บทที่ 909 ยาแยกทาง
เช้าตรู่วันที่สามหลังจากบุรพาจารย์ครึ่งเทพจากไป เสียงกัมปนาทดังสะเทือนฟ้าดินก็ระเบิดออกมาจากสายรุ้งสีครามกึกก้องไปสี่ทิศ ทำเอาลูกศิษย์ทุกคนในสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราตัวสั่นสะเทือน หน้าเปลี่ยนสีกันไปหมด
“เสียงอะไร!”
“ทำเอาข้าตกใจแทบตาย นี่มันเรื่องอะไรกัน!”
“สมควรตายนัก ใครวะ ข้ากำลังฝึกตนอยู่ดีๆ มาถูกขัดจังหวะอย่างนี้เกือบจะธาตุไฟเข้าแทรกแล้วไหม!!” เสียงคำรามที่เต็มไปด้วยความเดือดดาลพลันดังกระหึ่มออกมาจากในสำนักอันตมรรคาฟ้าดารา ทั้งยังมีเงาร่างหลายสิบเงาที่พกพาความโกรธเกรี้ยวพุ่งถลาออกมาด้วยท่าทางเอาเรื่อง
แต่เมื่อพวกเขาเห็นว่าที่มาของเสียงนั้นคือสายรุ้งสีคราม แต่ละคนก็มองตาค้างกันไปหมด ได้แต่ก้มหน้าก้มตาแล้วรีบร้อนจากไป…
เสียงนี้คือคลื่นเสียงดังสนั่นหวั่นไหวที่เกิดจากการระเบิดของเตาหลอมสิบเตา ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็ตกใจจนสะดุ้งโหยง นั่นเพราะเสียงนี้ดังมากเกินไป เขารีบแผ่อำนาจจิตออกไปโดยอัตโนมัติ ครุ่นคิดว่าหากมีคนมาเอาเรื่อง ตนควรจะอธิบายเช่นไรถึงจะดี
ทว่ารออยู่นาน…ตลอดทั้งสำนักอันตมรรคาฟ้าดารากลับมีเพียงแค่เสียงโวยวายพักหนึ่งแล้วก็เงียบสงัดลงดังเดิม…ไม่มีใครมาหาตน ต่อให้มีคนบินออกมา ทว่าพอเห็นว่าเป็นสายรุ้งสีครามก็รีบหันหัวกลับทันที
ป๋ายเสี่ยวฉุนที่ตระหนักได้ถึงข้อนี้จึงเบาใจโดยพลัน
“ฮ่าๆ ข้านี่ระแวงเกินไปจริงๆ หลอกตัวเองให้ตกใจเสียเอง ลืมไปซะได้ว่าตอนนี้ในสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราไม่มีใครกล้ามาเจ้ากี้เจ้าการกับข้าอีกแล้ว!” ป๋ายเสี่ยวฉุนห้าวเหิม ครั้นจึงหลอมยาต่อไปด้วยความคึกคัก
หลายวันหลังจากนั้นก็มีเสียงสะเทือนเลือนลั่นปฐพีดังกึกก้องอยู่ในสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราอีกครั้ง สำหรับลูกศิษย์สำนักอันตมรรคาฟ้าดาราแล้ว หากเว้นระยะหลายวันจะดังสักทีก็ยังพอทำเนา
แต่นี่ผ่านไปได้ไม่นานเท่าไหร่ เสียงกัมปนาทกลับดังขึ้นมาแทบจะทุกวัน อีกทั้งที่น่าตกใจที่สุดก็คือวันหนึ่งมีเสียงดังเกิดขึ้นถึงเจ็ดแปดครั้ง ไม่ว่าครั้งไหนก็ล้วนดังสนั่นหวั่นไหวจนลูกศิษย์ทุกคนที่อยู่บนสายรุ้งแทบบ้า
และจะไม่ให้พวกเขาคลุ้มคลั่งก็ไม่ได้ ปกติในสำนักอันตมรรคาฟ้าดารานั้นเงียบสงบประหนึ่งดินแดนแห่งเซียน ทว่าหลายวันมานี้เสียงกัมปนาทนั้นดังสะเทือนจนทุกคนมิอาจฝึกตน มิอาจทำใจให้สงบลงได้
หากเปลี่ยนมาเป็นคนอื่นที่ทำเช่นนี้ พวกเขาคงบุกไปฆ่านานแล้ว แต่นี่…เสียงนี้กลับดังมาจากสายรุ้งสีคราม และพวกเขาก็สืบข่าวจนรู้มาว่าเสียงนี้เกิดจากการหลอมยาของบุรพาจารย์ป๋าย
นี่จึงทำให้ทุกคนไม่กล้าพูดอะไรแม้แต่ครึ่งคำ ได้แต่อัดอั้นอยู่ในใจ ถอนหายใจเฮือกๆ ติดต่อกันไม่หยุด
หากเป็นแค่เสียงก็ยังพอว่า เพราะเมื่อเริ่มชินเข้าหน่อยก็พอจะฝืนใจยอมรับได้ แต่สองวันต่อมา ไม่เพียงแต่มีเสียงฟ้าผ่าดังก้องกังวาน ยังมีควันอะไรบางอย่างลอยอวลออกมาด้วย แม้ควันพวกนั้นจะกินอาณาบริเวณไม่กว้าง แต่นักพรตทุกคนที่สูดเอาควันนี้เข้าไปต่างก็น้ำตาไหลพรากอย่างมิอาจห้ามได้ นี่จึงทำให้พวกเขาคลุ้มคลั่งกันอีกครั้ง
“อ๊ากๆๆ บุรพาจารย์ป๋ายหลอมยาอะไรอยู่กันแน่เนี่ย!!”
“ไม่ไหวแล้ว ข้าจะทนไม่ไหวแล้ว!!”
ไม่เพียงพวกลูกศิษย์เท่านั้นที่เกินจะทน แม้แต่หลี่เสี่ยนเต้าและป๋ายเจิ้นเทียนที่อยู่บนสายรุ้งสีครามเองก็ยังถูกรบกวนไปด้วย ทว่าหลังจากชั่งใจอยู่ชั่วครู่ สุดท้ายก็ไม่กล้าเข้าไปยุ่ง
พอพวกเขาไม่ยุ่ง พวกลูกศิษย์ที่อยู่ด้านล่างก็ยิ่งอับจนหนทางกันเข้าไปใหญ่ ถึงท้ายที่สุดแต่ละคนก็ได้แต่กัดฟัน สายตาที่มองไปยังสายรุ้งสีครามฉายแววประณาม
ทั้งหมดนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่รับรู้ด้วยแม้แต่น้อย เขาจมจ่อมอยู่กับการหลอมยาอย่างสมบูรณ์แบบไปแล้ว สีหน้าของเขาเหนื่อยล้าแต่กลับมากด้วยความตื่นเต้นฮึกเหิม ช่วงเวลาที่ผ่านมานี้เขาทดลองหลอมตำรับยาพลังชีวิตแทบจะทุกตำรับที่ตัวเองรู้มา เมื่อลงมือหลอมและทำความคุ้นเคยอย่างต่อเนื่อง พรสวรรค์ในการหลอมยาของเขาจึงเพิ่มพูนสูงขึ้นอีกเยอะมาก
ยาพลังชีวิตหลากหลายรูปแบบถูกเขาหลอมออกมาจำนวนนับไม่ถ้วน ตอนนี้เขาไม่พอใจเพียงแค่หลอมยาพลังชีวิตอย่างเดียวแล้วเท่านั้น ป๋ายเสี่ยวฉุนที่ตกอยู่ในภวังค์ของการหลอมยาอย่างโงหัวไม่ขึ้นยิ่งนานวันก็ยิ่งมั่นใจว่าวิถีแห่งโอสถของตนพัฒนาเหนือกว่าในอดีตมาไกลโขแล้ว
“ข้าจะหลอมยาวิเศษเม็ดหนึ่ง…ที่พิชิตยากระสันซ่านได้โดยเฉพาะ!”
ป๋ายเสี่ยวฉุนเชิดปลายคางอย่างเย่อหยิ่ง ในสมองมีความคิดนี้ปรากฏขึ้นมาก็เพราะเขารู้สึกว่าตนต้องมาเสียท่าให้ยากระสันซ่านถึงสองครั้ง แม้ว่าในใจลึกๆ จะไม่ได้ปฏิเสธจริงจัง ทั้งยังถึงขั้นชื่นชอบไม่น้อยด้วยซ้ำ แต่กระนั้นเขาก็ยังรู้สึกขายหน้ามากอยู่ดี
“หึหึ ยาที่ข้าหลอมเองจะให้คนอื่นเอามาใช้กับข้าได้อย่างไร ไม่มีทางเด็ดขาด!”
“ยาที่จะถูกข้าสร้างสรรค์ขึ้นมาเม็ดนี้ให้ชื่อว่า…ยาน้ำแข็งไร้ราคี!” ป๋ายเสี่ยวฉุนยิ่งคิดก็ยิ่งลำพองใจ ทั้งยังรู้สึกว่าชื่อนี้ที่ตนตั้งช่างยอดเยี่ยมเป็นเอกในเลิศหล้า
“ช่างเป็นชื่อที่ไพเราะนัก” ขณะที่เอ่ยชื่นชม ดวงตาของป๋ายเสี่ยวฉุนก็เต็มไปด้วยภาคภูมิใจในตัวเอง ก่อนจะเริ่มลงมือหลอมยา!
“คิดจะเป็นน้ำแข็งที่บริสุทธิ์ไร้ราคีก็ต้องใส่ผลตัดรักลงไป! มีเพียงสิ่งนี้เท่านั้นถึงจะทำให้หัวใจต้านทานความร้อนรุ่มแปลกประหลาดขุมนั้นได้” ป๋ายเสี่ยวฉุนขบคิดพร้อมๆ กับที่ในสมองมีตำรับยาหนึ่งปรากฏขึ้นมา ครั้นจึงรีบลงมือทดลองเปิดเตาหลอมยาทีเดียวสามสิบเตา
ท่ามกลางการหลอมยานี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนลืมกินลืมนอน คอยตรวจสอบอย่างต่อเนื่อง และในที่สุดเมื่อเวลาผ่านไปได้สามวัน ยาในเตาหลอมทั้งสามสิบเตาก็ค่อยๆ ก่อตัวเป็นรูปเป็นร่าง ทว่าชั่วขณะที่กำลังจะก่อตัวสำเร็จนั้นเอง จู่ๆ เตาหนึ่งในนั้นก็มีลางว่าจะปริแตก
ป๋ายเสี่ยวฉุนรีบรุดหน้าขึ้นไปปิดผนึก แต่เวลานี้เอง เตาที่สอง เตาที่สาม เตาที่สี่กลับทยอยกันเกิดความไม่มั่นคง ถึงท้ายที่สุดป๋ายเสี่ยวฉุนที่ห่วงหน้าพะวงหลังก็ต้องร้องอุทานด้วยความตกใจพร้อมๆ กับเสียงครืนๆ ที่ดังออกมาจากเตาหลอมยาสามสิบเตาที่ระเบิดไปแล้วไม่น้อย!
“แย่แล้ว!” ป๋ายเสี่ยวฉุนรีบปิดผนึก ทั้งยังแผ่อำนาจจิตออกไปหมายจะคลี่คลายวิกฤตให้เหลือน้อยที่สุด เพราะตลอดหลายวันที่ผ่านมาเขาก็ล้วนทำเช่นนี้ แม้จะไม่มีใครมาจับตามอง แต่ป๋ายเสี่ยวฉุนก็รู้สึกว่าตนเป็นคนจิตใจดีงาม ทั้งยังเป็นถึงบุรพาจารย์ แม้จะไม่มีใครมาคอยควบคุมตน แต่ตนก็ควรจะควบคุมดูแลตัวเองให้ดี
เพียงแต่ว่าการระเบิดของเตาหลอมยาครั้งนี้ทำให้มีควันดำที่เข้มข้นอย่างถึงที่สุดระลอกหนึ่งพวยพุ่งขึ้นมา และพริบตาเดียวควันนี้ก็แผ่กระจายออกไป ซึ่งที่น่าประหลาดก็คือแม้แต่อำนาจจิตของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยังไม่สามารถคลี่คลายมันได้ ยังดีที่ถึงแม้ควันจะเข้มข้น ทว่าปริมาณกลับไม่มาก ยามนี้เมื่อลอยแผ่ออกไปจึงปกคลุมไปแค่ครึ่งหนึ่งของสายรุ้งสีครามเท่านั้น
เพียงแต่ว่าจุดที่ควันนี้ปกคลุมไปดันเป็นจุดที่ตั้งของกระดานอันตมรรคาฟ้าดารา…แถมที่นั่นยังมีลูกศิษย์อยู่ไม่น้อย…
พริบตานั้นลูกศิษย์ทุกคนที่อยู่รอบกระดานอันตมรรคาฟ้าดาราซึ่งยังไม่ทันตั้งตัวก็ถูกควันนั้นเคลื่อนมากลบทับโดยตรง
ป๋ายเสี่ยวฉุนร้อนใจขึ้นมาโดยพลัน เขารีบตามไปตรวจสอบ แต่ไม่นานควันพวกนั้นก็สลายหายไปเอง เผยให้เห็นลูกศิษย์ของสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราที่อยู่ด้านใน คนเหล่านี้มีสีหน้าประหลาดใจ แต่กลับไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ ภาพนี้ทำเอาป๋ายเสี่ยวฉุนอึ้งไปครู่ ก่อนจะคลายใจลงได้
“ไม่เป็นอะไรเลยหรือนี่? ไม่เป็นอะไรกันก็ดีแล้ว” ป๋ายเสี่ยวฉุนลูบคลำปลายคางแล้วตรวจสอบดูอีกพักใหญ่ พอแน่ใจว่าไม่มีเรื่องแล้วจริงๆ ถึงได้เริ่มใคร่ครวญหาสาเหตุที่ทำให้ตนล้มเหลวก่อนหน้านี้ ผ่านไปพักใหญ่ถึงได้หลอมยาใหม่อีกครั้ง คราวนี้เขาเปลี่ยนวิธี หลอมทีเดียวร้อยเตา
แต่ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยังเป็นห่วงลูกศิษย์พวกนั้น ดังนั้นตอนที่หลอมยาครั้งนี้เขาจึงกวาดอำนาจจิตไปจับตามองคนเหล่านั้นต่อ หากเห็นท่าไม่ดี เขาก็จะได้รีบแก้ไขทันที
พริบตาเดียวเวลาก็ผ่านไปแล้วสามวัน เมื่อเห็นว่ายาชุดที่สองของตนกำลังจะสำเร็จ ทั้งยังมองไม่เห็นความผิดปกติของพวกลูกศิษย์ที่ถูกควันดำปกคลุม ป๋ายเสี่ยวฉุนจึงวางใจได้อย่างแท้จริง
ทว่าขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังหลอมยาต่อนั้นเอง ลูกศิษย์ที่ก่อนหน้านี้อยู่รอบกระดานอันตมรรคาฟ้าดาราซึ่งสามวันที่ผ่านมาใช้ชีวิตตามปกติสุข ในคืนวันที่สามกลับมี…เรื่องประหลาดบางอย่างเกิดขึ้นกับพวกเขา
สำนักอันตมรรคาฟ้าดารากว้างใหญ่เกินไป แถมลูกศิษย์ก็มีมากมาย หลายคนมีคู่บำเพ็ญเพียร บางคนก็มีความรู้สึกอันดีให้แก่กันและกัน
ทว่าตอนนี้พวกลูกศิษย์ที่กลับมาจากกระดานอันตมรรคาฟ้าดารา หากเป็นคนที่ไม่มีคู่ก็ดีหน่อย เพียงแค่ในใจเกิดความรู้สึกรังเกียจความสัมพันธ์ชายหญิงโดยสัญชาตญาณเท่านั้น
ทว่าพวกชายหญิงที่เป็นคู่รักกัน หลังจากกลับมาถึงถ้ำของตน ในคืนวันที่สามนี้กลับพากันไปหาคู่ของตัวเองแล้วเอ่ยออกไปตรงๆ
“ศิษย์น้องหญิง พวกเราไม่เหมาะสมกัน นับแต่วันนี้ไป เจ้าคือเจ้า ข้าคือข้า พวกเราเลิกกันเถอะ!”
“ศิษย์พี่ เหตุใดคนที่หน้าตาดีมีมากมายขนาดนั้น แต่คนที่มีจิตวิญญาณน่าสนใจกลับน้อยนิดยิ่งนัก ต่อไปท่านไม่ต้องมาหาข้าอีกแล้ว!”
“ขอโทษด้วย พวกเราไม่เหมาะสมกัน ข้าให้ความสำคัญแค่อนาคตที่ยาวไกลเท่านั้น เรื่องรักใคร่ชายหญิงพวกนี้ นับจากนี้ไปไม่ต้องพูดถึงอีก!”
ภาพที่คู่รักมากมายเลิกรากันทำเอาคนไม่น้อยตะลึงงัน ทั้งยังรู้สึกประหลาดใจอย่างยิ่ง และป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็สังเกตเห็นเหมือนกัน ตอนแรกๆ เขายังไม่ค่อยรู้สึกอะไร แต่เมื่อพบว่าคนส่วนใหญ่ล้วนเป็นเช่นนี้ เขาก็เบิกตากว้าง ใจตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม
“ผิดปกติ!!”
ป๋ายเสี่ยวฉุนเริ่มกระวนกระวายทันที แอบรู้สึกว่าท่าไม่ดีแล้ว เขารู้ว่าในยาน้ำแข็งไร้ราคีที่ตนหลอมมีตัวยาหลักคือผลไร้รัก และยังมีสมุนไพรบางชนิดช่วยเสริม ตามที่เขาวางแผนเอาไว้คือจะหลอมยาเม็ดหนึ่งที่สามารถต้านทานยากระสันซ่านได้ ซึ่งยากระสันซ่านนั้นออกฤทธิ์จากในร่างของคนก่อนแล้วค่อยทำให้สมองเลอะเลือน
ดังนั้นยาน้ำแข็งไร้ราคีที่เขาจะหลอมออกมาจึงเริ่มต้นที่ความคิดในสมอง ใช้ความเย็นบริสุทธิ์เหมือนน้ำแข็งมาชะล้างร่างกายและจิตใจ แต่กลับนึกไม่ถึงว่าผลลัพธ์ที่ออกมาจะเป็นเช่นนี้
นี่จึงทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนประหวั่นอยู่ในใจ
“ข้าจะหลอมยาน้ำแข็งไร้ราคี ไม่ใช่ยาแยกทางเสียหน่อย…ไม่ได้ ข้าต้องรีบแก้ไขเรื่องนี้โดยด่วน!” ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจเข้าลึกเพื่อตั้งสติ เขารู้สึกว่าเรื่องนี้แก้ไขได้ง่าย เพราะอย่างไรซะคนที่ถูกควันปกคลุมไปเมื่อสามวันก่อนก็ไม่ได้มีมากนัก
ทว่าหลังจากที่ป๋ายเสี่ยวฉุนตัดสินใจได้นั้นเอง จู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงเปรี๊ยะๆ ดังติดต่อกัน หน้าของเขาพลันเผือดสี เงยหน้าขึ้นมองเตาหลอมยาร้อยใบที่อยู่รอบกายซึ่งกำลังอยู่ในช่วงเวลาสำคัญ ทว่าเวลานี้กลับมีหลายสิบเตาที่เกิดรอยปริร้าว
“ไม่…” ป๋ายเสี่ยวฉุนหวีดร้องเสียงแหลม ชาไปหนังศีรษะ หมายจะยับยั้ง แต่ทว่า…
ตูมๆๆ!