Skip to content

A Will Eternal 31

บทที่ 31 อัปยศนัก!

กระบี่ไม้ของชายหนุ่มร่างผอมแห้งก่อให้เกิดพลานุภาพที่ไม่ธรรมดา แปลงเป็นสายรุ้งเส้นยาวเส้นหนึ่ง พุ่งตรงดิ่งมายังป๋ายเสี่ยวฉุน แต่ยังไม่ทันได้เข้าใกล้ร่างกายของเขา ขณะที่อยู่ห่างป๋ายเสี่ยวฉุนออกไปประมาณสี่ฉื่อ เมื่อกระบี่ไม้นี้กระแทกบนแสงคุ้มกันแน่นหนานั้นดังตึงหนึ่งทีก็ถูกดีดกลับมา

ป๋ายเสี่ยวฉุนที่อยู่ในแสงคุ้มกันดวงตาเปล่งประกายวาบ รู้สึกวางใจขึ้นมาทันที ไอแห้งๆ หนึ่งครั้ง ถือโอกาสนั่งขัดสมาธิเสียเลย

ฝูงชนรอบด้านมองหน้าสบตากัน ล้วนมองไปยังแสงป้องกันตัวรอบกายป๋ายเสี่ยวฉุน ไม่รู้ควรจะพูดอย่างไรไปชั่วขณะ พวกเขาเคยเห็นผู้ที่เชี่ยวชาญในด้านการป้องกัน แต่กลับไม่เคยเห็น…คนที่ป้องกันตัวเช่นนี้

ส่วนชายหนุ่มคนนั้นเดี๋ยวๆ ก็หน้าแดง เดี๋ยวๆ ก็หน้าซีดสลับกัน กัดฟันแรงๆ หนึ่งที คำรามเสียงดังควบคุมกระบี่บิน ทำให้พลังของกระบี่ไม้เล่มนั้นเพิ่มพรวดขึ้นมาในทันที พุ่งดิ่งไปยังวงแหวนแสงคุ้มกัน

เสียงดังตึงตังสะท้อนกลับไปมาไม่หยุด กระบี่ไม้เล่มนั้นบุกโจมตีครั้งแล้วครั้งแล้วและถูกดีดกลับมาครั้งแล้วครั้งเล่า พอถึงสุดท้าย ใบหน้าของชายหนุ่มร่างผอมซีดเผือด พลังวิญญาณในร่างกายลดฮวบหายไปครึ่งใหญ่ ดวงตาเผยแววสิ้นหวัง

เขาประลองวิชายุทธ์กับคนมาหลายปี นี่เป็นครั้งแรกจริงๆ ที่เจอกับศัตรูที่เหมือนเต่าในกระดองเช่นนี้ แต่ในใจลึกๆ ก็ไม่ยอมแพ้ เขามาครั้งนี้ก็เพื่อช่วงชิงสามอันดับแรก เวลานี้จึงเงยหน้าขึ้นฟ้าคำรามก้อง ดวงตามีเส้นเลือดปรากฏ ตะโกนอย่างโกรธแค้นไปทางป๋ายเสี่ยวฉุน

“เจ้าออกมาเดี๋ยวนี้!”

“แน่จริงเจ้าก็เข้ามาเองสิ!” ป๋ายเสี่ยวฉุนจะกลัวอีกฝ่ายได้อย่างไร ตะโกนยอกย้อนออกไปจากแสงคุ้มกันด้วยเสียงที่ดังยิ่งกว่า

แต่ละคนที่อยู่รอบด้านล้วนมีสีหน้าพิกล เมื่อมองมายังป๋ายเสี่ยวฉุนล้วนเผยสีหน้าหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก แต่ชายหนุ่มร่างผอมคนนั้นกลับโกรธจนเส้นเอ็นเขียวปูดโปน กัดฟันพ่นเลือดสดๆ ออกมาหนึ่งคำ เลือดคำนั้นบินเข้าไปหลอมรวมอยู่ในกระบี่ไม้ด้วยความรวดเร็ว ทำให้กระบี่ไม้เล่มนี้กลายเป็นสีเลือดในชั่วพริบตา

“คาถาโลหิตวิญญาณ!”

“ถึงขั้นใช้คาถาชนิดนี้ ดูท่าคนผู้นี้จะโกรธจนเป็นบ้าไปแล้วจริงๆ!”

คนรอบด้านส่งเสียงตกตะลึงในทันที และเวลาเดียวกันนี้ ความเร็วของกระไม้สีเลือดเล่มนั้นก็เพิ่มพรวดขึ้นโดยพลัน อานุภาพยิ่งขยายใหญ่ขึ้นมาอีกหนึ่งเท่าตัว เมื่อแสงสีโลหิตอบอวลไปทั่วก็พุ่งดิ่งเข้าหาป๋ายเสี่ยวฉุน

เสียงตูมดังหนึ่งที กระบี่ไม้เล่มนี้สามารถแทงทะลุชั้นแสงไปได้ถึงสามชุ่น เสียงดังสนั่นไม่หยุดแต่กลับไม่อาจเข้าไปได้มากกว่านั้นแม้แต่นิด เพราะใช้แรงมากเกินไป บนกระบี่ไม้จึงถึงขั้นมีรอยแตกร้าวปรากฏให้เห็นเป็นเส้นๆ

พริบตาเดียว เสียงเปรี๊ยะปร๊ะดังสะท้อนไปมา กระบี่ไม้เล่มนี้…ก็แตกสลายกลายเป็นเศษส่วนจำนวนนับไม่ถ้วน หล่นร่วงลงบนพื้นดินต่อหน้าแสงคุ้มกันของป๋ายเสี่ยวฉุน

ดวงตาทั้งคู่ของชายหนุ่มร่างผอมแข็งทื่อ กระอักเลือดสดๆ ออกมา พลังวิญญาณในร่างกายแห้งเหือด อาวุธวิเศษถูกทำลาย โมโหจนสลบไปแล้ว

หลี่ชิงโหวเห็นเหตุการณ์ทุกอย่างนี้ สีหน้าก็ยิ่งน่าเกลียด ผู้เฒ่าซุนเองก็หัวเราะขื่นๆ รุดหน้าไปดูชายร่างผอม หลังจากตรวจดูแล้วว่าไม่เป็นอะไรมาก ให้คนแบกเขากลับไปแล้วถึงได้กระแอมออกมาหนึ่งที ประกาศว่าป๋ายเสี่ยวฉุนเป็นผู้ชนะ

“หามิได้ๆ!” แสงรอบกายป๋ายเสี่ยวฉุนหายไปในบัดดล สีหน้าของเขาเคร่งขรึม หน้าตั้งอกตรง แสดงท่วงท่าของผู้ที่ภาคภูมิใจในชัยชนะ เมื่อคำพูดเกรงอกเกรงใจของเขาเปล่งออกมา ชายหนุ่มร่างผอมที่ถูกแบกออกไปฟื้นคืนสติขึ้นมาได้ยินเข้าพอดี ก็กระอักเลือดออกมาอีกครั้งแล้วสลบลงไปอีก

ป๋ายเสี่ยวฉุนกระแอมแห้งๆ หนึ่งที กำมือประสานหันไปทางผู้เฒ่าซุน หมุนตัวสะบัดปลายแขนเสื้อหนึ่งทีก็เดินลงมาจากเวทีแสดงวรยุทธ์

เบื้องหลังของเขา ลูกศิษย์ฝ่ายนอกที่ไม่ได้เข้าร่วมการประลองเหล่านั้นยังพอว่า อย่างมากก็แค่มีสีหน้าแปลกประหลาดเท่านั้น แต่ลูกศิษย์ที่เข้าร่วมการประลอง เมื่อแต่ละคนมองไปยังป๋ายเสี่ยวฉุน สีหน้าล้วนปั้นยากเหยเก

โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่ชนะไปแล้วก่อนหน้านั้น มองเห็นว่าขนาดชายร่างผอมยังโดนถึงขนาดนี้ จึงอดที่จะระแวดระวังป๋ายเสี่ยวฉุนขึ้นมาไม่ได้

การประลองดำเนินต่อไป ไม่นานการต่อสู้ของลูกศิษย์ลำดับหลังก็สิ้นสุดลง ยี่สิบคนที่เข้าร่วมการประลอง เมื่อในเวลานี้เป็นการตัดสินแพ้ชนะสองต่อสอง สุดท้ายจึงเหลือแค่สิบอันดับ

ในสิบอันดับแรกนี้ ตู้หลิงเฟย เฉินจื่ออ๋างล้วนอยู่กันครบ ป๋ายเสี่ยวฉุนเอามือเท้าคาง มองสหายร่วมสำนักที่ติดสิบอันดับแรกเช่นเดียวกันรอบกายแล้วพูดกับตัวเองในใจ

‘ชนะอีกหนึ่งรอบ ก็สำเร็จแล้ว!’ เขารู้สึกว่าความหวังอยู่เบื้องหน้านี้แล้ว จึงพลันฮึกเหิม

“ตอนนี้คือการเลือกห้าอันดับแรก พวกเจ้าสิบคน มาจับอันดับลูกกลมกันใหม่” ผู้เฒ่าซุนเอ่ยปากเนิบนาบ กวาดสายตามองทั้งสิบคน และหยุดชะงักอยู่ที่ป๋ายเสี่ยวฉุนครู่หนึ่ง

คราวนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนพุ่งเข้าไปเป็นคนแรก หยิบลูกกลมออกมาจากกระเป๋าด้านหน้าผู้เฒ่าซุนหนึ่งลูก ได้อักษรว่าสองมา หลังจากเห็นตัวเลขแล้ว ป๋ายเสี่ยวฉุนรีบจดจ้องไปยังคนอื่นทันที

ทุกคนหยิบลูกกลมเสร็จสิ้นในเวลาอันรวดเร็ว เมื่อผู้เฒ่าซุนประกาศว่าให้อันดับหนึ่งและสองเริ่มประลองได้ บนเวทีแสดงวรยุทธ์นอกจากป๋ายเสี่ยวฉุนแล้ว ชายตัวใหญ่คนหนึ่งก็อยู่บนนั้นด้วยเช่นนี้ ชายคนนี้รูปร่างสูงใหญ่แข็งแรง หลังจากเห็นว่าคู่ต่อสู้คือป๋ายเสี่ยวฉุนก็หัวเราะร่าเสียงดัง

“คนอื่นหวาดกลัวการป้องกันตัวของเจ้า แต่ข้าผู้แซ่หลี่มิสนใจ ที่ข้าผู้แซ่หลี่ถนัดก็คือศาสตร์การป้องกัน ดูซิว่าพวกเราสองคน ใครกันแน่ที่จะยืนหยัดได้ถึงท้ายที่สุด!” ขณะที่เสียงหัวเราะของชายร่างใหญ่ลอยออกมา มือขวาก็ยกขึ้นตบไปยังถุงเก็บของ หยิบโล่อันเล็กชิ้นหนึ่งออกมา เมื่อพ่นพลังวิญญาณเข้าใส่ โล่เล็กชิ้นนี้ก็ขยายใหญ่ขึ้นโดยพลัน กระจายแสงสีเหลือง ปกคลุมไปรอบตัวเขา

ไม่เพียงเท่านั้น ชายร่างใหญ่คำรามเสียงต่ำหนึ่งที กล้ามเนื้อทุกส่วนก็ขยายตัวทันควัน ร่างทั้งร่างพลันสูงใหญ่ขึ้นมาอีกหลายชุ่น มองดูแล้วยิ่งน่าหวาดหวั่น

“นั่นมันวิชาหลอมเรือนกาย!”

“โล่อันเล็กนั้นดูคุ้นๆ นะ หรือว่ามันคือโล่แสงอรุณที่ต้องใช้คะแนนความดีเก้าพันคะแนนถึงจะแลกมาได้!” ขณะที่คนรอบด้านพากันวิพากษ์วิจารณ์ ทางด้านป๋ายเสี่ยวฉุนก็ขมวดคิ้วมุ่น

ขนาดผู้เฒ่าซุนเองพอเห็นภาพนี้แล้วก็ยังพยักหน้าน้อยๆ ดวงตาเผยแววชื่นชม พูดเสียงเบากับหลี่ชิงโหวที่อยู่ข้างกาย

“หลี่ซานเด็กคนนี้ ฝึกตบะได้ถึงการรวมลมปราณขั้นที่ห้า ทั้งยังมีพลังเทพมาตั้งแต่กำเนิดอย่างหาได้ยากยิ่ง ฝึกวิชาหลอมเรือนกายได้สำเร็จขั้นต้น ไม่เพียงแต่พละกำลังเพิ่มขึ้นมา ด้านการป้องกันตัวก็ไม่ธรรมดาด้วย”

หลี่ชิงโหวพยักหน้าเล็กน้อย สายตากวาดมองไปยังป๋ายเสี่ยวฉุน

ป๋ายเสี่ยวฉุนเห็นพลานุภาพดุจดั่งแปลงกายได้ของชายร่างใหญ่คนนี้ แล้วก็มองไปยังโล่อันเล็กนั่นอีกครั้ง จำได้ว่านั่นคืออาวุธชิ้นหนึ่งที่เขาเคยเห็นที่หอสมบัติ แต่ไม่มีคะแนนความดีเพียงพอที่จะแลกเอามาได้ จึงขมวดคิ้วมุ่น

ในดวงตาแต่ละคนที่อยู่รอบทิศล้วนปรากฏความสนใจ โดยเฉพาะเหล่าลูกศิษย์ที่เข้าร่วมการแข่งขันพวกนั้น ส่วนใหญ่แล้วรู้สึกมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น

“ศิษย์น้องขาวสะอาดคนนี้ซวยซะแล้ว”

“ถ้าหวุดหวิดเอาชนะได้ก็ว่าไปอย่าง มาเจอกับศัตรูที่แข็งแกร่งเช่นนี้ ต้องถูกตีแพ้ยับกลับคืนสารรูปเดิมแน่”

และในขณะที่ฝูงชนวิพากษ์วิจารณ์กันเสียงเบาอยู่นั้น ชายร่างใหญ่แสยะยิ้ม สะบัดร่างหนึ่งทีก็ก้าวยาวๆ ตรงดิ่งมายังป๋ายเสี่ยวฉุน

“หมดทนทางแล้วสินะ ข้าไม่เหมือนกับศิษย์น้องคนก่อนที่เจ้าเจอ ข้าไม่จำเป็นต้องใช้อาวุธร้ายแรงโจมตี หมัดของข้าก็คือเวทคาถาที่ดีที่สุด!”

เขาเคลื่อนไหวรวดเร็วมากจนก่อให้เกิดลมพัด เมื่อเห็นว่าเขาเข้ามาใกล้ ดวงตาป๋ายเสี่ยวฉุนเปล่งประกายวาบ มือขวายกขึ้นชี้ไปด้านหน้า กระบี่ไม้เล่มเล็กที่อยู่ในถุงเก็บของของเขาก็บินออกมาในชั่วพริบตา

มันลอยอยู่หน้าป๋ายเสี่ยวฉุนและฟันฉับอย่างไม่มีการหยุดยั้งลงไปยังชายร่างใหญ่ที่เคลื่อนเข้ามาใกล้

การฟันครานี้ รัศมีของกระบี่แผ่ซ่านไปทั่วทิศปกคลุมรอบบริเวณหลายจั้ง เสียงตูมดังหนึ่งทีก็ตวัดฉับลงมา

ชายร่างใหญ่สีหน้าเปลี่ยนโดยพลัน หนังหัวของเขาประหนึ่งว่าจะระเบิดออกมา ดวงตาทั้งคู่หดเล็กลง กลิ่นอายอันตรายรุนแรงปกคลุมไปทั่วร่าง เขาถอยกรูดอย่างไม่ลังเล คำรามเสียงดังหนึ่งครั้ง มือทั้งสองสะบัดหนึ่งที โล่เล็กที่อยู่ใกล้ตัวก็ขึ้นมาขวางกั้นเอาไว้อย่างทันท่วงที

เสียงตูมดังหนึ่งครั้ง โล่เล็กอันนี้สกัดกั้นอยู่ด้านหน้ากระบี่ไม้ แต่ชั่วชณะที่ทั้งสองสิ่งสัมผัสกันนั้น โล่เล็กกลับไม่สามารถกั้นขวางเอาไว้ได้ ตัวโล่สั่นสะเทือนไปอัน ถูกดีดพ้นทาง กระบี่ไม้พุ่งตรงเข้าหาชายร่างใหญ่

ชายร่างใหญ่ตกตะลึง ต่อให้ความเร็วของเขาจะเร็วสักแค่ไหนก็ยังสู้กระบี่บินไม่ได้ พริบตาเดียวกระบี่ไม้เล่มนี้ก็เข้ามาใกล้ สายลมเย็นเยียบพุ่งปะทะใบหน้าราวกับร่างทั้งร่างอยู่ในโพรงน้ำแข็ง

“ยอมแพ้!” ชายร่างใหญ่รีบตะโกนออกมาอย่างไม่ลังเล โทนเสียงก็ยังเปลี่ยนไปด้วย

เสียงฟุ่บดังขึ้นหนึ่งที กระบี่ไม้หยุดอยู่กลางหว่างคิ้วของชายร่างใหญ่ พริบตาก็หันหัวแล้วกลับเข้าไปอยู่ในถุงผ้าของป๋ายเสี่ยวฉุน

ป๋ายเสี่ยวฉุนกะพริบตาปริบๆ ในใจก็ถูกกระบี่ไม้ของตัวเองทำเอาตกใจเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาแค่ฝึกกับตัวเอง พอมาตอนนี้ถึงเพิ่งรู้ว่ากระบี่ของตนมีพลานุภาพน่าเกรงขามระดับนี้แล้ว และนี่ก็ยังไม่ถึงขั้นที่เขาต้องเอาวิชายกหนักเสมือนเบาออกมาใช้ด้วยซ้ำ

ดวงตาของเขาหมุนกลอกหนึ่งทีก็เชิดหน้าขึ้นโดยพลัน เอามือทั่งสองข้างไพล่หลัง มองชายร่างใหญ่ด้วยสายตาเรียบเฉย

ชายร่างใหญ่ใบหน้าซีดขาว แต่ในดวงตากลับเผยแววไม่ยอมแพ้ หลังจากปีนลุกขึ้นมาได้ก็จ้องป๋ายเสี่ยวฉุนเขม็ง

“ใช้พลานุภาพของอาวุธวิเศษ ต่อให้เจ้าชนะ ข้าก็ไม่ยอมรับ!” ชายร่างใหญ่ทิ้งประโยคนี้ไว้ หมุนตัวเดินลงจากเวทีแสดงวรยุทธ์ไป

ผู้เฒ่าซุนมองป๋ายเสี่ยวฉุนหนึ่งที ตะลึงไปกับพลานุภาพกระบี่ไม้ของป๋ายเสี่ยวฉุนเช่นกัน ไม่พูดมากความก็ประกาศว่าป๋ายเสี่ยวฉุนเป็นผู้ชนะ

‘ฮ่าๆ รอบหน้ายอมแพ้ตรงๆ ไปเลยดีกว่า ผู้บำเพ็ญเพียรเช่นข้า ก็ไม่ใช่ทำเพื่อเป็นอมตะหรอกหรือ ตีรันฟันแทงกันมันโหดร้ายเกินไป ข้าป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ต้องการทำเช่นนั้น’ ในใจป๋ายเสี่ยวฉุนอิ่มเอมนัก เดินลงเวทีแสดงวรยุทธ์ เขาทำตามเงื่อนไขของหลี่ชิงโหวสำเร็จแล้ว ตอนนี้ยังไงก็ได้ติดอันดับห้าคนแรกแล้ว

สายตาของหลี่ชิงโหวตกมาอยู่บนตัวของป๋ายเสี่ยวฉุน คนอื่นแค่มองเห็นว่ากระบี่บินเล่มนั้นไม่ธรรมดา แต่ที่เขามองเห็นไม่ใช่กระบี่บิน แต่เป็นการควบคุมกระบี่บินได้ตามใจต้องการของป๋ายเสี่ยวฉุนเมื่อครู่นี้ต่างหาก

มองเห็นว่าป๋ายเสี่ยวฉุนเอาชนะไปได้อีกครั้ง ฝูงชนรอบด้านล้วนพากันทอดถอนหายใจให้กับเขา

“คนๆ นี้มีเงินนี่นา กระบี่ไม้นั่นพิเศษอย่างถึงที่สุด หึ หากข้ามีอาวุธประเภทนี้บ้างก็ต้องชนะได้!”

“อาวุธยังไงก็เป็นแค่ของนอกกาย คนๆ นี้รอบแรกก็ใช้ยันต์ แล้วยังมีของวิเศษอีก ความสามารถที่แท้จริงกลับไม่มีเลยสักนิด วันหน้าต้องลำบากแน่นอน”

คำวิพากษ์วิจารณ์อันเจ็บแสบเหน็บแนมเช่นนี้ยังไม่ทันต่อเนื่องไปได้นานเท่าไหร่ ก็เป็นการประลองยุทธ์สนามต่อมา ขณะที่รอบสุดท้ายกำลังดำเนินไป พลังของคู่ต่อสู้ตู้หลิงเฟยไม่ธรรมดา พลังต่อสู้ดุเดือด ในรอบนี้ตู้หลิงเฟยไม่ใช้ธงผ้าอีกต่อไป แต่เอากระบี่บินออกมาใช้ ทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันไปมา ขณะที่ทุกคนกำลังดูกันจนตาลาย ทันใดนั้นความเร็วของกระบี่บินตู้หลิงเฟยก็เพิ่มพรวดขึ้นมาอย่างกะทันหัน แล้วพุ่งทะยานไปปรากฏต่อหน้าของคู่ต่อสู้โดยตรง

ความเร็วชนิดนี้เหนือกว่าความเร็วในการควบคุมวัตถุของลูกศิษย์ทั่วไปแล้ว ทุกคนที่มองดูอยู่ล้วนอึ้งงัน และหลังจากนั้นแต่ละคนก็ดูเหมือนว่าคิดอะไรขึ้นมาได้ จึงพลันฮือฮากันขึ้นมา

“นี่มันยกหนักเสมือนเบา!!”

“ตู้หลิงเฟยนางถึงขั้นบรรลุได้ถึงขอบเขตเช่นนี้…”

“ยกหนักเสมือนเบา!” ดวงตาทั้งคู่ของผู้เฒ่าซุนเป็นประกายวาบ ในจุดลึกของดวงตาคู่นั้นเผยความตะลึงระคนดีใจ มองไปยังตู้หลิงเฟย

หลี่ชิงโหวพยักหน้านิดๆ

เฉินจื่ออ๋างเองก็อึ้งตะลึง คนที่ติดสิบอันดับแรกคนอื่นๆ ก็เป็นเช่นเดียวกัน ลูกศิษย์ที่ต่อสู้กับตู้หลิงเฟยในเวลานี้หัวเราะขื่นๆ หนึ่งที กำมือประสานหมัดยอมแพ้

ตู้หลิงเฟยยืนอยู่บนเวทีแสดงยุทธ์ มองไปรอบด้านด้วยความสง่างาม ประสานหมัดไปทางหลี่ชิงโหวและท่านผู้เฒ่าซุนแล้วถึงได้เดินลงเวทีไป

ในกลุ่มคน เสียงฮือฮายังคงไม่จางหายไป

มีเพียงป๋ายเสี่ยวฉุนเท่านั้นที่กะพริบตาปริบๆ

‘ความเร็วแบบนี้ก็เรียกว่ายกหนักเสมือนเบาได้แล้ว?’ เขาสงสัยเล็กน้อย

สีหน้าตู้หลิงเฟยภาคภูมิใจ เดินลงจากเวทีแสดงยุทธ์ หน้าผากมีเม็ดเหงื่อปรากฏให้เห็นเล็กน้อย ต่อสู้ติดต่อกันมาสองสนาม แม้ว่านางจะอยู่ขั้นสมบูรณ์แบบการรวมลมปราณขั้นห้า แต่ก็ยังคงเสียพลังวิญญาณไปบางส่วน โดยเฉพาะการต่อสู้รอบเมื่อครู่นี้ พลังการรบของคู่แข่งนางไม่ธรรมดา สุดท้ายนางจึงจำต้องแสดงวิชายกหนักเสมือนเบาออกมาอย่างเลี่ยงไม่ได้ เมื่อพลังวิญญาณเพิ่มมากขึ้น ถึงคว้าเอาชัยชนะมาได้ในชั่วพริบตา

เป้าหมายของนางคือเป็นอันดับหนึ่ง และการต่อสู้ในอีกไม่กี่สนามเบื้องหลัง คู่แข่งของนางก็จะต้องแข็งแกร่งมากขึ้นเรื่อยๆ การประลองเล็กของสำนักนี้ไม่เคร่งครัดเรื่องกฎเกณฑ์มากนัก และไม่ให้เวลาในการพักผ่อนมากเช่นกัน ดังนั้นนางจึงรีบหยิดเอายาเม็ดหนึ่งขึ้นมากิน หลับตาเคลื่อนพลังลมปราณ ช่วงชิงเวลาทั้งหมดฟื้นฟูพลังของตนเอง

ตอนนี้แข่งขันกันมาจนได้ห้าอันดับแรกแล้ว นอกจากป๋ายเสี่ยวฉุนและตู้หลิงเฟย เฉินจื่ออ๋างก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วย และยังมีชายหนุ่มอีกสองคน ทั้งคู่มีพลังตบะที่ไม่ธรรมดา ต่างก็ฝึกได้ถึงขั้นที่ห้าของการรวมลมปราณเช่นเดียวกัน

ในเวลานี้สี่คนที่เหลือล้วนกำลังปรับเคลื่อนพลังลมปราณ เพื่อฟื้นฟูพลังวิญญาณบางส่วนกลับมาให้ได้เร็วที่สุด

มีเพียงป๋ายเสี่ยวฉุนที่ไม่ได้สูญเสียพลังไปเลยแม้แต่นิด ยืนอยู่อีกฝั่งหนึ่งของเวทีแสดงยุทธ์อย่างคนที่ไม่มีอะไรทำ หาวหวอดๆ ด้วยท่าทางที่พอผู้เข้าร่วมแข่งซึ่งถูกคัดออกไปแล้วเห็นเข้า ถึงกับอยากจะเข้าไปหวดเขาหนักๆ สักที

เขาติดอันดับหนึ่งในห้า ทำตามเงื่อนไขของหลี่ชิงโหวได้สำเร็จ จึงไม่สนใจการประลองเล็กที่เหลืออยู่เลยสักนิด

ในเวลานี้อยู่ว่างๆ น่าเบื่อ สายตาของป๋ายเสี่ยวฉุนจึงกวาดผ่านคนอื่นๆ ทั้งสี่คน โดยเฉพาะตู้หลิงเฟย ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกว่าหากความเร็วของอีกฝ่ายเรียกว่ายกหนักเสมือนเบาได้แล้ว เช่นนั้นก็เห็นได้ชัดว่าตัวเขาเองทำได้เร็วกว่าหญิงนางนี้อยู่มาก

‘แต่ว่าแม่นางน้อยคนนี้ท่าทางดุร้ายเกินไป เป็นผู้หญิงอยู่ดีๆ กลับดันมาชอบการรบราฆ่าฟัน หรือว่าผู้หญิงที่บำเพ็ญตนเป็นเซียนต้องผิดปกติกันทุกคน? โจวซินฉีหยิ่งผยองเกินไป โหวเสี่ยวเม่ยก็อารมณ์แปรปรวน’ ป๋ายเสี่ยวฉุนส่ายหัว ขณะที่กำลังจะดึงสายตากลับมา คล้ายว่าตู้หลิงเฟยจะสัมผัสถึงบางอย่างได้ ดวงตาคู่งามจึงลืมขึ้น จ้องมองป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยสายตาเย็นเยียบ

เดิมทีตู้หลิงเฟยก็ไม่เห็นป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่ในสายตาอยู่แล้ว บวกกับการประลองทั้งสองรอบที่ผ่าน ในสายตานางเห็นว่าอีกฝ่ายชนะมาได้ด้วยความบังเอิญทั้งสิ้น ในใจจึงยิ่งดูหมิ่น

‘โอ้โห กล้าจ้องข้าเรอะ!’ ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ยอมแพ้ขึ้นมาทันควัน ดวงตาเขาเบิกกว้าง จ้องเขม็งกลับไปยังตู้หลิงเฟยเช่นกัน เรื่องที่ต่างฝ่ายต่างสู้กันทางสายตาเช่นนี้ ขอแค่ไม่ต้องรบราให้เสียเลือดเนื้อ ป๋ายเสี่ยวฉุนโตมาขนาดนี้ ก็ยังไม่เคยกลัวใครมาก่อน

ตู้หลิงเฟยขมวดคิ้ว ในเวลานี้ผู้ชื่นชอบนางที่อยู่เบื้องหลังเหล่านั้นก็ไม่พอใจเช่นกัน แต่ละคนล้วนมองป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยความมาดร้าย

‘พวกเขาคนเยอะ ผู้ชายดีไม่สู้กับผู้หญิง’ ป๋ายเสี่ยวฉุนพอเห็นว่าอีกฝ่ายมีสายตาหลายคู่ โดยเฉพาะในนั้นยังมีความมุ่งร้ายอยู่ไม่น้อยจึงไอแห้งๆ หนึ่งที รู้สึกว่าดวงตาคู่เดียวของตัวเองไม่พอที่จะต่อกรด้วยสักเท่าไหร่ จึงทำเสียงหึหนึ่งทีแล้วรีบดึงสายตากลับมา

และในเวลานี้ เสียงของท่านผู้เฒ่าซุนก็ดังขึ้นมาในสนามแสดงยุทธ์

“ดีมาก การประลองเล็กฝ่ายนอกครั้งนี้ พวกเจ้าแสดงฝีมือกันได้ไม่เลวเลยทีเดียว ตอนนี้ได้ห้าอันดับแรกมาแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็มาต่อกันเลย พวกเจ้าห้าคนเดินขึ้นมาเลือกคู่ต่อสู้ ผู้ที่ได้ลูกกลมอันดับที่ห้า ถือว่าได้ผ่านเข้ารอบต่อไป ติดสามอันดับแรกโดยทันที” ท่านผู้เฒ่าซุนยิ้มบางๆ มือขวายกขึ้นมาสะบัดหนึ่งที ถุงผ้าก็ปรากฏขึ้น

คราวนี้เฉินจื่ออ๋างเดินหน้าเข้าไปเป็นคนแรก เมื่อหยิบลูกกลมมาได้ก็ขมวดคิ้ว ตัวเลขบนลูกกลมเล็กของเขาคือสี่

ตู้หลิงเฟยเองก็เดินไปหยิบเช่นกัน ได้ลูกหมายเลขสอง ลูกศิษย์ฝ่ายนอกอีกสองคนที่เหลือ คนหนึ่งได้เลขหนึ่ง อีกคนหนึ่งได้เลขสาม

ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่จำเป็นต้องเดินเข้าไปหยิบแล้ว หมายเลขที่เหลืออยู่คือห้า ถือว่าเขาได้ผ่านเข้ารอบต่อไป

ดวงตาป๋ายเสี่ยวฉุนเผยแววตกใจระคนยินดี หัวเราะเหอๆ กอดอกยืนอยู่นอกเวทีแสดงวรยุทธ์ มองพวกตู้หลิงเฟยทั้งสี่คนอย่างไร้ความกดดันใดๆ เดิมทีเขาก็ไม่คิดจะแข่งต่ออยู่แล้ว แต่ตอนนี้ตนเองไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้นก็ได้เป็นหนึ่งในสามอันดับแรกโดยตรง

‘โชคดี ก็คือส่วนหนึ่งในความสามารถที่แท้จริง!’ ป๋ายเสี่ยวฉุนภูมิใจอยู่ในใจ

ความโชคดีเช่นนี้ ทำให้สีหน้าทุกคนยามมองมายังป๋ายเสี่ยวฉุนยิ่งแปลกประหลาด ลูกศิษย์หลายคนที่อยู่ ณ ที่แห่งนี้ไม่ยินยอมอย่างยิ่ง โดยเฉพาะผู้แข่งขันที่ถูกคัดออกไปแล้วเหล่านั้น ในใจอิจฉาริษยา อารมณ์ซับซ้อนอย่างถึงขีดสุด

“เจ้าหมอนี่ช่างน่าละอายเหลือเกิน ติดห้าอันดับแรกได้ด้วยอาวุธวิเศษก็ยังพอทน นี่ยังดันได้ผ่านเข้ารอบติดสามอันดับแรกโดยตรงเสียอีก!”

“อัปยศนัก การปรากฏตัวของคนๆ นี้ คือความอัปยศที่ใหญ่หลวงที่สุดของการประลองเล็กครั้งนี้!”

———-

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version