Skip to content

A Will Eternal 288

บทที่ 288 นกบนฟ้าคือนกอะไร…

ดวงตาทั้งคู่ของป๋ายเสี่ยวฉุนพลันเบิกโพลง มีประกายเฉียบคมวาบผ่าน ประกายที่ว่านี้ส่องแสงระยิบระยับ เมื่ออยู่ในถ้ำแห่งนี้ก็ดุจดั่งสายฟ้าแลบท่ามกลางราตรีมืดมิด ทั้งยังชักนำให้รอบด้านเกิดคลื่นเคลื่อนไหวที่มองไม่เห็น

พลังตบะมากมหาศาลระลอกหนึ่งระเบิดอยู่ในร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันกับที่ส่งผลกระทบต่อนภากาศ ก็ยังคำรามครั่นครืนดุจดั่งระลอกคลื่นลูกแล้วลูกเล่าไปตามเส้นชีพจรในร่างของเขา

สุดท้ายเมื่อแผ่กระจายไปทั่วร่างก็พลันย้อนกลับคืนมาทางเก่า เข้าไปหลอมรวมกับมหาสมุทรวิญญาณ หายไปในผลึกหกชั้นแรก ผลึกมหาสมุทรหกชั้นแรกนี้แข็งแรงทนทานจนสามารถรองรับพละกำลังนับแสนชั่ง ต่อให้พลังตบะมากมหาศาลนี้โจมตีหนักหน่วงเพียงใด ถึงกระนั้นก็ยังมั่นคงไม่สั่นคลอน

เสียงตูมตามสนั่นหวั่นไหวที่คนนอกไม่ได้ยิน ดังก้องแค่ในจิตใจของป๋ายเสี่ยวฉุน คล้ายกลับไปยังตอนที่สร้างน้ำขึ้นน้ำลงในหุบเหวกระบี่อุกกาบาตอีกครั้ง ลมหายใจป๋ายเสี่ยวฉุนสม่ำเสมอ สัมผัสได้ถึงการระเบิดของตบะในกาย นั่นคือความรู้สึกถึงพละกำลังที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าก่อนหน้านั้นหลายเท่าตัว

“สร้างฐานราก ช่วงท้าย!” ป๋ายเสี่ยวฉุนเงยหน้าหัวเราะเสียงดัง สีหน้าฮึกเหิม ทั้งยังมากด้วยความตื่นเต้น เขารู้สึกว่าความพยายามอย่างต่อเนื่องของตัวเองหลังจากที่เหยียบย่างสู่สร้างฐานราก ในที่สุดวินาทีนี้ก็ได้รับผลตอบแทนแล้ว

“นับแต่นี้ไป ในบรรดาสร้างฐานรากช่วงต้น ข้าป๋ายเสี่ยวฉุนก็จะกวาดทำลายได้สิ้นซาก สร้างฐานรากช่วงต้นคนไหนกล้ามาแหยมกับข้า ข้าแค่ตบฉาดเดียว ต้องทำให้เขาร้องโหยหวนด้วยความปวดร้าวได้แน่นอน!” ป๋ายเสี่ยวฉุนลุกขึ้นยืนด้วยความกระปรี้กระเปร่า ชั่วขณะที่ลุกขึ้น ตลอดทั้งร่างของเขามีเสียงเปรี๊ยะๆ ดังลอยมา และเบื้องหลังของเขาก็พลันปรากฏ…ร่างปีศาจฟ้า!!

ท้องฟ้านอกถ้ำเดิมทีก็เคลื่อนโคจรอย่างต่อเนื่อง มีสายฟ้าฟาดผ่าเป็นระยะอยู่แล้ว มาบัดนี้ วินาทีที่ป๋ายเสี่ยวฉุนลุกขึ้นยืน ในน้ำวนนั้นก็พลันปรากฏร่างปีศาจฟ้าร่างหนึ่ง และด้านข้างค่อนไปทางข้างหลังของมัน ร่างปีศาจฟ้าร่างที่สอง ที่สามก็ทยอยกันจำแลงกายขึ้น

ร่างปีศาจฟ้าที่ใหญ่มหึมาสุดจะเปรียบสามร่าง หลังจากปรากฏอยู่บนท้องฟ้าก็ก่อให้เกิดเสียงอุทานฮือฮาจากนักพรตจำนวนมากของสำนักธาราเทพที่ตั้งค่ายอยู่ ณ ที่แห่งนี้ทันที

“นั่นคืออะไรน่ะ!”

“นี่…นี่ทำไมถึงดูเหมือนคาถารูปลักษณ์!!”

“สวรรค์ อาจารย์อาป๋ายฝึกวิชาอะไรกันแน่!”

เสียงอุทานด้วยความตื่นตะลึงของสำนักธาราโลหิตก็ไม่น้อยไปกว่ากัน ทว่าเมื่อเทียบกับสำนักธาราเทพแล้ว เนื่องจากเขาเส้าเจ๋อเฟิงฝึกวิชาหลอมเรือนกาย จึงทำให้นักพรตของสำนักธาราโลหิตเดาออกได้มากกว่า

“วิชาหลอมเรือนกายของเขาเส้าเจ๋อเฟิง!! นี่มันร่างปีศาจฟ้า!”

“เย่จั้ง…ไม่เสียแรงที่เป็นนายแห่งโลหิต ในด้านวิชาการหลอมเรือนกายได้มาถึงระดับนี้แล้ว ก้าวต่อไป…น่าจะเป็นร่างอสูรเลือด!”

บนยอดเขาทั้งสอง ดวงตาของบุรพาจารย์ตระกูลซ่งเผยแววแปลกประหลาด ดวงตาเถี่ยมู่เจินเหรินก็ฉายแววลึกล้ำ วินาทีนี้พวกเขาล้วนสะท้านสะเทือนไปกับร่างปีศาจฟ้าทั้งสามกลางอากาศนั่น

“ร่างปีศาจฟ้าของจั้งเอ๋อร์ ดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยเหมือน…เขาเส้าเจ๋อเฟิงเท่าไหร่นัก”

เนิ่นนาน บุรพาจารย์ตระกูลซ่งถึงได้เอ่ยปากเนิบนาบ เถี่ยมู่เจินเหรินทำท่าครุ่นคิด คนทั้งสองสบตากัน ต่างก็ไม่พูดอะไรอีก

ในถ้ำ เสียงหัวเราะของป๋ายเสี่ยวฉุนดังออกมา เวลานี้เขาฮึกเหิมอย่างถึงที่สุด รู้สึกได้ถึงการระเบิดของพลังกล้ามเนื้อตัวเอง เขารู้สึกว่าตัวเองมีความสุขเหลือเกินแล้ว

“เป็นอย่างนี้ไปได้ยังไง ยาที่ท่านพ่อบุญธรรมและบุรพาจารย์เถี่ยมู่มอบให้ข้า น่าจะไม่มากพอช่วยประคับประคองตบะของข้าให้มาถึงระดับนี้ได้ หรือว่า…”

“หรือว่าหลังจากที่ข้าบาดเจ็บ เลยไปกระตุ้นพลังแฝงบางอย่างที่ข้าไม่รู้ ฮ่าๆๆ ต้องเป็นอย่างนี้แน่นอน!” ป๋ายเสี่ยวฉุนหน้าบานเป็นกระด้ง รู้สึกว่าตัวเองในยามนี้ช่างร้ายกาจอย่างยิ่ง

“ไม่ได้ จะลำพองใจไม่ได้ ข้ายังจำเป็นต้องมุมานะ สร้างฐานรากช่วงท้ายแล้ว เป้าหมายต่อไปของข้าคือสร้างฐานรากขั้นสมบูรณ์แบบที่มหาสมุทรวิญญาณทั้งเก้าชั้นตกผลึกทั้งหมด หากอยู่ในขั้นสมบูรณ์แบบเมื่อใด ข้าก็สามารถบุกฝ่าไปยัง…ขั้นยาอายุวัฒนะได้แล้ว!!!” พอป๋ายเสี่ยวฉุนนึกถึงขั้นยาอายุวัฒนะ เขาก็อดไม่ได้ที่จะหายใจรัวเร็ว ดวงตาทั้งคู่เปล่งประกายวิบวับ

“ได้ยินว่าหากสามารถเข้าสู่ขั้นยาอายุวัฒนะ ยังสามารถเพิ่มอายุขัยได้อย่างน้อยห้าร้อยปี…ห้าร้อยปีเชียวนะ…หากข้าทำสำเร็จ ข้าก็สามารถมีชีวิตอยู่ได้พันปี!!” ป๋ายเสี่ยวฉุนกำหมัดแน่น ดวงตาทั้งคู่เผยความบ้าคลั่ง พอนึกถึงว่าตัวเองอาจจะอยู่ได้ถึงพันปี เขาก็ตื่นเต้นจนมิอาจควบคุมตัวเองได้ เต็มไปด้วยความหึกเหิมห้าวหาญ

“และยังมีบทมิวางวายบทที่สองของข้า ข้าสามารถสร้างร่างคชสาร ร่างผีร้าย ร่างปีศาจฟ้าสำเร็จแล้ว อันดับต่อไปคือต้องรวมร่างปีศาจฟ้าให้ได้มากกว่าเดิมเพื่อสร้าง…ร่างอสูร หากร่างอสูรของข้าก็ฝึกสำเร็จด้วย ถ้าเช่นนั้นก็จะได้เหยียบย่างเข้าสู่…ช่วงสุดท้ายของบทมิวางวายบทที่สอง ร่างวัชระมิวางวาย!!” ป๋ายเสี่ยวฉุนตบหน้าอกของตัวเองอย่างแรงหนึ่งครั้ง เดินออกมานอกถ้ำพร้อมเสียงหัวเราะดังกังวาน หมายจะทดสอบดูว่าตอนนี้ตัวเองแข็งแกร่งมากถึงเพียงไหน

ทว่าเพิ่งจะเดินออกมาไม่ได้กี่ก้าว เขาก็พลันหน้าเปลี่ยนสี ด้วยตบะของเขาในยามนี้ สามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่านอกถ้ำมีรุ้งยาวสองเส้นกำลังบินเข้ามาใกล้อย่างรวดเร็ว ด้านในนั้นก็คือซ่งจวินหว่านและโหวเสี่ยวเม่ย

เห็นได้ชัดว่าพอสัมผัสได้ว่าตบะของป๋ายเสี่ยวฉุนฝ่าทะลุ การปิดด่านสิ้นสุดลง จึงต้องการจะมาหา

พอนึกถึงภาพเหตุการณ์น่าหวาดกลัวเวลาหญิงสาวทั้งสองปรากฏตัวพร้อมกัน ป๋ายเสี่ยวฉุนก็หน้าขาวเผือดทันที ด้วยความร้อนรนในใจ เขาจึงตบป้าบลงไปบนหน้าอกหนึ่งครั้ง ใบหน้าพลันซีดขาว ร่างโอนเอนจะล้มมิล้มแหล่ ทั้งยังแสร้งทำท่าอ่อนระโหยโรยแรง พอเดินออกมานอกถ้ำ ซ่งจวินหว่านและโหวเสี่ยวเม่ยก็บินเข้ามาใกล้แล้ว ทั้งสองคนเมื่อเจอหน้ากันก็กำลังจะเอ่ยปากเสียดสีอีกฝ่าย ทว่าพอเห็นท่าทางอ่อนแอของป๋ายเสี่ยวฉุนจึงพากันหน้าถอดสี ลืมการทะเลาะเบาะแว้ง บินรุดเข้าไปหาอย่างว่องไว

“พี่เสี่ยวฉุน ท่านเป็นอะไรไป!”

“เย่จั้ง นี่มันเรื่องอะไรกัน เมื่อครู่ก็ยังราบรื่นดีอยู่ไม่ใช่หรือ” โหวเสี่ยวเม่ยและซ่งจวินหว่านกังวลใจ เข้าไปประคองป๋ายเสี่ยวฉุน ไม่ให้เขาเดินออกมานอกถ้ำ ประคองเขากลับไปนอนบนเตียงหิน

พูดจาอ่อนหวานอ่อนโยน เผยความอบอุ่นอย่างที่เคยเป็นในความทรงจำของป๋ายเสี่ยวฉุน หาได้ยากที่จะไม่ทะเลาะกันอย่างนี้ ทำเอาป๋ายเสี่ยวฉุนที่มองดูอยู่ผ่อนลมหายใจอยู่ในใจ

“เมื่อครู่นี้ตอนที่เพิ่งยุติลงคงตื่นเต้นมากเกินไปหน่อย พักผ่อนสักครู่ก็ดีเอง” ป๋ายเสี่ยวฉุนไอแห้งๆ สองสามครั้ง พูดเสียงระโหย ภายใต้การปรนนิบัติพัดวีของหญิงสาวทั้งสอง เขาที่นอนอยู่บนเตียงจึงค่อยๆ หลับตาพักผ่อน

โหวเสี่ยวเม่ยและซ่งจวินหว่านรู้ว่าป๋ายเสี่ยวฉุนต้องการรักษาตัวเงียบๆ ครู่ใหญ่จึงเดินจากไปอย่างเงียบเชียบ จนกระทั่งพวกนางจากไปแล้ว ดวงตาทั้งคู่ของป๋ายเสี่ยวฉุนพลันเปิดขึ้น ถอนหายใจยาวหนึ่งครั้ง ความรู้สึกดีใจที่ตบะฝ่าทะลุก่อนหน้านี้ ตอนนี้แทบไม่หลงเหลืออยู่ สีหน้าก็เริ่มเปลี่ยนมาเป็นกลัดกลุ้ม

“ทำยังไงดี…” ป๋ายเสี่ยวฉุนหน้าตาบึ้งตึง รู้สึกว่าชีวิตอย่างนี้ดูท่าจะไปไม่รอด…ครุ่นคิดอยู่นานมากก็ได้ข้อสรุปว่าตัวเองแสร้งทำเป็นอ่อนแอต่อไปน่าจะดีที่สุด

เวลาผันผ่าน ไม่นานก็ผ่านไปอีกครึ่งเดือน ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่สามารถแสร้งทำเป็นป่วยได้ตลอดเวลา ดังนั้นจึงต้องให้ตัวเองเผยสีหน้าที่ค่อยๆ ดีขึ้นตามลำดับ อีกอย่างหลายวันมานี้ ซ่งจวินหว่านก็คล้ายจะจับได้ว่าป๋ายเสี่ยวฉุนแกล้งป่วย โหวเสี่ยวเม่ยถึงแม้จะไร้เดียงสา แต่กลับไม่โง่เขลา หลายครั้งที่มองมายังป๋ายเสี่ยวฉุน แววตาก็เผยความสงสัย

ป๋ายเสี่ยวฉุนตกใจจนใจหายวาบ รู้สึกว่าชีวิตแบบนี้ช่างลำบากลำบนยิ่งนัก ถึงขั้นคิดด้วยว่าตัวเองควรจะไปสนามรบหรือไม่ ทว่าพอนึกถึงความเป็นความตายบนสนามรบ เขาก็ลังเลขึ้นมา

“ช่างเถอะๆ ข้ารู้สึกว่าตัวเองยังพอทนได้ หรือบางทีอาจยังมีวิธีอื่น…” ป๋ายเสี่ยวฉุนกำผมของตัวเองแน่น ขณะที่กำลังใคร่ครวญว่ายังมีวิธีอะไรอีกหรือไม่ หน้าเขาก็พลันเปลี่ยนสี แสร้งทำท่าเซื่องซึมออกมาทันที

หลังจากที่เขาทำท่าซึมเซาได้ไม่นาน นอกถ้ำ โหวเสี่ยวเม่ยและซ่งจวินหว่าน ก็มาเยือนอีกครั้ง…

“พี่เสี่ยวฉุน ท่านเอาแต่อยู่ในถ้ำแบบนี้ไม่ใช่เรื่องดีนะ ข้าจะออกไปเดินเล่นเป็นเพื่อนท่านแล้วกัน” โหวเสี่ยวเม่ยพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน นัยน์ตาแฝงไว้ด้วยความนุ่มนวล

“คือว่า…” ป๋ายเสี่ยวฉุนลังเลเล็กน้อย

“เย่จั้ง พวกเราเป็นนักพรต บาดแผลเล็กน้อยแค่นี้ไม่ได้มากมายอะไรเลย ไปกันเถอะ เดินเล่นบนเทือกเขาลั่วเฉิน พอได้ยืดเส้นยืดสายให้เลือดลมไหลเวียนจะยิ่งหายเร็วขึ้น” ซ่งจวินหว่านครึ่งยิ้มครึ่งบึ้ง เดินหน้าเข้าไปประคองแขนข้างซ้ายของป๋ายเสี่ยวฉุน โหวเสี่ยวเม่ยถลึงตา เดินหน้าขึ้นไปอย่างไม่ยอมกัน ประคองมือขวาของป๋ายเสี่ยวฉุนเอาไว้

ป๋ายเสี่ยวฉุนมองเซ่อทันที ไม่เปิดโอกาสให้เขาพูดและปฏิเสธเลยสักนิด ทั้งร่างของเขาก็ถูกโหวเสี่ยวเม่ยและซ่งจวินหว่าน หิ้วออกไป…จากถ้ำ

ถึงขั้นที่ว่าหลายครั้งฝีเท้าของเขายังลอยขึ้นจากพื้นด้วยซ้ำ…ประหนึ่งนักโทษที่ถูกส่งขึ้นลานประหาร และทั้งสองข้างของร่างกายเขา เมื่อสายตาของหญิงสาวทั้งสองประสานกัน ไอสังหารก็บังเกิดขึ้น ทำให้หน้าผากป๋ายเสี่ยวฉุนพราวไปด้วยเม็ดเหงื่อ อยากร้องแต่ร้องไม่ออก

เวลานี้เป็นช่วงเช้าตรู่พอดี บริเวณโดยรอบเทือกเขาลั่วเฉินมีหมอกบางๆ ปกคลุม แสงอาทิตย์ของรุ่งอรุณทอประกายงดงามจับตา สวยงามอย่างมาก หลังจากที่ป๋ายเสี่ยวฉุนถูกหิ้วออกมาจากในถ้ำ นักพรตหลายคนที่ตั้งค่ายอยู่ที่นี่มองเห็น แต่ละคนเผยความเห็นใจออกมาทางดวงตา รีบหลีกทางให้ทันที

ป๋ายเสี่ยวฉุนอ้าปากอยากจะพูดอะไรบางอย่าง ทว่าไม่นานก็หุบฉับ เขารู้สึกว่าตัวเองจะพูดอะไรไม่ได้ มิฉะนั้น ต้องยิ่งปวดหัวมากกว่าเดิมแน่นอน จึงปิดปากให้แน่นสนิทไปเสียเลย ครุ่นคิดว่าตัวเองก็แค่ออกมาเดินเล่น น่าจะ…ไม่มีเรื่องอะไร

ขณะที่กำลังคิดแบบนี้นั้นเอง บนท้องฟ้า ท่ามกลางเมฆหมอก มีนกตัวหนึ่งบินผ่านมา นกตัวนี้ลำตัวเป็นสีแดงกล่ำ เรือนกายงามสง่า งดงามยิ่งนัก ขณะที่บินผ่านก็กรีดอากาศให้เป็นรุ้งเส้นยาว ส่งเสียงร้องไพเราะดังกังวานอยู่เป็นระยะ

“เย่จั้งเจ้าดูสิ นั่นคือนกเซวี่ยหลิง” ซ่งจวินหว่านที่อยู่ด้านข้างพอมองเห็นนกตัวนี้บนท้องฟ้าก็ร้องขึ้นมาอย่างตกตะลึงระคนดีใจ

“นกเซวี่ยหลิงของสำนักธาราโลหิตเรา ไม่นึกว่าที่นี่ก็จะมีด้วย เมื่อก่อนตอนที่ข้าอยู่เขาจงเฟิง ข้าชื่นชอบนกเซวี่ยหลิงมากที่สุดเลยละ”

ป๋ายเสี่ยวฉุนเงยหน้า มองนกตัวนั้นที่อยู่บนท้องฟ้า กำลังจะพยักหน้า ทันใดนั้นด้านข้างฝั่งของโหวเสี่ยวเม่ย ไอสังหารระลอกหนึ่งปะทุขึ้น ทั้งยังมีน้ำเสียงไม่พอใจดังลอยมา

“นกเซวี่ยหลิงอะไรกัน นั่นมันนกยวนเหว่ยของสำนักธาราเทพเราชัดๆ!”

ซ่งจวินหว่านมองโหวเสี่ยวเม่ยด้วยความโกรธเคืองทันที โหวเสี่ยวเม่ยเองก็ไม่ยอมอ่อนข้อให้ ยืดอกเล็กๆ ขึ้น มองซ่งจวินหว่านด้วยความขุ่นเคืองไม่ต่างกัน

ป๋ายเสี่ยวฉุนถูกหนีบอยู่ตรงกลาง เวลานี้หน้าผากของเขาเริ่มมีเหงื่อผุดขึ้นมาแล้ว เขาแอบรู้สึกว่าจากสถานการณ์ในตอนนี้ อีกไม่นานเขาต้องหัวโตแน่นอน…ยังไม่ทันที่เขาจะนึกถึงวิธีการใด ซ่งจวินหว่านพลันหัวเราะยั่วเย้า ดวงตาสว่างใสดุจน้ำในฤดูใบไม้ผลิทั้งคู่กวาดมองป๋ายเสี่ยวฉุนหนึ่งครั้ง

“เย่จั้ง เจ้าว่านั่นคือนกเซวี่ยหลิงหรือว่านกยวนเหว่ย?”

โหวเสี่ยวเม่ยเองก็ไม่ยอมแพ้ ดึงแขนของป๋ายเสี่ยวฉุน ทำหน้าตาน่าสงสาร นัยน์ตาแฝงไว้ด้วยไอหมอกบางๆ เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานอ้อนวอน

“พี่เสี่ยวฉุน ท่านรีบบอกป้าคนนี้ไปสิว่านี่คือนกยวนเหว่ย”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version