็กน้อย ดวงตาเผยแววหน่ายใจ

เฉินจื่ออ๋างสูดลมหายใจเฮือก ในใจก็ยิ่งแน่ใจแล้วว่าป๋ายเสี่ยวฉุนกับหลี่ชิงโหวมีความสัมพันธ์เป็นญาติมิตรกันอย่างแท้จริง ส่วนตู้หลิงเฟยทำเสียงหึเย็นชา สายตาก็ยิ่งดูถูกเหยียดหยาม

บนเวทีแสดงยุทธ์ ภายใต้สายตาอึ้งงันของฝูงชน ชายร่างผอมฝืนคำรามเสียงเบาหนึ่งที มือทั้งสองทำมุทรา กระบี่ไม้เล่มหนึ่งก็ลอยออกมาทันใด พุ่งดิ่งตรงไปยังป๋ายเสี่ยวฉุน

———-

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version