Skip to content

A Will Eternal 32

บทที่ 32 โชคดีสยบสวรรค์

ไม่เพียงแต่จิตใจของฝูงชนรอบด้านเท่านั้นที่ซับซ้อน แม้แต่ตู้หลิงเฟยเองก็ยังริษยาในความโชคดีของป๋ายเสี่ยวฉุน พวกเฉินจื่ออ๋างเองก็รู้สึกเช่นเดียวกัน พวกเขาสี่คนติดห้าอันดับแรก การต่อสู้แต่ละรอบล้วนสูญเสียพลังไป หากคราวนี้พวกเขาได้โอกาสผ่านเข้ารอบต่อไป ได้พักสักครู่ จะต้องได้เปรียบอย่างมากในการต่อสู้รอบหลัง

ผู้เฒ่าซุนมองป๋ายเสี่ยวฉุนหนึ่งที ยิ้มบางๆ ไม่ได้สนใจ ส่วนหลี่ชิงโหวสีหน้าเป็นปกติ

ไม่นาน ภายใต้ท่าทางรอดูความครึกครื้นของป๋ายเสี่ยวฉุน การต่อสู้ของพวกตู้หลิงเฟยสี่คนก็เริ่มขึ้น คู่ต่อสู้ของตู้หลิงเฟยลงมือดุดัน เห็นได้ชัดว่าเป็นผู้ที่ออกไปทำภารกิจเข่นฆ่าสัตว์ร้ายเป็นประจำ เคยเห็นคาวเลือดมาก่อน ส่วนยกหนักเสมือนเบาของตู้หลิงเฟยนั้นก็น่าหวาดกลัวเช่นกัน เมื่อลงมือไม่เพียงแต่ป้องกันตัวเองได้ ที่มากกว่านั้นคือการเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วฉับไว

ผู้คนต่างจ้องมองการต่อสู้ของสองคนนี้ตาไม่กะพริบ เปล่งเสียงตกตะลึงออกมาตลอดเวลา ตกใจไปกับอันตรายในการประลองวิชาของทั้งสอง เพียงแต่….เสียงร้องแห่งความตกตะลึงนี้ มีเสียงแหลมเล็กเสียงหนึ่งที่โดดเด่นเป็นพิเศษ ซึ่งมีพลังในการชักนำจังหวะให้กับฝูงชน

“อ๋า กระบี่ดี!”

“มังกรสวรรค์กวาดหางท่านี้ดีมาก ไม่ใช่สิ หันกลับ รีบหันกลับ!”

“สู้ๆ!!” ป๋ายเสี่ยวฉุนดูอย่างเข้าถึงอารมณ์ ถึงขั้นที่ว่าคอยปรบมืออยู่ตลอดเวลาด้วย จริงๆ เขาก็ไม่ได้ตั้งใจให้เป็นเช่นนี้ เพียงแต่รู้สึกจากใจจริงว่าการต่อสู้ครั้งนี้ของตู้หลิงเฟยนั้นไม่เลวเลยทีเดียว ส่วนในด้านความคิดของตน เขาไม่ได้คิดว่าตัวเองเป็นหนึ่งในผู้เข้าร่วมแข่งขันนานแล้ว

ท่าทางเช่นนั้นทำให้แม้แต่ผู้เฒ่าซุนเองก็ยังต้องไอแห้งๆ ออกมาหลายที หลี่ชิงโหวที่อยู่ด้านข้างสีหน้าไร้อารมณ์ ในใจก็ให้ละเหี่ยใจอย่างยิ่ง แต่ยังไงซะป๋ายเสี่ยวฉุนก็ทำตามเงื่อนไขของเขาได้สำเร็จแล้ว

ในเวลานี้ตู้หลิงเฟยกำลังเอาชนะคู่ต่อสู้อย่างสุดกำลัง ไม่วอกแวกกับสิ่งใด สุดท้ายหลังจากที่การต่อสู้ครั้งนี้ยืดเยื้อไปประมาณหนึ่งก้านธูป ตู้หลิงเฟยใช้วิชายกหนักเสมือนเบาสามครั้งถึงคว้าเอาชัยชนะมาได้

แต่ว่าพลังวิญญาณในร่างกายก็ถูกใช้ไปครึ่งใหญ่ หลังจากที่นางลงเวทีแสดงยุทธ์มาด้วยกายที่โซกไปด้วยเหงื่อ กำลังปรับลมหายใจเตรียมร่างกายอยู่นั้นก็ได้ยินเสียงร้องตะโกนด้วยความตกตะลึงจากป๋ายเสี่ยวฉุนอีกครั้ง นึกถึงว่าตนเองต้องลำบากยากเข็นกว่าจะติดสามอันดับแรกได้ แต่อีกฝ่ายกลับไม่ต้องเปลืองแรงใดๆ ก็ได้ผลลัพธ์เท่ากับตนเอง ในใจก็ให้อัดอั้น อยากจะทุบตีอีกฝ่ายแรงๆ สักทีเหลือเกิน

ป๋ายเสี่ยวฉุนกะพริบตาปริบๆ เขาเห็นแต่แรกแล้วว่าตู้หลิงเฟยคนนี้หมั่นไส้ตนเอง ในเวลานี้ก็ให้รู้สึกลำบากใจอย่างยิ่ง มองอีกฝ่ายด้วยสายตาจนใจ ท่าทางเช่นนี้เกือบจะทำให้ตู้หลิงเฟยทนไม่ไหวจนต้องลงไม้ลงมือ

การต่อสู้ของเฉินจื่ออ๋างนั้น เมื่อเทียบกันแล้วค่อนข้างสบายกว่าหน่อย แต่แม้จะเป็นเช่นนี้ก็ต้องต่อสู้ไปถึงครึ่งก้านธูป เสียพลังวิญญาณไปเล็กน้อยถึงจะเอาชนะได้

สำหรับป๋ายเสี่ยวฉุนแล้ว ในใจเขาเกิดความอิจฉาริษยามากมายเช่นเดียวกัน

“ได้สามอันดับแรกมาแล้ว สำหรับฝ่ายนอกพวกเจ้าสามคนล้วนเป็น…ศิษย์ที่น่าภาคภูมิใจ เดินขึ้นมาเลือกอันดับรอบต่อไปกันได้เลย คนที่ได้ลูกกลมหมายเลขสาม ถือว่าได้ผ่านเข้ารอบตัดสินโดยพลัน” ผู้เฒ่าซุนไอแห้งๆ หนึ่งที ชะงักไปครู่หนึ่งตอนที่พูดถึงศิษย์ที่น่าภาคภูมิใจ มือขวาโบกสะบัด ถุงผ้าก็ปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง

คราวนี้เฉินจื่ออ๋างยังคงเป็นคนแรกที่ก้าวเข้าไป หยิบลูกเล็กออกมาหนึ่งลูก หลังจากเห็นว่าตัวเลขด้านบนคือเลขสอง เขาก็ถอนหายใจอยู่ในใจหนึ่งที เดินไปอยู่ด้านข้าง

ตู้หลิงเฟยสูดลมหายใจเข้าลึก กำลังจะเดินไปข้างหน้า ทันใดนั้นก็หยุดชะงักฝีเท้า มองมาทางป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยสายตาเย็นชา

“เจ้าไปก่อน!” นางเอ่ยปากเสียงเย็น

ป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังยืนดูความครึกครื้นอยู่ข้างๆ ได้ยินคำพูดของตู้หลิงเฟยก็ไม่ได้ปฏิเสธ เดินขึ้นหน้ายื่นมือขวาเข้าไปในถุงผ้า เวลานี้ตู้หลิงเฟยมองป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยสายตาเย็นยะเยียบ ไม่เพียงนางเท่านั้นที่เป็นเช่นนี้ ลูกศิษย์รายรอบที่กำลังมองดูอยู่ก็ล้วนพากันมองไปเช่นกัน

แม้แต่ผู้เฒ่าซุนและหลี่ชิงโหวเองก็ทำเช่นนั้น

ป๋ายเสี่ยวฉุนเขินอายเล็กน้อยภายใต้สายตาของฝูงชน เขาไม่สนใจจริงๆ ว่าจะได้หมายเลขอะไร ดังนั้นจึงจับลูกเล็กหนึ่งลูกแบบส่งๆ พอหยิบออกมาดู แม้แต่ตัวเองก็ยังอึ้งตะลึงไป

หมายเลขสาม

“เอ่อ ท่านให้ข้ามาหยิบก่อนเองนะ” ป๋ายเสี่ยวฉุนกระแอมหนึ่งที มองไปยังตู้หลิงเฟยที่อยู่ด้านข้าง

นัยน์ตาตู้หลิงเฟยเผยแววอาฆาต กำหมัดแน่น จ้องป๋ายเสี่ยวฉุนเขม็งอย่างดุร้าย หน้าอกกระเพื่อมขึ้นลงอย่างรุนแรง รู้สึกแค่เพียงว่ามีลมสายหนึ่งในร่างกายกำลังจะระเบิดออกมา

เฉินจื่ออ๋างเบิกตากว้าง อึ้งตะลึงไปพักหนึ่ง เขานึกภาพไม่ออกเลยว่าคนๆ หนึ่งจะโชคดีได้มากขนาดไหน…ถึงขั้นที่ได้ผ่านเข้ารอบอีกครั้งแล้ว

ลูกศิษย์รอบด้านที่รายล้อม ในเวลานี้แต่ละคนมองไปยังลูกกลมที่อยู่ในมือป๋ายเสี่ยวฉุน ฮือฮากันขึ้นมาทันทีอย่างอดกลั้นต่อไปไม่ไหว

“ผ่านเข้ารอบอีกครั้งแล้ว! เขาชื่อป๋ายเสี่ยวฉุนใช่ไหม เขา…เขามีโชคประเภทไหนกันนี่ ถึงได้เข้ารอบไปทั้งสองครั้ง!”

“เจ้าคนน่าละอายคนนี้ เขาไม่ได้ทำอะไรสักอย่าง แต่กลับได้เข้ารอบสุดท้าย…”

“คนประเภทนี้ก็เข้ารอบสุดท้ายกับเขาได้ด้วย สมควรตาย หากข้ามีโชคแบบนี้บ้าง ข้าก็ทำได้เหมือนกัน!” ขณะที่คนรอบด้านพากันฮือฮา พวกผู้เข้าร่วมการแข่งขันที่ถูกคัดออกเหล่านั้นก็ยิ่งริษยาจนถึงขีดสุด

ผู้เฒ่าซุนลังเลเล็กน้อย มองไปยังหลี่ชิงโหว หลี่ชิงโหวถอนหายใจยาวๆ อยู่ในใจหนึ่งที สำหรับโชคของป๋ายเสี่ยวฉุนในคราวนี้ เขาเองก็ยอมแพ้เหมือนกัน

ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกว่าบรรยากาศรอบด้านดูไม่เข้าทีก็ยิ้มอย่างกระอักกระอ่วน รีบวิ่งหลบฉากออกไปจากเวทีแสดงยุทธ์ ยืนอยู่ด้านนอกด้วยสีหน้าเคอะเขิน

“เฮ้อ…เดิมทีข้าคิดจะยอมแพ้…” ป๋ายเสี่ยวฉุนมองลูกกลมที่อยู่ในมือหนึ่งทีก็ให้รู้สึกไม่อยากจะเชื่อ

ตู้หลิงเฟยสูดลมหายใจเข้าลึก ผ่านไปนานถึงได้เก็บกดความรู้สึกมากมายที่อยู่ในใจลงไปได้ ฟันขาวสะอาดขบกันหนึ่งที เมื่อมองไปยังเฉินจื่ออ๋างก็จำต้องรวบรวมสมาธิให้แน่วแน่ ก่อนหน้านี้นางเคยสังเกตเฉินจื่ออ๋างมาก่อน รู้ว่านี่คือคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่ง

เฉินจื่ออ๋างหัวเราะขื่นๆ สูดลมหายใจเข้าลึกเช่นเดียวกัน มองจ้องตู้หลิงเฟยอย่างจริงจัง

สองคนมองกันและกันอยู่หลายอึดใจ พริบตาเดียวก็ขยับกายพร้อมกัน เสียงตึงตังดังสะท้อนไปมาทั่วทิศ การสู้รบครั้งนี้พูดได้ว่าเป็นการประลองวิชาที่ยอดเยี่ยมที่สุดเท่าที่เคยมีการประลองเล็กมา เฉินจื่ออ๋างยิ่งระเบิดความสามารถทั้งหมดออกมา โดยเฉพาะเมื่อเมล็ดพันธ์หลายเม็ดที่เขาเอาออกมาได้กลายร่างเป็นพืชวิเศษที่มีพลังในการโจมตี วิธีการนำพืชวิเศษมาใช้เช่นนั้นทำให้ดวงตาป๋ายเสี่ยวฉุนเปล่งประกายวาบ

ส่วนทางฝ่ายของตู้หลิงเฟย กระบี่บินที่ถูกควบคุมด้วยพลังยกหนักเสมือนเบาคำรามเข้าหา ถึงกระทั่งที่ว่าเมื่อการต่อสู้ผ่านไปนานเข้าก็หยิบเอากระบี่ไม้ออกมาอีกหนึ่งเล่ม กระบี่บินทั้งสองเล่มบินลอดสลับกันไปมา กลายเป็นดั่งเชือกที่รัดพันกันเป็นเกลียว ทำให้การประลองยุทธ์ในครั้งนี้มาถึงจุดสูงสุดในชั่วพริบตา

ทั้งสองคนล้วนไม่เก็บงำท่าไม้ตายเอาไว้ และก็ยากที่จะควบคุมการสูญเสียพลังวิญญาณ ทำให้การต่อสู้ยิ่งดุเดือดขึ้นเรื่อยๆ

ป๋ายเสี่ยวฉุนที่อยู่นอกเวทีมองดูด้วยใจตุ้มๆ ต่อมๆ เสียงโห่ร้องดังขึ้นๆ ลงๆ

การต่อสู้ครั้งนี้ยืดเยื้อไปครึ่งชั่วยาม สุดท้ายเมื่อเสียงตูมดังขึ้น ตู้หลิงเฟยสละกระบี่ไม้เล่มหนึ่งไปอย่างไม่เสียดาย ทำให้กระบี่ไม้แตกกระจายกลายเป็นเศษไม้นับไม่ถ้วน ใช้ความเร็วของวิชายกหนักเสมือนเบาพุ่งตรงเข้าไปผนึกทุกหนทางของเฉินจื่ออ๋าง พลิกสถานการณ์โต้กลับ บีบให้เฉินจื่ออ๋างต้องถอยร่นอย่างต่อเนื่อง พลังวิญญาณในร่างเฉินจื่ออ๋างแห้งเหือด เขาถอนหายใจยาวๆ หนึ่งที จำต้องเลือกยอมแพ้ไป

ลูกศิษย์ฝ่ายนอกรอบด้านที่ดูการต่อสู้อันดุเดือดสนามนี้ ในดวงตาแต่ละคนล้วนเผยความนับถือ ทุกคนล้วนยอมศิโรราบต่อตู้หลิงเฟย แม้แต่กับเฉินจื่ออ๋างเองก็ได้รับการยอมรับขึ้นมาจากการต่อสู้ครั้งนี้

ถึงแม้ว่าเขาจะแพ้ ทว่านับแต่นี้ชื่อเสียงของเขาจะต้องโด่งดังไปไกลแน่นอน

ผู้เฒ่าซุนเองก็พึงพอใจเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะกับตู้หลิงเฟย ถึงขั้นที่มีความคิดอยากจะรับนางเข้าเป็นศิษย์ด้วยซ้ำ

เช่นเดียวกัน ไม่ว่าการประลองเล็กครั้งนี้สุดท้ายแล้วจะเป็นเช่นไร ชื่อเสียงของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ย่อมโด่งดังออกไปเช่นกัน…

ขณะที่เสียงยอมแพ้ของเฉินจื่ออ๋างดังก้องขึ้นมา ใบหน้าของตู้หลิงเฟยซีดขาว ยืนร่างโงนเงนอยู่บนเวทีแสดงยุทธ์ พลังวิญญาณของนางก็ใกล้จะเหือดแห้งแล้วเช่นกัน ในเวลานี้จึงสูดลมหายใจเข้าลึก หยิบเอายาเม็ดหนึ่งขึ้นมากลืนลงไป แต่ก็รู้ดีว่าไม่มีประโยชน์ มันไม่ช่วยบำรุงเท่าไหร่นัก ตอนนี้สิ่งที่นางต้องการคือการนั่งสมาธินิ่งๆ หลายชั่วยาม เพราะนางต้องประลองยุทธ์ติดต่อกันมาถึงสี่ครั้งแล้ว

เพียงแต่ว่ากฎของการประลองเล็กไม่ให้เวลาลูกศิษย์พักผ่อนนานถึงขนาดนั้น เพราะยังไงซะนี่ก็เป็นแค่เพียงการประลองเล็กเท่านั้น

“ป๋ายเสี่ยวฉุน เจ้าขึ้นมานี่!” ตู้หลิงเฟยกัดฟัน ดวงตาเผยแววดุดันมองไปยังป๋ายเสี่ยวฉุนที่อยู่นอกสนาม นางคิดจะรีบใช้เวลาในตอนที่พลังวิญญาณยังไม่เหือดแห้งจนหมดเกลี้ยง จัดการกับเจ้าป๋ายเสี่ยวฉุนสมควรตายที่เข้ารอบสุดท้ายมาได้เพราะดวงให้รู้แล้วรู้รอดกันไป

คำพูดของตู้หลิงเฟยเปล่งออกไป ฝูงชนรอบทิศล้วนมองมายังป๋ายเสี่ยวฉุน ดวงตาแต่ละคนเผยแววยินดีกับความทุกข์ที่เขาจะได้รับ พวกเขามองว่าต่อให้ตู้หลิงเฟยจะเหนื่อยล้าอย่างขีดสุด แต่จัดการกับป๋ายเสี่ยวฉุนที่ชนะมาได้ด้วยความบังเอิญนั้นถือเป็นเรื่องที่ง่ายมาก

ป๋ายเสี่ยวฉุนกะพริบตาปริบๆ มองตู้หลิงเฟยที่ขนาดยืนยังไม่ค่อยมั่นคง ทันใดนั้นก็รู้สึกเหมือนว่าตัวเอง…สามารถคว้าที่หนึ่งมาได้

‘ครั้งนี้ ในที่สุดข้าป๋ายเสี่ยวฉุนก็สามารถสร้างชื่อเสียงให้ขจรไกลได้แล้ว รอให้ข้าขึ้นไปบนนั้น แสดงพลังยกหนักเสมือนเบาออกมา ทุกคนรอบทิศจะต้องพากันตะลึงงัน’ ป๋ายเสี่ยวฉุนหน้าเชิดอกตั้ง ในสมองปรากฏภาพที่อีกเดี๋ยวทุกคนจะต้องตะลึงค้าง ดังนั้นจึงก้าวยาวๆ ขึ้นไปบนเวทีแสดงยุทธ์

แต่ชั่วพริบตาที่ป๋ายเสี่ยวฉุนเดินขึ้นไปบนเวที ดวงตาตู้หลิงเฟยเย็นยะเยียบ พลันยกมือขวาขึ้นทำมุทรา กระบี่ไม้ที่อยู่ข้างกายนางเล่มนั้นก็พุ่งเข้าใส่ป๋ายเสี่ยวฉุนทันที

ความดุดันแผ่กระจายออกมาอย่างชัดเจน ทำให้รอบด้านหนาวเยือกขึ้นมาในชั่วพริบตา เห็นได้ชัดว่านี่คือการโจมตีด้วยพลังวิญญาณทั้งหมดที่ตู้หลิงเฟยมีในเวลานี้แล้ว ทำให้กระบี่นี้มีอานุภาพที่เหนือล้ำกว่าปกติ

และที่ยิ่งน่าตะลึงก็คือ ในชั่วพริบตานั้นร่างกายของตู้หลิงเฟยเองก็พุ่งทะยานไล่ตามกระบี่บินออกไปเช่นกัน เมื่อนิ้วหนึ่งกดลงบนด้ามกระบี่ ก็ราวกับว่าร่างกายของนางได้หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับกระบี่บิน ตรงดิ่งเข้าหาป๋ายเสี่ยวฉุน

เสียงตูมดังหนึ่งครั้ง ความเร็วของกระบี่บินพุ่งพรวดขึ้นมาทันควัน ความเร็วนี้มากกว่าตอนที่ประลองยุทธ์กับเฉิน จื่ออ๋างเมื่อครู่อยู่หลายส่วน ก่อให้เกิดเสียงคำรามแหลมคมราวกับจะแหวกทะลุลม กลายเป็นเส้นรุ้งยาวหนึ่งเส้น ทะยานเข้ามาใกล้ป๋ายเสี่ยวฉุนในชั่วพริบตา

จิตใจคนรอบด้านล้วนสั่นสะเทือน ถูกดึงดูดด้วยกระบี่ท่านี้ พากันส่งเสียงร้องอย่างตะลึง

“กระบี่เทพบิน!”

“ศิษย์พี่หญิงตู้ฝึกได้ถึงขั้นเพลงกระบี่นี้แล้ว!!”

ดวงตาทั้งคู่ของผู้เฒ่าซุนเปล่งประกายวาบทันควัน หลี่ชิงโหวเองก็พยักหน้าน้อยๆ แน่นอนพวกเขาสองคนดูออกว่าในความเป็นจริงแล้วตู้หลิงเฟยยังฝึกได้ไม่ถึงขั้นนี้ แต่เพราะตอนนี้พลังวิญญาณใกล้จะเหือดแห้งเต็มที จึงถูกบีบให้สำแดงพลังออกมา ด้วยพลังวิญญาณเฮือกเดียวก็ยังพอกล้อมแกล้มแสดงพลานุภาพของเพลงกระบี่นี้ออกมาได้

“ภายใต้การเดิมพันทุ่มเทพลังทั้งหมด ทำให้เห็นถึงความเด็ดขาดในเพลงดาบนี้ ตู้หลิงเฟยคนนี้ไม่เลวเลยทีเดียว ความจริงแล้วหญิงสาวนางนี้เหมาะสมกับเขาชิงเฟิงมากกว่า” ดวงตาหลี่ชิงโหวเผยแววชื่นชม

ในเวลานี้จิตใจของลูกศิษย์ฝ่ายนอกทุกคนที่อยู่ ณ ที่แห่งนี้ล้วนสั่นสะเทือน ราวกับว่าภาพเหตุการณ์ทั้งหมดตรงหน้านั้นพร่าเลือนไปหมด มีเพียงเงาร่างของตู้หลิงเฟยและกระบี่บินที่คล้ายกับหลอมรวมเข้าด้วยกันแล้วเท่านั้นที่เห็นได้ชัดเจนเป็นพิเศษ

กระบี่กำลังแผดเสียงคำราม คนก็ตามกระบี่ไป กลายเป็นฉากการโจมตีที่น่าตะลึง สีหน้าตู้หลิงเฟยเหนื่อยล้า แต่ดวงตากลับเผยแววเด็ดเดี่ยว นางมั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่าเพลงกระบี่นี้ต้องทำให้นางชนะได้แน่นอน

และในเวลานั้น พริบตาที่กระบี่บินและตู้หลิงเฟยเข้ามาใกล้ป๋ายเสี่ยวฉุน ดวงตาทั้งคู่ของป๋ายเสี่ยวฉุนหดตัวลง ร่างทั้งร่างส่งเสียงดังตูมออกมาหนึ่งที หยกก็ดี ยันต์ก็ดี ล้วนระเบิดพลังออกมา ก่อให้เกิดการคุ้มกันเป็นชั้นๆ ร่างกายถอยหลังไปอย่างรวดเร็ว

แต่เห็นได้ชัดว่ากระบี่บินไม่ใช่วัตถุธรรมดา มันสามารถทะลุเข้าไปในเกราะป้องกันนี้ได้ ผ่านเข้าไปทีละชั้น แม้ว่าความเร็วจะลดลงไปอย่างรวดเร็ว และไม่สามารถทำให้รัศมีแสงคุ้มกันนั้นสลายลง แต่ก็ยังสามารถทะลุผ่านเข้าไปถึงด้านในสุดได้ ปลายกระบี่ทิ่มเข้าไปบนตัวของป๋ายเสี่ยวฉุนโดยตรง

แต่ราวกับว่าไม่มีแรงเหลืออยู่ ขณะที่ทิ่มแทงเข้าไปบนตัวป๋ายเสี่ยวฉุนกลับเหมือนถูกกั้นด้วยอะไรบางอย่าง เมื่อป๋ายเสี่ยวฉุนถอยหลังไปเรื่อยๆ กระบี่เล่มนั้นก็ส่ายไหวไปตามร่างกายเขา สามารถมองเห็นได้ว่าในชุดตัวนอกที่ฉีกขาดนั้น ด้านในยังมีเสื้อหนังอยู่อีกเป็นชั้นๆ

ฝูงชนรอบทิศที่เห็นภาพนี้เข้าต่างพากันเบิกตากว้างอ้าปากค้าง ทุกคนสูดหายใจคำโต

“เจ้า…เจ้าป๋ายเสี่ยวฉุนคนนี้ บนตัวเขายังมีการป้องกันไว้อีกด้วย!!”

“เจ้านี่จะกลัวตายอะไรขนาดนี้ มันใช่เรื่องเหรอ แค่ประลองเล็กของสำนักเท่านั้น ไม่เพียงแค่อาวุธป้องกัน ยันต์ บนตัวเขายังสวมเสื้อหนังอีก!!”

สีหน้าตู้หลิงเฟยซีดเผือด มองเห็นว่าอีกฝ่ายถอยกรูดไปเหมือนกระต่ายที่ถูกเหยียบหาง ไม่เพียงแต่ถอยไปอย่างรวดเร็ว ยังหนีบเอากระบี่บินของตนเองไปอีกด้วย นางกัดฟันทำมุทรา คิดจะดึงกระบี่บินกลับมา แต่พลังวิญญาณในร่างกายของนางเหลือเพียงแค่เส้นบางๆ เท่านั้น ในเวลานี้ไม่ว่านางจะควบคุมอย่างไร กระบี่บินเล่มนั้นก็ได้แค่สั่นไหว แต่ไม่สามารถดึงออกมาได้

ตู้หลิงเฟยร้อนใจขึ้นมาแล้ว ขณะที่เคลื่อนย้ายพลังวิญญาณในร่างกายอีกครั้ง ยังไม่ทันดึงกระบี่บินกลับมาสำเร็จ ริมฝีปากก็มีเลือดสดๆ ไหลออกมา นางถอยหลังโซเซไปหลายก้าว ร่างที่ยืนได้ไม่มั่นคงล้มนั่งลงกองกับพื้น สีหน้าขาวเผือด พลังวิญญาณในร่างกายหมดเกลี้ยง

ความรู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรมในใจนางเพิ่มขึ้นมาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด นึกถึงว่าตนเองต้องลำบากแสนเข็ญกว่าจะติดสองอันดับแรก แต่เจ้าป๋ายเสี่ยวฉุนคนนี้กลับอยู่สบายๆ ไม่เสียพลังวิญญาณไปเลยสักกระผีกเดียว ความคับแค้นในใจ กลายมาเป็นความโกรธแค้น กัดฟันจ้องเขม็งไปที่ป๋ายเสี่ยวฉุน หากสายตาสามารถฆ่าคนได้ ป่านนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนก็คงถูกนางฆ่าตายไปแล้วหลายต่อหลายครั้งอย่างแน่นอน หากนางยังมีพลังเหลืออยู่ นางยังคิดจะลุกขึ้นไปกัดป๋ายเสี่ยวฉุนเสียด้วยซ้ำ

ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจเข้าลึก ถอยหลังกรูดด้วยความเร็วสูงสุด เขาเองก็คาดไม่ถึงว่าตู้หลิงเฟยจะยังมีกระบวนท่านี้

แถมการป้องกันตัวของตนยังถูกแทงทะลุด้วย

‘มารดามันเถอะ ดีนะที่ตอนก่อนมาข้าเกิดระแวงเพิ่มขึ้น เลยสวมเสื้อหนังมาอีกเจ็ดแปดตัว’ ป๋ายเสี่ยวฉุนก้มลงมองกระบี่บินที่เสียบอยู่บนไหล่ตนเอง กระบี่บินเล่มนี้หลังจากแทงทะลุแนวป้องกันเข้ามาแล้ว พละกำลังก็หมดลง ทั้งยังถูกเสื้อหนังที่แข็งแกร่งอีกเจ็ดแปดตัวขวางกั้น สุดท้ายเมื่อมากระทบบนผิวหนังเขา กำลังจึงเหลืออยู่แค่ไม่กี่ส่วน

ด้วยหนังคงกระพันของเขา ขนาดถูกยุงหรือแมลงกัดก็ยังไม่มีความรู้สึก

ในใจป๋ายเสี่ยวฉุนยังคงหวาดผวาแม้เหตุการณ์จะผ่านมาแล้ว มองไปที่กระบี่บินซึ่งเสียบคาอยู่บนไหล่หนึ่งที ก็ยกมือดึงมันออกมา มองไปยังตู้หลิงเฟยที่นั่งหอบหายใจจ้องเขม็งมาที่ตนเอง

“ศิษย์พี่ อาวุธวิเศษเอามาทิ้งๆ ขว้างๆ แบบนี้ไม่ถูกนะ กระบี่เล่มนี้ท่านไม่ต้องการแล้วเหรอ? ในเมื่อท่านไม่ต้องการแล้วงั้นข้าเก็บไว้เองล่ะนะ” ป๋ายเสี่ยวฉุนโยนกระบี่บินที่อยู่ในมือเข้าไปในถุงเก็บของด้วยความเบิกบาน จากนั้นก็หยิบเอากระบี่ไม้เล่มเล็กออกมา เตรียมแสดงพลังยกหนักเสมือนเบาของตนเองให้ทุกคนตกตะลึง

“เจ้า…” ตู้หลิงเฟยมองเห็นตำตาว่ากระบี่บินของตนเองถูกป๋ายเสี่ยวฉุนฮุบไป ดวงตาก็แดงก่ำ ใกล้จะบ้าคลั่งเต็มที ความโกรธพุ่งเข้าโจมตีหัวใจ โมโหจนเป็นลมสลบไปทั้งอย่างนั้น

และนี่คือคนที่สองที่ถูกป๋ายเสี่ยวฉุนทำให้โมโหจนสลบไปในการประลองเล็กครั้งนี้

“เอ๋ ทำไมถึงสลบอีกแล้วล่ะ?” ป๋ายเสี่ยวฉุนมองตู้หลิงเฟยที่สลบไป ถือกระบี่ไม้เล่มเล็กไว้ในมือด้วยความหน่ายใจ

———-

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version