บทที่ 287 ผู้หญิงน่ากลัวเกินไปแล้ว!
หลายวันต่อจากนั้น ทุกวันป๋ายเสี่ยวฉุนจะต้องแสร้งทำเป็นป่วยกระเซาะกระแซะ บางครั้งที่เดินออกมานอกถ้ำ มองฟ้าดินด้านนอก ในใจเขารู้สึกปลดปลงอย่างมาก
“ลูกศิษย์ที่รู้ประสาอย่างข้าเนี่ยช่างมีน้อยยิ่งนัก รู้ว่าพวกบุรพาจารย์อาลัยอาวรณ์ไม่อยากให้ข้าไปสนามรบ ดังนั้นเลยเป็นฝ่ายแกล้งทำว่าอาการบาดเจ็บยังไม่หายดี” ป๋ายเสี่ยวฉุนส่ายหัว รู้สึกว่าในที่สุดตัวเองก็โตเป็นผู้ใหญ่ เข้าใจเรื่องราวได้เยอะมากแล้ว
“หากท่านอาหลี่และศิษย์พี่เจ้าสำนักรู้เข้า ต้องยิ่งปลื้มใจในตัวข้าเป็นแน่” ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจเข้าลึก ครุ่นคิดว่าตัวเองจะออกมาข้างนอกนานนักไม่ได้ มิฉะนั้นจะดูไม่สมจริง เวลานี้ฉวยโอกาสที่โหวเสี่ยวเม่ยและซ่งจวินหว่านยังไม่มา ต้องรีบกลับไปนอนหลับ มิฉะนั้นหากสองคนนั้นปรากฏตัวขึ้น ตนก็ซวยแน่
พอนึกถึงภาพเรือนกายของโหวเสี่ยวเม่ยและซ่งจวินหว่านในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ใจหายวาบ
“น่ากลัวเกินไปแล้ว สายตาเวลาสองคนนี้มองข้า ราวกับจะฉีกข้าออกเป็นสองท่อนอย่างไรอย่างนั้น…” ป๋ายเสี่ยวฉุนคิดมาถึงตรงนี้ก็หมายจะหมุนตัวกลับเข้าไปในถ้ำ ทันใดนั้น เงาร่างของซ่งจวินหว่านที่ห่างออกไปไกลก็พลันถลาเข้ามา
ป๋ายเสี่ยวฉุนเบิกตากว้าง ในใจร่วงหล่นลงดังโครม
“ไม่ถูกสิ หลายวันก่อนหน้านี้ไม่ได้มาเวลานี้นี่นา…” ป๋ายเสี่ยวฉุนหวาดหวั่นขึ้นมาทันที พอหันไปมองอีกทางหนึ่งจึงเห็นว่าโหวเสี่ยวเม่ยก็มาด้วย ป๋ายเสี่ยวฉุนสำลักลมหายใจ รีบวางมาดเคร่งขรึม เอ่ยด้วยเสียงทุ้มหนักตั้งแต่ตอนที่หญิงสาวทั้งสองยังไม่ทันเข้ามาใกล้
“ข้าจะไปพบบุรพาจารย์!” พูดเสร็จก็สะบัดร่างแล้วบินพรวดตรงไปยังจุดที่บุรพาจารย์ทั้งสองพำนักอยู่ทันที บินมาได้ครึ่งทาง ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ตบหน้าผากตัวเอง แอบบอกกับตัวเองว่าเลินเล่อเกินไปแล้ว ดังนั้นรุ้งยาวที่แปลงออกมาจึงเริ่มโซซัดโซเซ พอถึงสุดท้ายก็ทำท่าว่าบินไม่ขึ้น ตกลงไปยังด้านหนึ่งของเทือกเขาลั่วเฉินด้วยลมหายใจหอบหนัก
ที่แห่งนี้มียอดเขาสองแห่งที่สูงนูนขึ้นมา ยอดเขาทั้งสองนี้ไม่สูงมากนัก แค่ประมาณร้อยกว่าจั้งเท่านั้น อยู่ห่างกันไม่ไกล
บุรพาจารย์ตระกูลซ่งและเถี่ยมู่เจินเหรินต่างก็แยกกันอยู่คนละยอดเขา
ป๋ายเสี่ยวฉุนเพิ่งจะมาถึง สายตาของบุรพาจารย์ตระกูลซ่งและเถี่ยมู่เจินเหรินก็สาดลงมาจากยอดเขา กวาดไปที่ร่างของป๋ายเสี่ยวฉุน
“ป๋ายเสี่ยวฉุน คารวะบุรพาจารย์!” ป๋ายเสี่ยวฉุนรีบประสานมือคารวะ
“อาการบาดเจ็บดีขึ้นบ้างหรือยัง?” เถี่ยมู่เจินเหรินถามหนึ่งประโยคด้วยใบหน้าครึ่งยิ้มครึ่งบึ้ง
ป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังจะตอบคำถาม ทว่าบุรพาจารย์ตระกูลซ่งที่อยู่อีกยอดเขาหนึ่งกลับฮึดฮัดเสียงเย็นขึ้นมาหนึ่งครั้ง
เสียงฮึดฮัดนี้ดังเข้ามาในหูของป๋ายเสี่ยวฉุน ทำให้เขาใจสั่นวาบ ถอนหายใจหนึ่งครั้ง แล้วจึงคารวะอีกหนึ่งรอบ
“เย่จั้ง คารวะพ่อบุญธรรม!”
คราวนี้ใบหน้าของบุรพาจารย์ตระกูลซ่งถึงได้เผยรอยยิ้ม เปิดปากพูด
“ข้าเห็นเมื่อครู่ตอนที่เจ้าบินมาคล้ายว่าปราณจะไม่มั่นคงนัก ดูท่าบาดแผลคงยังไม่หายดีกระมัง?”
“ดีขึ้นบ้างแล้วขอรับ เอ่อ…ยังมีบางส่วนที่ยังไม่หาย?” ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกเหมือนวัวสันหลังหวะ รู้ว่าสภาพของตัวเองนั้นปิดบุรพาจารย์ไม่ได้ หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่งจึงเอ่ยถามหยั่งเชิง
“ช่างเถอะ ในเมื่อยังไม่หายดีก็รักษาตัวต่อไปเถอะ” เถี่ยมู่เจินเหรินหัวเราะฮ่าๆ มือขวายกขึ้นโบกหนึ่งครั้ง ยาหนึ่งขวดบินลอยมาหาป๋ายเสี่ยวฉุน ถูกป๋ายเสี่ยวฉุนรับมาไว้ในมือ
ป๋ายเสี่ยวฉุนกะพริบตาปริบๆ พอเปิดดูก็เผยความประทับใจออกมาทางสีหน้าทันที นี่คือยาระดับสี่ขวดหนึ่ง อีกทั้งสรรพคุณของยาก็ยังไม่ธรรมดา แต่ไม่ได้มีไว้ใช้สำหรับรักษาอาการบาดเจ็บ ทว่าช่วยให้ตบะเพิ่มสูงขึ้นในระดับที่กำหนด
บุรพาจารย์ตระกูลซ่งยกคิ้วขึ้น โบกมือขวาหนึ่งครั้ง ยาสองขวดลอยออกมาตรงเข้าหาป๋ายเสี่ยวฉุน ป๋ายเสี่ยวฉุนเลียริมฝีปาก หลังจากรับมาจึงเปิดออกดู แล้วก็ตาค้างทันที
ด้านในนั้นบรรจุยาระดับสี่เอาไว้เหมือนกัน ถึงขั้นเป็นยาขั้นยอดเยี่ยมด้วยซ้ำ ห่างจากระดับห้าไม่ไกลนัก ปราณเลือดเข้มข้นมาก ช่วยในด้านการฝึกวิชาอมตะมิวางวายได้ไม่น้อย
ป๋ายเสี่ยวฉุนฮึกเหิม มองบุรพาจารย์ทั้งสองท่านด้วยความซาบซึ้ง รู้สึกว่าสองคนนี้ช่างดีกับตนยิ่งนัก ทั้งๆ ที่รู้ว่าบาดแผลของตนหายดีหมดแล้ว ยังมอบยาวิเศษเพิ่มตบะให้กับตนอีก
“ดูท่าข้าคงเติบใหญ่แล้วจริงๆ สามารถแบ่งเบาภาระให้กับพวกบุรพาจารย์ได้แล้ว นี่คือการบอกเป็นนัยให้ข้าแสร้งทำเป็นบาดเจ็บต่อไปนะเนี่ย” ป๋ายเสี่ยวฉุนทอดถอนใจ สูดลมหายใจลึกๆ หนึ่งครั้ง ประสานมือคารวะโค้งตัวต่ำให้แก่บุรพาจารย์ทั้งสองท่าน
“บุรพาจารย์ พ่อบุญธรรม พวกท่านโปรดวางใจเถอะขอรับ ข้าจะไม่ทำให้พวกท่านผิดหวังเป็นแน่!” ป๋ายเสี่ยวฉุนเอ่ยด้วยเสียงทุ้มหนัก นัยน์ตาเผยประกายความหมายว่าข้าเข้าใจความต้องการของพวกท่าน…แล้วจึงหมุนกายจากไปไกล
บุรพาจารย์ตระกูลซ่งหัวเราะ เถี่ยมู่เจินเหรินเองก็ส่ายหัวแล้วยิ้ม สำหรับป๋ายเสี่ยวฉุนแล้ว ถึงแม้พวกเขาจะหวังให้เขาไปที่สนามรบ ทว่าขณะเดียวกันก็เป็นกังวลในเรื่องความปลอดภัยของเขา ดังนั้นไม่ว่าเขาจะเลือกเช่นไร จึงไม่คิดจะเข้าไปก้าวก่าย
กลับมาถึงถ้ำ ป๋ายเสี่ยวฉุนพบว่าโหวเสี่ยวเม่ยและซ่งจวินหว่านไม่อยู่แล้ว ดังนั้นถึงได้ผ่อนลมหายใจออกมา แล้วรีบกลับเข้าไปในถ้ำ นั่งสมาธิเริ่มบำเพ็ญตบะ
จากการบำเพ็ญตบะทำให้เขาค่อยๆ ค้นพบว่าตบะของตัวเองเพิ่มขึ้นกว่าก่อนหน้าที่จะสลบไป แม้แต่วิชาอมตะมิวางวายก็ยังแข็งแกร่งขึ้นมาก
“หากเป็นเช่นนี้ต่อไป สร้างฐานรากช่วงท้ายก็นับวันรอได้เลย” ป๋ายเสี่ยวฉุนตื่นเต้น โดยเฉพาะคิดถึงข้อที่ว่าตนคนเดียวก็สามารถเปลี่ยนแปลงสถานการณ์การสู้รบของสองสำนักได้จึงยิ่งภาคภูมิใจในตัวเอง เวลานี้เบิกบานใจอย่างยิ่ง กำลังจะกลืนยาลงไป ทว่าทันใดนั้น นอกถ้ำกลับมีเสียงของโหวเสี่ยวเม่ยดังลอยมา
“พี่เสี่ยวฉุน ข้าต้มยามาให้ท่าน…” ระหว่างที่พูดประตูใหญ่ของถ้ำก็เปิดออก ใบหน้าเล็กๆ แดงปลั่งของโหวเสี่ยวเม่ยถือยาถ้วยหนึ่งเดินเข้ามา
ถ้วยยายังคงมีไอร้อนลอยกรุ่น ขับให้ใบหน้าของโหวเสี่ยวเม่ยแดงระเรื่อ พอป๋ายเสี่ยวฉุนเห็นผิวพรรณขาวนวลบริสุทธิ์ของอีกฝ่าย ใจก็เต้นโครมคราม
ทว่าที่ตามมาติดๆ คือเขาเห็นว่าด้านหลังโหวเสี่ยวเม่ย ซ่งจวินหว่านถือยาถ้วยหนึ่งมาพร้อมรอยยิ้มตาหยี เดินตามเข้ามา อาภรณ์ที่สวมใส่ไม่เหมือนกับตอนอยู่สำนักธาราโลหิต ดูมิดชิดขึ้นมาเล็กน้อย ทว่าเรือนร่างโค้งเว้าที่ซุกซ่อนอยู่ใต้อาภรณ์ ต่อให้จะแต่งตัวมิดชิดแค่ไหนก็ยังอำพรางไม่อยู่
“ศิษย์น้องเย่จั้ง ข้าต้มยามาให้เจ้า…”
เวลานี้ผู้หญิงทั้งสองต่างเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าป๋ายเสี่ยวฉุน ในมือถือถ้วยยาไว้คนละหนึ่งถ้วย หันมามองป๋ายเสี่ยวฉุน ซ่งจวินหว่านยิ้มน้อยๆ โหวเสี่ยวเม่ยเอียงอาย
ป๋ายเสี่ยวฉุนแค่มองครั้งเดียวก็รู้สึกร้อนรุ่มในหัวใจ แอบกู่ร้องว่านางมารร้าย ทั้งยังได้ยินคำพูดของซ่งจวินหว่านที่ถอดมาจากโหวเสี่ยวเม่ยเป๊ะๆ ทำให้เขามองเซ่ออย่างห้ามไม่ได้
เขามองซ้ายที มองขวาอีกที ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็รู้สึกว่ายังไงโหวเสี่ยวเม่ยก็มาก่อน ดังนั้นจึงยกมือขึ้นหมายจะรับถ้วยยาจากโหวเสี่ยวเม่ยมาโดยไม่รู้ตัว
ดวงตาของโหวเสี่ยวเม่ยเป็นประกาย เผยความตื่นเต้น เหล่มองซ่งจวินหว่านด้วยความลำพองใจ
พอซ่งจวินเห็นว่าเป็นเช่นนี้จึงถลึงตามองป๋ายเสี่ยวฉุนทันที แค่นเสียงเย็นหนึ่งครั้ง ทั้งยังแผ่ไอสังหารออกมาจากบนร่าง ไอสังหารนี้รุนแรงอย่างมาก ป๋ายเสี่ยวฉุนสำลักลมหายใจ มือขวาที่ยกค้างรีบเปลี่ยนทิศทาง หมายจะรับถ้วยยาของซ่งจวินหว่าน
“พี่เสี่ยวฉุน…นี่ข้าต้องนั่งต้มมาทั้งวันเลยนะกว่าจะต้มออกมาได้” ป๋ายเสี่ยวฉุนยังไม่ทันแตะโดนถ้วยยา โหวเสี่ยวเม่ยก็ตาแดงก่ำคล้ายเสียใจอย่างหนัก แถมร่างยังสั่นน้อยๆ น้ำตาขึ้นมาคลอรออยู่ในกรอบดวงตา สายตานั้นทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนสงสาร ดังนั้นมือขวาจึงเปลี่ยนทิศทางอีกครั้งโดยไม่รู้ตัว
“เย่จั้ง ยังจำคำพูดที่เจ้าเคยพูดกับข้าตอนอยู่เขาจงเฟิงได้ไหม หากเจ้าดื่มยาถ้วยนี่ของข้าก่อน ข้าจะเชื่อว่าที่เจ้าพูดล้วนเป็นเรื่องจริง” ซ่งจวินหว่านเอ่ยปากเสียงแผ่วเบา นัยน์ตาเผยความเด็ดเดี่ยว คล้ายว่าหากป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ดื่มยาของนางก่อน นางก็จะหมุนกายจากไป นับแต่นี้อย่าหวังว่าจะได้เจอกันอีก
“ข้า…” มือขวาของป๋ายเสี่ยวฉุนหยุดชะงัก มองยาสองถ้วยที่อยู่ตรงหน้า รู้สึกใกล้จะเป็นบ้าเต็มที
“พวกนางสองคนนัดกันมาหรือไง…ทำไมต้องปรากฏตัวพร้อมกันด้วยยยย!!” ป๋ายเสี่ยวฉุนใกล้จะพังทลายเข้าไปทุกที เขาโตมาขนาดนี้ก็เพิ่งได้เจอกับเรื่องทำนองนี้เป็นครั้งแรก ซ้ายก็ไม่ใช่ ขวาก็ไม่ได้…
ดวงตาป๋ายเสี่ยวฉุนถึงขนาดมีเส้นเลือดฝอยปรากฏ กัดฟันกรอดแล้วยกมือทั้งสองขึ้นมาพร้อมกัน ยื่นออกไปคว้าถ้วยมาถือมือและใบ น้ำตาไหลพรากอยู่ในใจ กล้ำกลืนฝืนทน…กระดกยาทั้งสองถ้วยเข้าไปพร้อมกันโดยไม่สนว่าน้ำยาจะหกเลอะไปทั่วร่าง
แม้ว่าความรู้สึกที่ต้องวางถ้วยสองใบไว้บนริมฝีปากแล้วยกขึ้นดื่มพร้อมกันจะไม่ค่อยสบายนัก แต่ในใจป๋ายเสี่ยวฉุนกลับพรั่งพรูลมหายใจ รู้สึกว่าตัวเองมีปฎิกิริยาตอบสนองไวดีมาก ทำเช่นนี้ ทั้งซ่งจวินหว่านและโหวเสี่ยวเม่ยต่างก็ว่าอะไรตนไม่ได้แล้ว
ทว่าพอเขาดื่มเสร็จ ซ่งจวินหว่านระเบิดไอสังหาร สูดลมหายใจเข้าลึก ถลึงตาใส่ป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างดุดันหนึ่งครั้งแล้วหมุนกายจากไป โหวเสี่ยวเม่ยยิ่งเสียใจอย่างหนัก นัยน์ตาฉายความขุ่นข้องหมองใจอย่างชัดเจน หมุนกายออกไปจากถ้ำพร้อมความมืดมน
ป๋ายเสี่ยวฉุนตะลึงงัน…เขามองแผ่นหลังของหญิงสาวทั้งสองคนแล้วกำกระชากผมของตัวเองอย่างแรง ถอนหายใจด้วยความเศร้าสร้อย
“ข้า…ข้าทำอะไรผิดล่ะ ข้าก็ดื่มหมดแล้วไง ไม่ได้ดื่มของใครก่อนใครหลัง…” ป๋ายเสี่ยวฉุนอยากร้องแต่ร้องไม่ออก ถอนหายใจเฮือกๆ ผ่านไปครู่ใหญ่ถึงได้ปิดประตูใหญ่ของถ้ำด้วยหน้าตาบูดบึ้ง
“ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไปข้าต้องบ้าแน่ๆ ข้า…ข้าจะปิดด่าน!!” ป๋ายเสี่ยวฉุนกัดฟัน หลังจากตัดสินใจได้จึงรีบปิดถ้ำแน่นสนิท สูดลมหายใจเข้าลึกแล้วนั่งขัดสมาธิ ผ่านไปพักใหญ่ถึงทำใจให้สงบลงมาได้ กลืนยาที่เถี่ยมู่เจินเหรินและบุรพาจารย์ตระกูลซ่งมอบให้แล้วเริ่มปิดด่าน
เวลาผ่านพ้นไปทีละวัน พริบตาเดียวก็ผ่านไปแล้วครึ่งเดือน ภายในครึ่งเดือนนี้ตบะของป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ฝ่าทะลุไปยังสร้างฐานรากช่วงท้ายครั้งแล้วครั้งเล่า
มหาสมุทรวิญญาณชั้นที่ห้าได้ตกผลึกเรียบร้อย มหาสมุทรวิญญาณชั้นที่หกก็มีเกือบครึ่งส่วนที่ก่อร่างเป็นผลึกใส ขอแค่มหาสมุทรวิญญาณชั้นที่หกนี้ตกผลึกอย่างสมบูรณ์แบบ ตบะของป๋ายเสี่ยวฉุนก็จะสามารถบรรลุไปถึงจุดสูงสุดของสร้างฐานรากช่วงกลาง เหยียบย่างเข้าสู่สร้างฐานรากช่วงท้าย
และยาที่เขากินเข้าไปในช่วงที่ผ่านมาเพื่อรักษาบาดแผลซึ่งฤทธิ์ยายังหลงเหลืออยู่ในร่างกาย ก็ได้ถูกระตุ้นออกมาท่ามกลางการปิดด่านครั้งนี้ กลายมาเป็นพลังช่วยผลักดันตบะของเขา
บวกกับเต่าน้อยที่ป๋ายเสี่ยวฉุนต้องหยิบออกมาเขย่าแทบทุกวัน กลิ่นหอมที่เต่าน้อยนั่นส่งออกไปดึงดูดพลังวิญญาณฟ้าดินมหาศาลมาจากรอบด้าน ในที่สุดก็ผลักดันให้มหาสมุทรวิญญาณชั้นที่หกของป๋ายเสี่ยวฉุนกลายเป็นผลึกได้เร็วขึ้น!
หกส่วน เจ็ดส่วน แปดส่วน…
จนกระทั่งผ่านไปอีกครึ่งเดือน เช้าตรู่ของวันนี้ ตลอดร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนส่งเสียงดังกัมปนาท มหาสมุทรวิญญาณชั้นที่หกในร่างตกผลึกอย่างสมบูรณ์แบบ พริบตานั้นพลังวิญญาณระลอกหนึ่งที่กว้างใหญ่กว่าที่เขาเคยมีไม่รู้ต่อกี่เท่าระเบิดออก ลอยล่องไปทั่วร่างของเขา เสียงเปรี๊ยะๆ ดังออกมาจากในกาย คล้ายว่าเขาได้เข้าพิธีชำระล้าง
ปราณวิถีฟ้ายิ่งเดือดพล่าน ทั้งยังก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงบนนภากาศ ทำให้เถี่ยมู่เจินเหรินและบุรพาจารย์ตระกูลซ่ง รวมไปถึงนักพรตมากมายบนเทือกเขาลั่วเฉินต่างก็พากันหน้าเปลี่ยนสี สัมผัสได้ว่านาทีนี้ ในถ้ำของป๋ายเสี่ยวฉุนมีวิถีฟ้าปริมาณมหาศาล….ที่คล้ายจะเชื่อมโยงทุกอย่างของนภากาศแผ่ออกมา!
เสียงฟ้าคำรณดังไปทั่ว บนฟากฟ้าบังเกิดน้ำวนเคลื่อนโคจรอย่างต่อเนื่อง ป๋ายเสี่ยวฉุนที่อยู่ในถ้ำพลันเบิกตาโพลง นัยน์ตาเปล่งประกายวาบวับดุจสายฟ้า มหาสมุทรวิญญาณหกชั้นแรกในร่างของเขาตกผลึกอย่างสมบูรณ์แบบ!
สร้างฐานราก…ช่วงท้าย!