Skip to content

A Will Eternal 286

บทที่ 286 อรุณ…สวัสดิ์…

เสียงวิพากษ์วิจารณ์ลอยออกมาจากทางฝ่ายของสำนักธาราโลหิตดังอื้ออึงแซ่ไปหมด เรื่องราวในวันนี้ที่ทยอยเกิดขึ้นอย่างไม่ขาดสาย สำหรับสำนักธาราโลหิตแล้ว ช่างเป็นเรื่องที่น่าครั่นคร้ามเกินไป

การปรากฏตัวของมารโลหิต บุรพาจารย์คนหนึ่งกลับกลายมาเป็นสายลับ ทั้งหมดทั้งมวลนี้ทำให้พวกเขามิอาจปรับตัวได้ทันในชั่วระยะเวลาสั้นๆ ทั้งยังมีความรู้สึกอับอาย ถึงขั้นรู้สึกเคว้งคว้างต่อสำนักธาราโลหิตด้วย

ปฐมาจารย์ที่แข็งแกร่งที่สุดของสำนักธาราโลหิตขมขื่น เวลานี้กัดฟัน มองบุรพาจารย์รุ่นที่หนึ่งของสำนักธาราเทพ แล้วก็มองป๋ายเสี่ยวฉุนที่สลบอยู่ในหลุมลึก จะรบหรือจะรวม อยู่ที่ความคิดเดียว หลังจากไตร่ตรองอยู่ชั่วครู่ ใบหูของเขาก็พลันกระตุกน้อยๆ ราวกับว่าการดำรงอยู่ของบางอย่างกำลังส่งเสียงมาให้แก่เขา ใบหน้าของเขานิ่งเฉยไม่เปลี่ยน ครู่หนึ่งสีหน้าถึงได้เผยให้เห็นความเด็ดเดี่ยว ครั้นจึงเอ่ยปาก

“สำนักธาราทมิฬยุยงสองสำนัก หวังจะเห็นสองสำนักเข่นฆ่ากัน สังหารสหายนักพรตฮั่นเหยียนแห่งสำนักธาราโลหิตเรา ทั้งยังคิดทำลายบุตรโลหิต…เรื่องนี้มิอาจยอมทนได้ สำนักธาราโลหิตของข้าออกศึกคราใด ไม่เห็นเลือดเราไม่กลับ วันนี้เมื่อออกมาแล้ว…ก็ถือโอกาสไปดับสำนักธาราทมิฬเสียเลย!!” คำพูดของปฐมาจารย์สำนักธาราโลหิตแผ่ดังออกไปตรงเข้าสู่จิตใจของลูกศิษย์สำนักธาราโลหิตทุกคน ความรู้สึกเคว้งคว้างของคนเหล่านี้กลับถูกแทนที่ด้วยความโกรธแค้น”

“ดับทำลายสำนักธาราทมิฬ!!”

“แก้แค้นให้กับบุรพาจารย์ฮั่นเหยียน!!” ทุกคนของสำนักธาราโลหิต เวลานี้สิ่งที่พวกเขาต้องการคือเป้าหมายเดียว สิ่งที่พวกเขาต้องการคือการระบายความคั่งแค้น เมื่อได้ยินคำพูดของปฐมาจารย์ ความกระหายเลือดของทุกคนจึงระเบิดออก จิตสังหารพลันเดือดพล่านขึ้นอีกครั้ง

ไม่นานเมฆโลหิตบนนภากาศก็กลิ้งซัดโหม กองทัพแสนยานุภาพเกรียงไกรนั้นพลันคำรามออกไปไกล มหาสมุทรโลหิตบนพื้นดินขยายวงกว้าง หมอกโลหิตบนท้องฟ้ายิ่งเข้มข้น ยักษ์โลหิตแต่ละตนแผดเสียงคำราม เรือรบสีเลือดมากมายแล่นฉิวไปบนลูกคลื่น ลูกกลมขนาดใหญ่ราวตั๊กแตนที่เกิดจากการรวมตัวกันของลูกศิษย์ฝ่ายนอกจำนวนเหลือคณานับกระแทกลงพื้นดังโครมคราม

บุรพาจารย์หลายคนของสำนักธาราโลหิตต่างก็ไม่ยินดีจะอยู่ที่นี่ต่อ พอหมุนตัวได้จึงบินดิ่งเข้าไปในเมฆโลหิตโดยตรง

บุรพาจารย์รุ่นที่หนึ่งของสำนักธาราเทพครุ่นคิด หลังจากมองสหายนักพรตหลายคนที่อยู่ข้างกายแล้ว ต่างก็มองออกถึงการตัดสินใจเด็ดเดี่ยวในสายตาของแต่ละคน ท่ามกลางความลังเล เขาจึงหันไปมองมุมหนึ่งในเทือกเขาลั่วเฉินที่ไม่มีใครสนใจ ในใจเขามีเสียงหนึ่งส่งมาเช่นกัน ครู่หนึ่งนัยน์ตาเขาจึงเผยความมุ่งมั่น กัดฟันกรอด

“สำนักธาราทมิฬก่อกวนการร่วมมือกันของสองสำนัก ทำร้ายบุรพาจารย์น้อยของสำนักเรา สมควรทำลาย!” เมื่อกล่าวจบเขาก็ยกมือขวาขึ้นมาโบกอย่างแรงหนึ่งครั้ง

“สำนักธาราเทพเคลื่อนพล บดขยี้…สำนักธาราทมิฬ!!”

เสียงตูมตามดังสนั่นทำให้พื้นดินสั่นไหว ทุกคนของสำนักธาราเทพเวลานี้จิตสังหารพวยพุ่ง เมื่อแสงของค่ายกลเปล่งระยับ ยักษ์มากมายหลายตนก็บินทะยานออกมา ที่ใดที่ดวงอาทิตย์สีขาวบนนภากาศเคลื่อนผ่าน ฟ้าสะท้านดินสะเทือน!

แม้ว่าตอนที่หลายคนก้าวเดินออกไปจากเทือกเขาลั่วเฉินต่างก็ชะงักฝีเท้าอยู่ครู่หนึ่งอย่างอดไม่ได้ ซึ่งรวมไปถึงบุรพาจารย์รุ่นที่หนึ่งด้วย ทว่าก็เพียงแค่ครู่เดียวเท่านั้น พอหันไปมองป๋ายเสี่ยวฉุนที่อยู่ในหลุมลึกหนึ่งครั้งต่างก็ถลาออกไปอย่างเด็ดเดี่ยว ร่วมกับสำนักธาราโลหิต…ตรงเข้าไปสังหารยังเกาะอันเป็นที่ตั้งของสำนักธาราทมิฬ!

เพื่อเปิดสงครามเต็มรูปแบบที่จะสะเทือนไปทั้งโลกแห่งการบำเพ็ญเพียรตอนล่างของแม่น้ำทงเทียนสายตะวันออก…อย่างที่หลายหมื่นปีมานี้ไม่เคยมีมาก่อน!

ราวกับว่า นับแต่วินาทีนี้ ท่ามกลางการเข่นฆ่าและคาวเลือดมากมาย สำนักใหม่แห่งหนึ่งจะได้สาดประกายแสงโชติช่วง

จับตา…ประหนึ่งดั่งแสงแรกแห่งตะวัน!

เมื่อทุกคนห่างออกไปไกล เทือกเขาลั่วเฉินจึงว่างโล่งลง สำนักธาราโลหิตและสำนักธาราเทพต่างก็มีคนส่วนหนึ่งอยู่ที่นี่ต่อ รวมไปถึงบุรพาจารย์เถี่ยมู่และบุรพาจารย์ตระกูลซ่งสองคนที่ต่างก็ไม่ได้ติดตามกองทัพใหญ่ไป

สาเหตุที่พวกเขาอยู่ที่นี่ต่อ มีเพียงข้อเดียว…นั่นก็คือ ป๋ายเสี่ยวฉุน!

สำหรับทั้งสองสำนักแล้ว ป๋ายเสี่ยวฉุนนั้นสำคัญเกินไป ให้ไปอยู่ที่สำนักใดสำนักหนึ่ง อีกฝ่ายล้วนไม่วางใจ อีกทั้งการดำรงอยู่ของบุตรพันหน้า จึงทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนกลายมาเป็นจุดอ่อนจุดหนึ่งของสองสำนัก หากป๋ายเสี่ยวฉุนมีชีวิตอยู่ ทุกอย่างล้วนดีหมด แต่หากป๋ายเสี่ยวฉุนสิ้นชีพ…ความเป็นไปได้ที่จุดเชื่อมสัมพันธ์จะสูญหายก็มีมากเหลือเกิน

ส่วนโหวเสี่ยวเม่ย แน่นอนว่านางย่อมไม่จากไป สายตาของนางเล็งไปที่ซ่งจวินหว่านคล้ายใส่ใจแต่ก็เหมือนไม่สนใจอยู่นานแล้ว ด้วยลางสังหรณ์ของผู้หญิง นางรู้สึกว่าระหว่างซ่งจวินหว่านและป๋ายเสี่ยวฉุนนั้นผิดปกติเอามากๆ

ซ่งจวินหว่านก็เลือกไม่จากไปเช่นเดียวกับโหวเสี่ยวเม่ย นางมองป๋ายเสี่ยวฉุนที่สลบไสล ในใจเจ็บปวดทั้งยังแฝงไว้ด้วยความรู้สึกบางอย่างที่บอกไม่ถูก

แล้วก็เป็นเช่นนี้ วันเวลาผ่านไป เทือกเขาลั่วเฉินกลับคืนสู่ความสงบ นักพรตของสำนักธาราโลหิตและสำนักธาราเทพส่วนหนึ่งที่อยู่ต่อต่างก็อาศัยอยู่บนเทือกเขาลั่วเฉิน แบ่งออกเป็นสองค่าย

ตำแหน่งตรงกลางระหว่างพวกเขามีถ้ำแห่งหนึ่งที่สร้างขึ้นมาใหม่ ที่นี่มีทหารยามคอยเฝ้าพิทักษ์อย่างเข้มงวด ทั้งยังมีบุรพาจารย์สองคนที่จับตามองอยู่ตลอดเวลา ไม่ยอมให้เกิดอุบัติเหตุใดๆ ขึ้นแม้แต่นิดเดียว

ในถ้ำ ป๋ายเสี่ยวฉุนนอนอยู่ตรงนั้น หมดสติยังไม่ฟื้น ทุกวันโหวเสี่ยวเม่ยและซ่งจวินหว่านล้วนปรากฏตัว คอยมาอยู่เคียงข้างป๋ายเสี่ยวฉุน…โหวเสี่ยวเม่ยยิ่งมองออกถึงปัญหา ส่วนซ่งจวินหว่านก็ย่อมรู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างป๋ายเสี่ยวฉุนและโหวเสี่ยวเม่ย

ดังนั้นนักพรตของสองสำนักจึงสัมผัสได้ถึงไอพยาบาทระหว่างหญิงสาวทั้งสองคนเป็นประจำ และก็มักได้ยินเสียงทะเลาะดุเดือดดังลอยมาเป็นระยะด้วย…ส่วนลึกในจิตใจของนักพรตทั้งสองสำนัก ต่างก็รู้สึกเห็นใจป๋ายเสี่ยวฉุนที่สลบไสลหายตัวไปไม่น้อย

จนกระทั่งเวลาผ่านพ้นไปหนึ่งเดือน ลมหายใจของป๋ายเสี่ยวฉุนเริ่มสม่ำเสมอมากขึ้น บาดแผลในร่างกายของเขาเมื่ออยู่ภายใต้การโคจรของวิชาอมตะมิวางวายจึงค่อยๆ ฟื้นตัวขึ้นมาช้าๆ บวกกับยาวิเศษที่สำนักธาราโลหิตและสำนักธาราเทพต่างก็ส่งมาให้รักษาตัวอย่างไม่มีเสียดาย ทำให้อาการบาดเจ็บของเขาฟื้นตัวได้รวดเร็วอย่างถึงที่สุด

เที่ยงของวันนี้ ตบะในร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนโคจรอยู่พักหนึ่ง จิตสำนึกของเขาจึงกลับเข้ามาในร่าง ดวงตาทั้งคู่ค่อยๆ เปิดขึ้น หลังจากสัมผัสได้ว่าตัวเองยังมีชีวิตอยู่ ป๋ายเสี่ยวฉุนจึงตื่นเต้นขึ้นมาทันควัน

เขาย้อนนึกถึงภาพเหตุการณ์ก่อนที่ตัวเองจะสลบไป ในใจยังคงหวาดผวาไม่คลาย สุดท้ายหากไม่เป็นเพราะเขาหยิบเอาหม้อกระดองเต่าออกมาป้องกันตัวเป็นครั้งสุดท้าย เกรงว่าร่างและจิตของเขาคงดับสลายกลายเป็นเถ้าธุลีไปนานแล้ว

“ฮั่นเหยียนผู้นั้นเหี้ยมโหดเกินไปแล้ว บัดซบ ความแค้นนี้รอข้าแข็งแกร่งกว่าเขาเมื่อไหร่จะต้องเอาคืนให้ได้!!” ป๋ายเสี่ยวฉุนกัดฟันอยู่ในใจ ขณะที่กำลังจะลุกขึ้นพลันรู้สึกว่าบรรยากาศทะแม่งๆ พอผินหน้าไปมองจึงเห็นว่าห่างออกไปไม่ไกล โหวเสี่ยวเม่ยเอามือทั้งสองข้างเท้าเอว ท่าทางราวกับพริกขี้หนูจอมแสบสัน กำลังส่งสายตาขุ่นเคืองให้กับซ่งจวินหว่านที่อยู่ในท่วงท่าเกียจคร้าน

อาจเป็นเพราะคนทั้งสองตั้งใจมากเกินไป จึงไม่ทันสังเกตเห็นว่าป๋ายเสี่ยวฉุนลืมตาขึ้นมาแล้ว

ป๋ายเสี่ยวฉุนตะลึง รู้สึกว่าภาพนี้พิลึกพิลั่นเกินไป จึงรีบหลับตาลงแล้วลืมขึ้นใหม่อีกครั้ง พอพบว่าตัวเองไม่ได้ตาฝาด ใจของเขาก็หล่นตุ้บ พรั่นพรึงขึ้นมาทันที และเวลานี้เอง เขาก็ได้ยินโหวเสี่ยวเม่ยเอ่ยปาก

“ป้าซ่ง เจ้าจะมาทำไมอีก เจ้าถึงวัยที่ต้องพักผ่อนเฉยๆ เพื่อดูแลสุขภาพตัวเองแล้ว แขนขาก็ไม่มีเรี่ยวมีแรง กลับไปพักผ่อนเถอะ! พี่เสี่ยวฉุนมอบให้ข้าเป็นคนดูแลคนเดียวก็พอ” โหวเสี่ยวเม่ยถลึงตา

“เด็กเล็กไม่รู้ประสา ข้ากับท่านลุงเสี่ยวฉุนของเจ้ามีความสัมพันธ์กันอย่างไรเจ้าก็ยังไม่รู้เลย หากไม่เป็นเพราะเห็นแก่ฐานะหลานสาวของเย่จั้ง ข้าจะต้องตบเจ้าจนตายด้วยฝ่ามือเดียวเป็นแน่” ซ่งจวินหว่านขึงตานางหงส์ของนางเข้าใส่ พูดอย่างถือดี อำนาจบารมีในร่างเข้มข้นอย่างยิ่ง เวลานี้เพียงแค่กล่าวอย่างสบายๆ ประโยคเดียวก็ข่มโหวเสี่ยวเม่ยด้านสถานะได้อย่างอยู่หมัด

“เจ้าน่ะสิที่เป็นหลานสาวของเขา ทั้งตระกูลเจ้านั่นแหละที่เป็นหลานสาวของเขา!

ข้ากับพี่เสี่ยวฉุนคือคู่สร้างคู่สมที่สวรรค์สรรค์สร้างมา รู้ใจกันโดยที่ไม่ต้องทำอะไรมาก นับแต่ที่เขาเข้าสำนักมา พวกเราก็มีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน ข้าได้กลายเป็นลูกศิษย์ฝ่ายนอกก็เพราะพี่เสี่ยวฉุนเป็นคนช่วยเหลือ” โหวเสี่ยวเม่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงขึ้นจมูก

พวกนางสองคนไม่ได้ทะเลาะกันมาเป็นครั้งแรกแล้ว ตลอดหนึ่งเดือนมานี้ก็แทบจะเป็นเช่นนี้ทุกครั้งที่เจอหน้ากัน ด้วยนิสัยของซ่งจวินหว่าน มีหลายครั้งที่เกือบจะทนไม่ไหวลงมือกำจัดโหวเสี่ยวเม่ย

แต่พอนึกถึงแผนการรวมตัวกันของสองสำนัก พอนึกถึงป๋ายเสี่ยวฉุน นางจึงอดทนอดกลั้นเอาไว้

ป๋ายเสี่ยวฉุนเลียริมฝีปาก รู้สึกว่าระหว่างหญิงสาวทั้งสองมากไปด้วยไอสังหาร เขาจึงรีบหลังตาลง คิดจะแกล้งสลบต่อ ทว่าทันใดนั้นเขาพลันรู้สึกว่ารอบด้านกลับเงียบสงัดผิดปกติ

พอเงียบลงแบบนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยิ่งประหม่า เขาตั้งใจฟังเสียงเคลื่อนไหว แล้วก็ต้องหนังหัวชาดิกทันควัน เพราะเขาสัมผัสได้ว่าเบื้องหน้าตัวเอง นอกจากตัวเขาแล้ว ยังมีเสียงลมหายใจสองเสียงที่อยู่ใกล้กับเขามาก

ผ่านไปครู่หนึ่ง เมื่อลมหายใจทั้งสองนี้เริ่มถี่กระชั้นขึ้นมาน้อยๆ หน้าผากของป๋ายเสี่ยวฉุนก็มีเหงื่อผุดซึม รีบแกล้งทำท่าเหมือนคนเพิ่งตื่น ค่อยๆ เปิดเปลือกตาขึ้น มองไปรอบด้านความมึนงง ขณะเดียวกันก็มองเห็นดวงหน้างดงามดุจบุปผาสองดวงที่อยู่ด้านหน้าตัวเอง

ใบหน้าหนึ่งเป็นผู้ใหญ่ ใบหน้าหนึ่งเยาว์วัย ใบหน้าหนึ่งงามเพริศพริ้ง ใบหน้าหนึ่งบริสุทธิ์เดียงสา

“อรุณสวัสดิ์…” ป๋ายเสี่ยวฉุนมองหญิงสาวสองคนที่อยู่ด้านหน้า หลังจากกะพริบตาปริบๆ แล้วจึงรีบพูดทักทาย

อยู่ๆ ซ่งจวินหว่านก็แย้มยิ้ม นัยน์ตาเผยความอ่อนโยน มือขวายกขึ้นวางลงบนหน้าผากของป๋ายเสี่ยวฉุน ดวงตาทั้งคู่เปล่งประกายดุจสายน้ำ เอ่ยปลอบใจเสียงเบา

“ไม่ต้องกลัว ก็แค่แสร้งทำเป็นหมดสติไม่ใช่หรือ มา บอกพี่หญิงสิ แกล้งทำแบบนี้มากี่วันแล้ว?”

“ข้า…” ป๋ายเสี่ยวฉุนกลืนน้ำลาย ยังไม่ทันรอให้เขาเอ่ยปาก โหวเสี่ยวเม่ยที่อยู่ด้านข้างก็อารมณ์พุ่งปรี๊ดขึ้นมาทันที ปัดมือของซ่งจวินหว่านออก มาหยุดยืนอยู่ด้านหน้าป๋ายเสี่ยวฉุน มองซ่งจวินหว่านด้วยความโมโห

“เจ้าคิดจะทำอะไร!! พี่เสี่ยวฉุนใสซื่อจะตายไป เขาจะแกล้งทำเป็นสลบได้อย่างไร!”

พูดจบ โหวเสี่ยวเม่ยก็ลังเลเล็กน้อย ผินหน้าไปมองป๋ายเสี่ยวฉุนแล้วพลันกล่าวขึ้นเบาๆ

“พี่เสี่ยวฉุนท่านรู้จักทำตัวร้ายกาจซะแล้ว แกล้งสลบ ไม่ดีเลยนะ”

“ข้า…” เหงื่อบนหน้าผากของป๋ายเสี่ยวฉุนยิ่งมีมาก เขารู้สึกว่าเมื่อตัวเองมาอยู่ระหว่างผู้หญิงสองคนนี้ คล้ายมีเข็มแหลมทิ่มอยู่กลางหลัง นั่งไม่เป็นสุข

“เย่จั้ง ข้าต้องการพูดกับเจ้าเป็นการส่วนตัว เจ้ายังติดค้างคำอธิบายข้า” ซ่งจวินหว่านกลอกตาหนึ่งครั้ง พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

“พี่เสี่ยวฉุน ข้าก็มีเรื่องอยากคุยกับท่านเป็นการส่วนตัวเหมือนกัน!” โหวเสี่ยวเม่ยไม่ยอมแพ้ พูดด้วยประโยคเดียวกัน

ป๋ายเสี่ยวฉุนงุงงนอย่างถึงที่สุด หลังจากมองเห็นว่าสายตาขุ่นเคืองของหญิงสาวทั้งสองล้วนมองมาที่ตัวเองอย่างต้องการให้ตนเลือก ป๋ายเสี่ยวฉุนก็มองเซ่อไปทันที ตอนนี้จึงสูดลมหายใจเข้าลึก สีหน้าพลันเปลี่ยนมาเป็นเคร่งขรึม

“พอได้แล้ว!” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มหนัก น้ำเสียงและสีหน้าแบบนี้ โหวเสี่ยวเม่ยไม่เคยเห็นจากตัวของป๋ายเสี่ยวฉุนมาก่อน นางจึงตะลึงไปทันที แต่กลับรู้สึกว่า พี่เสี่ยวฉุนที่เป็นแบบนี้คล้ายจะดูน่าดึงดูดกว่าก่อนหน้านี้เสียอีก

ซ่งจวินหว่านที่อยู่ข้างกันก็เผยความสดใสออกมาทางดวงตา นี่ต่างหากถึงจะเป็นเย่จั้งในความทรงจำของนาง

“เล่าเรื่องภายหลังของสองสำนักหลังจากที่ข้าสลบไปให้ฟังหน่อย และตอนนี้ข้าอยู่ที่ไหน? ยังอยู่ที่เทือกเขาลั่วเฉินหรือ?” ป๋ายเสี่ยวฉุนพอเห็นว่ามุกนี้ใช้ได้ผลจึงรีบวางท่าเป็นการเป็นงาน ถามด้วยน้ำเสียงทุ้มหนัก

ไม่นานเขาก็ได้รู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลังจากตัวเองสลบไปอย่างชัดเจน รู้ว่าหากตัวเองกลับไปที่เขาเซียงอวิ๋น สำนักธาราโลหิตย่อมไม่เห็นด้วย และหากกลับไปที่เขาจงเฟิง สำนักธาราเทพก็ไม่มีทางยอม

ดังนั้นจึงทำได้เพียงอยู่ที่เทือกเขาลั่วเฉินต่อ…อีกทั้งหลังจากที่ได้รู้ว่าสองสำนักไม่เพียงแต่จัดหานักพรตมาเฝ้าพิทักษ์ให้เป็นจำนวนมาก แม้แต่บุรพาจารย์ตระกูลซ่งและเถี่ยมู่เจินเหรินเองก็ยังอยู่ที่นี่ด้วย ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ซาบซึ้งใจขึ้นมาทันที

เขายังได้ยินซ่งจวินหว่านเล่าถึงสงครามในแนวหน้าด้วยว่าตอนนี้กองทัพใหญ่ของสำนักธาราโลหิตและสำนักธาราเทพกำลังบุกไปที่สำนักธาราทมิฬ เมื่อสองสำนักรวมพลังกัน สำนักธาราทมิฬไม่ใช่คู่ต่อสู้ จึงสูญเสียพื้นที่ไปแล้วเกินครึ่ง พ่ายแพ้ถอยร่นไม่เป็นท่า

เมื่อได้ยินมาถึงตรงนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ทอดถอนใจ เขารู้สึกว่าสถานะของตัวเองสำคัญอย่างมาก ต่อให้ตนอยากไปที่สนามรบแค่ไหน บุรพาจารย์ของสำนักก็คงไม่ยินยอม

“ต้องโทษที่ข้ายอดเยี่ยมเกินไป…เฮ้อ”

ป๋ายเสี่ยวฉุนกลุ้มใจทั้งที่ถูกใจสุดชีวิต ครุ่นคิดว่าตัวเองไม่ต้องขอไปสนามรบดีกว่า อย่าสร้างความกดดันให้พวกบุรพาจารย์เลย เดี๋ยวหากพวกบุรพาจารย์ไม่รู้ว่าเป็นบ้าอะไรอยู่ๆ รับปากขึ้นมา…แบบนั้นจะซวยเอา

“ช่างเถอะๆ เพื่อให้พวกบุรพาจารย์มีเหตุผลที่จะไม่ให้ข้าไปสนามรบ ข้า…อยู่ๆ ข้าก็รู้สึกว่าตัวเองปวดท้องมาก…ดูท่าแล้วบาดแผลน่าจะยังไม่หายดี งั้นก็…รักษาบาดแผลต่อไปแล้วกัน” ป๋ายเสี่ยวฉุนคิดมาถึงตรงนี้ก็รู้สึกว่าตัวเองช่างเป็นคนเอาใจใส่คนอื่นยิ่งนัก ดังนั้นจึงรีบเอามือกุมท้อง แสร้งทำเป็นป่วยต่อไป

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version