Skip to content

A Will Eternal 908

บทที่ 908 ครึ่งเทพไม่อยู่บ้าน?

ในสำนักอันตมรรคาฟ้าดารามีทรัพยากรที่เปี่ยมล้นเพียงพอ ทำให้การฝึกตนของป๋ายเสี่ยวฉุนราบรื่นอย่างถึงที่สุด และเมื่อตำแหน่งของเขามั่นคงขึ้น ในเวลาครึ่งปีที่เขาปิดด่านนี้ สำนักสยบธารเองก็เป็นผู้ควบคุมรวบรวมโลกแห่งการบำเพ็ญตนของแม่น้ำตอนกลางให้เป็นหนึ่งเดียวกันได้แล้ว

แต่กระนั้นสำนักสยบธารก็รู้หนักรู้เบา ดังนั้นสำนักธารดารา สำนักธารอันตและสำนักธารมรรคาจึงไม่ถูกดับทำลายทิ้ง แต่ยังถูกเก็บไว้ ทว่าในความเป็นจริงสามสำนักนี้ได้ถูกกำราบจนมิอาจเงยหัวขึ้นมาได้อีกแล้ว ถึงขั้นที่ว่านอกจากทุกปีจะต้องส่งของบรรณาการขึ้นมาให้กับสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราแล้ว ยังจะต้องเตรียมส่วนหนึ่งไว้ให้สำนักสยบธารโดยเฉพาะด้วย

สำหรับเรื่องนี้ แม้ในใจของเฉินเห้อเทียนสามคนจะอัดอั้น แต่พวกเขาแต่ละคนล้วนมีชีวิตอยู่มาอย่างยาวนาน กลอุบายจึงลึกล้ำ รู้ดีว่าขอแค่หลีกเลี่ยงมรสุมไปได้ วันหน้าต้องมีช่วงเวลาที่ดวงอาทิตย์จะส่องแสงอีกครั้ง อีกทั้งจากการวิเคราะห์ของพวกเขา จะอย่างไรเสียป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยังหนุ่ม เกรงว่าคงยากที่จะอยู่ในสำนักยาวนานตลอดไป

ดังนั้นตั้งแต่ต้นป๋ายเจิ้นเทียนจึงปิดด่านไม่ยอมออกมา หลี่เสี่ยนเต้ารู้สึกว่าความสัมพันธ์ระหว่างตนกับป๋ายเสี่ยวฉุนคลายลงไม่น้อยจึงไม่ปิดด่านอีกต่อไป ทว่าเฉินเห้อเทียนที่จนใจจำต้องถือโอกาสออกไปผ่อนคลายอารมณ์ข้างนอก ไม่อยู่สำนักมันเสียเลย

สามารถทำให้คนทั้งสามเป็นเช่นนี้ได้เห็นได้ชัดว่าศึกที่สำนักสยบธาร

ป๋ายเสี่ยวฉุนสร้างชื่อเสียงและความน่าเกรงขามระบือไกลอย่างแท้จริง ขณะเดียวกันสิ่งที่เฉินเห้อเทียนวิเคราะห์ไว้เกี่ยวกับป๋ายเสี่ยวฉุนก็ไม่ผิดไปแม้แต่น้อย

ในช่วงเวลาที่ป๋ายเสี่ยวฉุนปิดด่านนี้ ตอนแรกๆ เขาก็ยังคึกคักกระปรี้กระเปร่าดีเพราะมีทรัพยากรให้เผาผลาญแทบจะเรียกได้ว่าไม่มีวันหมด

เพียงแต่ว่าพอนานวันเข้า เขาก็เริ่มอดรนทนไม่ไหวอีกต่อไป เขามักจะออกจากด่านมาเดินเตร่อยู่ในสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราเป็นประจำ เพียงแต่ว่าฐานะและตัวตนของเขาสูงศักดิ์เกินไป ผ่านที่ใดก็ล้วนได้รับการเคารพกราบไหว้

แม้ว่าเขาจะดื่มด่ำไปกับการถูกผู้คนคารวะกราบกราน แต่พอได้รับนานเข้าก็เริ่มเอียนแล้วเหมือนกัน

“น่าเบื่อจัง สำนักอันตมรรคาฟ้าดารานี่ไม่สนุกเอาซะเลย…ตลอดทั้งสำนักเต็มไปด้วยความเคร่งขรึมเก่าแก่…แดนทุรกันดารดีกว่าอีก” ป๋ายเสี่ยวฉุนทอดถอนใจ เพราะเขารู้สึกว่าตั้งแต่กลับมาก็มัวแต่ยุ่งวุ่นวาย ตอนอยู่ในสำนักสยบธารยังนับว่าดีหน่อย แต่พอมาถึงสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราแห่งนี้เขาก็ว่างงาน จึงเบื่อหน่ายอย่างยิ่ง

เขาเองก็อยากไปหาเรื่องเฉินเห้อเทียนเหมือนกัน แต่ด้านหนึ่งก็เพราะไม่มีใครมาหาเรื่องตน เขาจึงหาเหตุผลไปตีกับเฉินเห้อเทียนไม่ได้ อีกอย่างที่สำคัญที่สุดก็คือเฉินเห้อเทียนผู้นั้นออกไปผ่อนคลายอารมณ์ข้างนอกนานแล้ว นี่จึงทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกหงุดหงิดใจไม่น้อย

ส่วนทางฝ่ายป๋ายเจิ้นเทียน ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็คิดจะไปจัดการ

แต่เห็นได้ชัดว่าป๋ายหลินรู้จักนิสัยป๋ายเสี่ยวฉุนเป็นอย่างดี จึงตั้งใจมาพูดคุยรำลึกความหลังกับเขาโดยเฉพาะ ไม่มีเรื่องคุยก็พยายามหาเรื่องมาคุย คุยไปคุยมา สุดท้ายก็ได้แต่มองป๋ายเสี่ยวฉุนตาปริบๆ ป๋ายเสี่ยวฉุนจึงเข้าใจได้โดยพลัน เลยจำต้องล้มเลิกความคิดที่จะไปหาเรื่องป๋ายเจิ้นเทียน

พอเป็นเช่นนี้จึงเหลือแต่หลี่เสี่ยนเต้าที่ยังเริงร่า แต่หลี่เสี่ยนเต้าก็จัดการเรื่องราวได้อย่างมีระเบียบเป็นขั้นเป็นตอน…

เนื่องจากเขาให้คำอธิบายที่ชัดเจนมากพอแก่ป๋ายเสี่ยวฉุนเรื่องของจางต้าพั่งและสวีเป่าไฉ ป๋ายเสี่ยวฉุนจึงรู้สึกว่าหากตนยังไปรังแกหลี่เสี่ยนเต้าก็ออกจะน่าเกลียดเกินไป

นี่จึงทำให้เขาอุดอู้ยิ่งกว่าเดิม เพราะเขารู้สึกว่าตัวเองว่างงานจนขนแทบจะขึ้นเต็มตัวแล้ว…ดังนั้นจึงไปสำรวจดูในสำนักว่ามีลูกศิษย์หญิงคนไหนหน้าตาดี เพียงแต่ว่าฐานะของเขาสูงส่งเกินไป แถมเวลาปกติยังชอบวางท่าเป็นผู้อาวุโส เป็นเหตุให้เขารู้สึกว่าหากตัวเองไปก้อร่อก้อติกกับนักพรตหญิงที่หน้าตาสวยงามจะเป็นการทำลายฐานะอันสูงส่งของตัวเอง

“เฮ้อ ทำไมถึงไม่มีใครที่ใจกล้ามาเสนอตัวบ้างเลยนะ” ป๋ายเสี่ยวฉุนถอนหายใจ

“แต่จะให้ข้าฝึกตนทุกวี่ทุกวันก็ไม่ได้หรอกนะ หากยังฝึกแบบนี้ต่อไปก็คงกลายเป็นคนโง่พอดี” ป๋ายเสี่ยวฉุนเหนื่อยหน่ายใจไม่น้อย ตอนอยู่แดนทุรกันดาร เขารู้สึกคิดถึงเขตแม่น้ำทงเทียน แต่พอกลับมาจริงๆ กลับดันไปคิดถึงช่วงเวลาที่ได้อยู่ในนครจักรพรรดิขุย

สุดท้ายป๋ายเสี่ยวฉุนที่ทอดถอนใจด้วยความปลงอนิจจังก็ได้แต่เลือกที่จะฝึกตนอีกครั้ง กินยาที่พวกลูกศิษย์หลอมมาให้ ยิ่งกินป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยิ่งรู้สึกไม่พอใจ เริ่มคิดไม่ตกอีกครั้งว่าตนควรจะหลอมยาด้วยตัวเองดีหรือไม่

“หรือว่าข้าผู้เป็นคนฟ้าที่ยิ่งใหญ่ คิดจะหลอมยาทั้งทีก็ยังต้องออกจากสำนักไปหลอมข้างนอกอย่างนั้นหรือ…” ป๋ายเสี่ยวฉุนคิดมาถึงตรงนี้ก็ถอนหายใจยาวเหยียด

“ไม่ได้ ข้าจะหลอมยา อย่างมากก็แค่ระวังหน่อยเท่านั้น…”

“แล้วนับประสาอะไรกับที่ก่อนหน้านี้ข้าหลอมยาล้วนต้องมีคนมาเอาเรื่องทุกครั้ง แต่ตอนนี้ข้าเป็นผู้อาวุโสไท่ซ่างแล้ว เฉินเห้อเทียนยังต้องหลบหน้าข้า ป๋ายเจิ้นเทียนปิดด่านไม่ยอมออกมา หลี่เสี่ยนเต้าไม่ยินดีมีเรื่องกับข้า…พี่ใหญ่ของศาลาเลือดเหล็กก็เป็นคนกันเอง…”

“ตลอดทั้งสำนักอันตมรรคาฟ้าดารา คนที่มาเจ้ากี้เจ้าการกับข้าได้มีแค่บุรพาจารย์ครึ่งเทพเท่านั้น” ป๋ายเสี่ยวฉุนอดใจไม่ไหวแล้วจริงๆ ความรุ่มร้อนอยากหลอมยาทำให้เขาตัดสินใจได้อย่างเด็ดขาด

“ระวังสักหน่อยน่าจะไม่มีปัญหา” ป๋ายเสี่ยวฉุนให้กำลังใจตัวเอง ก่อนจะส่งรายการหนึ่งไปให้กับหอภารกิจของสำนัก

ด้านในรายการใบสั่งนั้นมีสมุนไพรหลากหลายชนิด และยังมีเตาหลอมอีกไม่น้อย ด้วยตัวตนของเขา สำนักสามารถจัดสรรทรัพยากรให้ได้ในจำนวนหนึ่งโดยที่ไม่เก็บค่าใช้จ่าย

จากนั้นหอภารกิจก็เริ่มทำงานกันมือเป็นระวิง ไม่นานนักสมุนไพรและยาจำนวนมากก็ถูกลูกศิษย์ของหอภารกิจเอามาส่งให้ถึงที่พักของป๋ายเสี่ยวฉุน มองเห็นสมุนไพรเหล่านั้น ป๋ายเสี่ยวฉุนที่คึกคักก็เลือกปิดด่านเริ่มหลอมยาทันที

“ยาพลังชีวิตลมบูรพา!”

“ยาพลังชีวิตมัวเมา!”

“ยาพลังชีวิตหญ้าวิเศษ!”

“ยาพลังชีวิตเก้าจุติ!” ป๋ายเสี่ยวฉุนพึมพำเบาๆ

แล้วเริ่มทดลองหลอมยาตามตำรับยาทั้งหมดที่ช่วยเสริมสร้างพลังชีวิตซึ่งตัวเองจำได้ไปทีละอย่าง แต่ไม่นานการหลอมยาได้เพียงเตาเดียวในแต่ละครั้งก็ไม่สามารถตอบสนองความต้องการของป๋ายเสี่ยวฉุนได้ ที่สำคัญที่สุดคือเขาพบว่าการหลอมยาครั้งนี้ของตนไม่มีอุบัติเหตุเกิดขึ้น ดังนั้นจึงตื่นเต้นดีใจมากเป็นพิเศษ ความกล้าก็ยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ จึงเริ่มหลอมยาในจำนวนมากขึ้น เปลี่ยนจากเตาเดียวมาเป็นสองเตา จากนั้นก็สิบเตา ตามมาด้วยสามสิบเตา ห้าสิบเตา…

ความสำเร็จในการหลอมยาแต่ละครั้งทำเอาป๋ายเสี่ยวฉุนฮึกเหิมแทบบ้า เขารู้สึกว่าโชคดีของตนมาถึงแล้ว

“หรือว่าพอข้าผ่านการขัดเกลาประสบการณ์มาจากแดนทุรกันดาร ในด้านการหลอมยาจึงมีการพัฒนาแบบก้าวกระโดดโดยที่ข้าเองก็ไม่รู้ตัว…ต้องเป็นแบบนี้แน่!” ป๋ายเสี่ยวฉุนลำพองใจอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ มาถึงท้ายที่สุดเขาก็หลอมยาทีเดียวแปดสิบเตาเต็มๆ ซึ่งทุกเตาล้วนวางไว้ในสถานที่ปิดด่านของเขา ที่นี่คือที่พักของเขา เขาสามารถจัดวางตามใจชอบอย่างไรก็ได้ และตัวเขาเองก็จมจ่อมอยู่กับการหลอมยา

บางทีอาจเป็นเพราะตลอดหลายปีมานี้พรสวรรค์ด้านการหลอมยาของป๋ายเสี่ยวฉุนเพิ่มพูนขึ้นโดยที่เขาไม่รู้ตัวจริงๆ หรืออาจเป็นเพราะส่วนลึกในใจของเขานั้นกริ่งเกรงบุรพาจารย์ครึ่งเทพอยู่มาก ดังนั้นการหลอมยาช่วงหลังของเขาจึงเป็นไปอย่างราบรื่น ไม่เคยมีเรื่องไม่คาดคิดเกิดขึ้นเลยแม้แต่ครั้งเดียว

อย่างมากที่สุดก็แค่มีเสียงกัมปนาทดังเป็นระยะ มีควันดำลอยขึ้น หรือไม่ก็มีสายฟ้าแลบแปลบปลาบเท่านั้น ทว่ากลับกินอาณาบริเวณไม่กว้างนัก ด้วยตบะของป๋ายเสี่ยวฉุนจึงสามารถคลี่คลายมันได้อย่างง่ายดาย

นี่จึงไม่ได้ดึงดูดความสนใจจากคนมากเท่าไหร่ และต่อให้มีคนสนใจจริงๆ ลูกศิษย์สำนักอันตมรรคาฟ้าดาราพวกนั้นก็ไม่กล้าพูดอะไร…

จนกระทั่งผ่านไปได้หลายเดือน ป๋ายเสี่ยวฉุนที่กำลังหลอมยาพลันได้รับข้อความเสียงจากบุรพาจารย์ครึ่งเทพ

ข้อความเสียงนี้ไม่เพียงแต่เขาเท่านั้นที่ได้รับ แต่ผู้อาวุโสไท่ซ่างทุกคนในสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราล้วนได้รับกันหมด

ในข้อความเสียงนั้น บุรพาจารย์ครึ่งเทพบอกกับพวกเขาหกคนว่าเทียนจุนเรียกพบ อีกฝ่ายจะต้องไปเกาะทงเทียนสักพัก และช่วงเวลาที่เขาไม่อยู่นี้ก็ให้ป๋ายเสี่ยวฉุนเป็นคนพิทักษ์สำนัก

เรื่องนี้กลายเป็นความเคยชินสำหรับคนฟ้าทั้งห้าอย่างพวกเฉินเห้อเทียนนานแล้ว บุรพาจารย์ครึ่งเทพมักจะออกไปข้างนอกเป็นประจำ และอีกฝ่ายจะไม่สนใจเรื่องราวในสำนักเท่าใดนัก อีกทั้งทุกครั้งก่อนจะออกไปก็จะแจ้งให้พวกเขาทราบเสมอ

ทว่าป๋ายเสี่ยวฉุนเพิ่งจะเคยได้รับข่าวแบบนี้เป็นครั้งแรก คนอื่นๆ รู้สึกปกติ แต่ป๋ายเสี่ยวฉุนที่พออึ้งไปครู่ ลมหายใจก็เปลี่ยนมาเป็นถี่รัว ความคิดพลันโลดแล่น ดวงตาทั้งคู่เปล่งประกายแสงลุกโชน เขาดีใจจนแทบจะกระโดดเหยง มีความรู้สึกเหมือนเมฆที่บดบังได้เคลื่อนออกจนมองเห็นแสงสว่างไสว เหมือนได้ผลักภูเขาใหญ่ออกจากตัวและกลายมาเป็นนายของตัวเองอีกครั้ง

“บุรพาจารย์ครึ่งเทพ…ไปแล้ว?” พอป๋ายเสี่ยวฉุนคิดอย่างนี้ก็ฮึกเหิมถึงขีดสุด เขาตระหนักได้ทันทีว่า…นับตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไป จนกว่าบุรพาจารย์ครึ่งเทพจะกลับมา ช่วงเวลานี้…ตลอดทั้งสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราก็จะไม่มีใครมาควบคุมกะเกณฑ์เขาได้อีกแล้ว!

“ครึ่งเทพไม่อยู่บ้าน…” ป๋ายเสี่ยวฉุนแหงนหน้าหัวเราะร่า เขารู้สึกดีใจอย่างหาคำใดมาบรรยายไม่ได้จริงๆ ดีใจจนแทบจะกระโดดโลดเต้นอยู่แล้ว ต้องรู้ว่าการหลอมยาตลอดชีวิตนี้ของเขา แต่ไรไหนมาก็ต้องระมัดระวังมาโดยตลอด ถูกคนไล่ฆ่ามามากมายหลายครั้ง ประสบการณ์ที่เจอใครคนนั้นก็ร้องจะตี ประสบการณ์ที่ในใจคับแค้นแต่ยิ่งระบายออกมาอีกฝ่ายยิ่งเดือดดาลนั้นทำให้ทุกครั้งที่เขาหวนนึกถึงก็ได้แต่ถอนหายใจติดๆ กัน

ทว่าตอนนี้…เหมือนท้องฟ้าได้เปิดโล่งสว่างไสวแล้ว

ปัจจัยทุกอย่างที่เป็นอุปสรรคต่อการหลอมยาของเขาล้วนหายไปหมดแล้ว และตอนนี้ในใจของป๋ายเสี่ยวฉุนก็มีความมั่นใจที่น่าประหลาดขุมหนึ่งบังเกิดขึ้น เขารู้สึกว่าหลังจากนี้เป็นต้นไป เวลาที่ตนหลอมยาจะไม่มีอุบัติเหตุเกิดขึ้นอีก

“หลอมยา หลอมยา ข้าจะหลอมยาได้ดั่งใจปรารถนา!!”

“ข้าจะปรับปรุงมหาเวทสายฟ้าชะล้างโอสถให้สมบูรณ์แบบมากขึ้น!”

“แล้วก็ยังมียากระสันซ่านที่ข้าควรจะหลอมอีกสักหน่อย ส่วนยาประสาทหลอน และยาประหลาดบางส่วนที่ไม่รู้ว่าเกิดขึ้นมาได้ยังไงนั้นก็ควรจะหลอมเพิ่มอีกสักนิด” ป๋ายเสี่ยวฉุนวาดหวังรอคอยอยู่ในใจ ด้วยความฮึกเหิมจึงเพิ่มเตาหลอมยาจากเดิมที่มีแปดสิบเตาให้ขึ้นเป็นสามร้อยเตาโดยตรง!

แต่ก็ยังรู้สึกว่าไม่มากพอ จึงเพิ่มเข้าไปอีกหลายร้อยเตา จนกระทั่งถึงแปดร้อยเตา นั่นถึงทำให้เขาพึงพอใจ

“ด้วยตบะคนฟ้าของข้า หากเรื่องที่ข้าเปิดเตาหลอมแปดร้อยเตาในเวลาเดียวเผยแพร่ออกไปคงทำให้คนชื่นชมและเคารพนับถืออย่างสูงแน่นอน!” ป๋ายเสี่ยวฉุนมองไปในที่พักของตัวเองที่จัดวางเตาหลอมยาไว้เต็มแน่นด้วยความลำพองใจอย่างหาที่สิ้นสุดไม่ได้ ด้านล่างเตาหลอมยาแต่ละใบมีผลึกอัคคีชั้นเยี่ยมจำนวนมากลุกไหม้อยู่ ทำให้เตาหลอมยาทั้งแปดร้อยเตานี้แดงฉาน แผ่อุณหภูมิร้อนสูงอย่างน่าตกใจ

หากมีคนเข้ามาในนี้ต้องตกใจเกือบตายแน่นอน เพราะหากเตาหลอมทั้งแปดร้อยใบระเบิดขึ้นมาพร้อมกัน…เกรงว่าพื้นที่เกือบครึ่งในสายรุ้งสีครามคงกลายเป็นหลุมโพรงขนาดใหญ่ยักษ์…

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version