Skip to content

A Will Eternal 898

บทที่ 898 ปกป้องนาง…

ในสำนักสยบธาร บนเทือกเขาที่เป็นของสายธาราเทพ ลิงตัวนั้นยืนอยู่ตรงนั้น ในมือถือเหล้าอยู่ไหหนึ่งและคอยยกขึ้นกรอกใส่ปากอย่างต่อเนื่อง นัยน์ตาที่มีความปลาบปลื้มยินดีมองไปยังใบหน้าของบุรพาจารย์ธาราเทพที่อยู่บนท้องฟ้า

“ได้เห็นภาพนี้กับตาตัวเอง การกลับมาครั้งนี้นับว่าคุ้มแล้ว ต่อให้วันหน้าจะต้องจ่ายค่าตอบแทนสำหรับการกลับมาครั้งนี้…แต่ทุกอย่างก็คุ้มค่าแล้ว!” ลิงหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง สายตากวาดมองไปยังเทือกเขาสายธาราโลหิต ไม่ได้มองป๋ายเสี่ยวฉุน แต่มองไปยัง…กระต่ายที่ยืนอยู่บนเทือกเขาของสายธาราโลหิต และกำลังมองท้องฟ้าด้วยอาการทึ่มทื่อ

สมองของกระต่ายตัวนี้บางครั้งก็เฉลียวฉลาด บางครั้งก็มึนงง ตอนนี้ถือว่ายังอยู่ในสภาวะปกติ และในใจของมันก็มีความปลื้มปิติไม่มากก็น้อย

ขณะที่เสียงกู่ร้องในสำนักดังกระหึ่มมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็รู้สึกพึงพอใจอย่างยิ่งยวด บุรพาจารย์ธาราเทพกลายเป็นคนฟ้าได้สำเร็จ สำหรับป๋ายเสี่ยวฉุนแล้วนี่ทำให้ความกดดันของเขาลดน้อยลงไปอีกเยอะมาก

คราวนี้เขาก็จะจากสำนักสยบธารไปยังสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราได้อย่างวางใจแล้ว เพราะอย่างไรซะสำนักสยบธารก็อยู่ในขอบเขตของสำนักอันตมรรคาฟ้าดารา ยิ่งตำแหน่งของป๋ายเสี่ยวฉุนในสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราสูงส่งเท่าไหร่ สำนักสยบธารก็ยิ่งมั่นคงมากเท่านั้น

บวกกับบุรพาจารย์ธาราเทพเข้าไปอีกคน สามารถพูดได้ว่านับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป เว้นเสียแต่ว่าผู้แข็งแกร่งครึ่งเทพจะมาเยือนด้วยตัวเอง หาไม่แล้วหากต่ำกว่าครึ่งเทพลงไป ไม่ว่าใครก็ตามที่คิดแตะต้องสำนักสยบธารก็จำต้องชั่งน้ำหนัก ครุ่นคิดไตร่ตรองอย่างละเอียดซ้ำแล้วซ้ำเล่า!

และจำนวนครึ่งเทพก็มีน้อยอย่างยิ่ง ตลอดทั้งพื้นที่ของแม่น้ำทงเทียน…เท่าที่รับรู้โดยทั่วกันก็มีแค่สี่ท่านเท่านั้น และทั้งสี่ท่านนี้ไม่ว่าคนใดก็ล้วนเป็นบุรพาจารย์ของสำนักต้นน้ำทั้งสิ้น

เวลาสามวันผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว เมื่อบุรพาจารย์ธาราเทพกลายเป็นคนฟ้าได้สำเร็จ เรื่องนี้ก็ค่อยๆ เผยแพร่ไปทั่วโลกแห่งการบำเพ็ญเพียรของแม่น้ำตอนกลาง สามสำนักที่เหลือซึ่งตอนนี้ไร้คนฟ้าจึงไม่กล้ามาแก่งแย่งชิงดีกับสำนักสยบธารอีก และยิ่งตอนนี้สำนักสยบธารลุกผงาดเจริญรุ่งเรือง พวกเขาก็ยิ่งบังเกิดความกริ่งเกรงอย่างลึกล้ำ ทุกสำนักพากันส่งของขวัญบรรณาการในจำนวนน่าตะลึงมาให้ ทั้งยังแสดงท่าทีว่ายินดีก้มหัวให้แก่สำนักสยบธาร…

อดีตสามสำนักใหญ่ยังเป็นขนาดนี้ ก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสำนักเล็กและตระกูลผู้ฝึกตนอื่นๆ เลย ไม่นานทั่วทั้งโลกแห่งการบำเพ็ญเพียรแม่น้ำทงเทียนตอนล่างก็พากันได้ยินข่าวนี้ และทุกฝ่ายก็ล้วนเคารพยำเกรงต่อสำนักสยบธารอย่างถึงที่สุด

แม้ว่าในบรรดาสำนักแม่น้ำตอนล่างเหล่านี้ นอกจากในขอบเขตอิทธิพลของสำนักสยบธารเองแล้ว อีกสามฝ่ายต่างก็ไม่อยู่ในการดูแลของสำนักสยบธาร แต่ต้องรู้ว่าทั่วทั้งโลกแห่งการบำเพ็ญเพียรของแม่น้ำตอนกลาง สำนักสยบธารถือเป็นสำนักอันดับหนึ่งและแข็งแกร่งเกินผู้ใดจะทัดเทียมแล้ว หากสำนักเล็กๆ ของแม่น้ำตอนล่างกล้าล่วงเกินสำนักสยบธาร จุดจบของพวกเขาก็พอจะจินตนาการได้

สถานการณ์ในวันนี้แม้อาจไม่ถึงขั้นรวบรวมกำลังของแม่น้ำตอนปลาย ตอนล่าง ตอนกลางเป็นหนึ่งเดียวกัน ทว่าก็แทบไม่ต่างกันเท่าไหร่นัก อย่างน้อยในนามก็เป็นเช่นนี้ อีกทั้งในด้านพลังการสยบขวัญ สำนักสยบธารก็ทำได้ดีในระดับสูงสุด

แน่นอนว่าสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราก็ย่อมต้องรู้เรื่องนี้และจับตามอง หากเปลี่ยนมาเป็นเวลาอื่น สำนักอันตมรรคาฟ้าดาราย่อมต้องยื่นมือเข้าแทรกและตั้งข้อจำกัด

เพราะอย่างไรซะหากปล่อยให้ฝ่ายหนึ่งเป็นใหญ่เพียงฝ่ายเดียวจะทำให้บุรพาจารย์คนฟ้าหลายคนในสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราไม่สบายใจ ขณะเดียวกันการแบ่งสรรทรัพยากรของพวกเขาก็จะได้รับผลกระทบและถูกลดจำนวนให้น้อยลง

ทว่าเมื่อมีป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่ มีคุณความชอบจากการทำสงครามเมื่อครั้งอดีต มีคำสั่งแต่งตั้งของบุรพาจารย์ครึ่งเทพ พวกเฉินเห้อเทียนสามคนก็ได้แต่กัดฟันยอมรับ ไม่ได้เสนอข้อคัดค้านต่อเรื่องนี้ ไม่ใช่ไม่อยาก

แต่เป็นเพราะพวกเขาเกรงกลัวป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างถึงที่สุด

ยังมีคนฟ้าอีกคนที่ในใจก็คิดไม่ตกเช่นกัน คนผู้นี้ก็คือเด็กชายคนฟ้าของแดนฟ้าผู้นั้น ตามหลักแล้ว จะอย่างไรสำนักสยบธารก็ถือเป็นขั้วอิทธิพลภายใต้บังคับบัญชาของเขา แต่ก่อนหน้านี้ตอนที่สำนักสยบธารประสบภัย เด็กชายคนฟ้าผู้นี้มีเหตุผลเป็นพันเป็นหมื่น ทว่าสุดท้ายกลับยังเลือกที่จะสละทิ้ง

ขณะเดียวกันเมื่อสำนักสยบธารเจอกับวิกฤตครั้งที่สอง ขนาดศาลาเลือดเหล็กยังออกหน้า แต่เขากลับเก็บตัวเงียบ เรื่องทั้งสองครั้งนี้ทำให้เด็กชายคนฟ้าเริ่มลังเลว่าเวลานี้ตนควรจะให้สำนักสยบธารส่งทรัพยากรมาให้ตนเหมือนในอดีตต่อไปดีหรือไม่

ลังเลอยู่พักใหญ่ เด็กชายคนฟ้าผู้นี้ก็ถอนหายใจยาวเหยียด เลือกจะถอดใจ เพราะเขาเองก็ได้ยินถึงความแข็งแกร่งของป๋ายเสี่ยวฉุน นอกจากจะรู้สึกเสียใจทีหลังแล้วในใจยังกริ่งเกรงมากด้วย

เมื่อเป็นเช่นนี้จึงทำให้ไม่มีใครมาทัดทานอำนาจ การระเบิดพลังของสำนักสยบธารจึงรุนแรงยิ่งกว่าเดิม ขอบเขตอิทธิพลก็แผ่ขยายไปเป็นวงกว้าง จนกระทั่งเวลาผ่านไปได้สองเดือน

สองเดือนมานี้ป๋ายเสี่ยวฉุนใช้เวลาส่วนใหญ่ปิดด่านเพื่อศึกษาเลือดคงกระพัน ขณะเดียวกันก็พิจารณาถึงปัญหาของวิชาการฝึกตนหลังจากเป็นคนฟ้า เพราะอย่างไรซะสำนักสยบธารก็เป็นแค่สำนักแม่น้ำตอนกลาง มีวิชาหลายอย่างที่ไม่ครบถ้วน

คิดจะได้วิชาของคนฟ้ามาครอบครอง สุดท้ายก็ต้องไปสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราสักครั้งถึงจะดี เพราะอย่างไรซะสายของธาราเทพก็มาจากสำนักหันเหมินของแม่น้ำทงเทียนทิศเหนือ เมื่อหันเหมินถูกดับสำนัก พวกนักพรตที่หนีรอดได้ครอบครองคาถาหันเหมินเลี้ยงความคิดก็นับว่าไม่ใช่เรื่องง่ายแล้ว

แต่วิชาคนฟ้าบางอย่างที่ไม่สมบูรณ์ก็ใช่ว่าไม่มีเสียเลย บุรพาจารย์ธาราเทพไม่ใส่ใจในข้อนี้ แต่ทว่ามันกลับไม่เหมาะสมกับป๋ายเสี่ยวฉุน ถึงขั้นที่ว่าแม้แต่บุรพาจารย์ธาราเทพเองก็ยังยืนกรานแนะนำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนไปหาเลือกเอาที่สำนักอันตมรรคาฟ้าดารา

ยังดีที่ถึงแม้จะหาวิชาสำหรับคนฟ้าไม่ได้ แต่ป๋ายเสี่ยวฉุนกลับเข้าใจเลือดคงกระพันมากขึ้นในทุกๆ วัน อีกทั้งในร่างก็รวบรวมเลือดไม่ดับได้แล้วหนึ่งหยด

เลือดไม่ดับนี้ไม่ใช่สีแดง แต่เป็นสีทอง ซึ่งมันจะคอยไหลไปตามกระแสเลือดในร่างของเขาอยู่ตลอดเวลา มองดูแล้วสะดุดตาอย่างมาก ป๋ายเสี่ยวฉุนสัมผัสได้ถึงเลือดไม่ดับสีทองหยดนั้นในร่าง สัมผัสได้ถึงปราณแห่งความศักดิ์สิทธิ์ขุมหนึ่งที่แผ่ออกมา ทว่ากลับดีใจไม่ออก

“มียาพวกนั้นมาแทนที่ การดูดซับในจำนวนรวมเทียบเคียงได้พอๆ กับพลังชีวิตทั้งหมดของข้าถึงจะหลอมออกมาได้สักหยดหนึ่ง…” ป๋ายเสี่ยวฉุนขมวดคิ้วหน้าตาบึ้งตึง ด้านหนึ่งเขารู้สึกว่ามันยากเกินไป อีกด้านหนึ่งก็รู้สึกโชคดีที่ตนไม่ใช่คนอ้วน อีกทั้งร่างก็ไม่ได้หนาใหญ่บึกบึน หาไม่แล้ว…เขารู้สึกว่าชีวิตนี้ตนคงไม่มีหวังจะที่ฝึกเลือดคงกระพันได้สำเร็จ และเดิมทีเลือดคงกระพันก็คือวิชาลับอย่างหนึ่งอยู่แล้ว!

เหมือนกับตรวนสลายลำคอ ชนาเขย่าภูเขา ผนึกมิวางวายและหมัดจักรพรรดิไม่ดับสูญ วิชาลับในขั้นที่ห้าของบทมิวางวายมีชื่อว่า…พิฆาตเทพ!

ความหมายของพิฆาตเทพก็คือเมื่อฝึกได้ถึงระดับหนึ่งจะสามารถสังหารครึ่งเทพได้!

วิชาพิฆาตเทพนี้สามารถทำให้ความเร็วของป๋ายเสี่ยวฉุนระเบิดไปสู่จุดสูงสุดในเสี้ยววินาที ปานประหนึ่งพลังกล้ามเนื้อห้าเท่าของหมัดจักรพรรดิไม่ดับสูญ พิฆาตเทพนี้เป็นวิชาในด้านของความเร็ว มันจะทำให้ความเร็วของป๋ายเสี่ยวฉุนระเบิดในชั่วพริบตา ซึ่งความเร็วนั้นจะเหนือกว่าทุกอย่าง เร็วจนยากจะจินตนาการได้

ความเร็วนี้คือแรงหนุนอย่างหนึ่ง แต่จุดสำคัญที่แท้จริงของพิฆาตเทพกลับเป็น…เลือดไม่ดับของป๋ายเสี่ยวฉุน!

เมื่อฝึกเลือดคงกระพัน หยดเลือดในร่างของเขาจะค่อยๆ เปลี่ยนมาเป็นเลือดไม่ดับทีละหยด และเลือดไม่ดับนี้หาใช่จะคงอยู่ไปชั่วนิจนิรันดร์ หากยังฝึกไม่ถึงขั้นสมบูรณ์แบบมันก็ถูกเผาผลาญไปได้ วิชาพิฆาตเทพก็คือการเผาผลาญเลือดไม่ดับเพื่อแลกมาด้วยความเร็วสุดขีด แลกมาด้วยอาคมเลือดที่ร้ายกาจสูงสุด!

ไม่จำเป็นต้องลงมือ ขอแค่มีปราณเลือดอบอวลไปทั่วร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนภายใต้ความเร็วเช่นนี้ เพียงแค่สัมผัสโดนเล็กน้อยก็สามารถเขย่าคลอนภูเขาทั้งลูกได้ และที่ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนตกตะลึงยิ่งกว่าก็คือเมื่อใช้วิชาพิฆาตเทพ สิ่งมีชีวิตใดๆ ก็ตามที่ถูกเขาแตะ พลังชีวิตของสิ่งมีชีวิตนั้นๆ ก็จะถูกเขาดูดเอามาส่วนหนึ่งในเสี้ยววินาที

นี่ทำให้ลูกตาของป๋ายเสี่ยวฉุนแทบจะถลนออกมาจากเบ้า หัวใจสั่นระรัว เป็นอีกครั้งที่เขาแน่ใจว่าบทมิวางวายนี้คือวิชามนต์ดำฝ่ายต่ำแน่นอน!!

“ข้าป๋ายเสี่ยวฉุนผู้มีจิตใจบริสุทธิ์งดงาม เมตตาไร้เดียงสา…แต่สุดท้ายกลับต้องมาพบว่าวิชาที่ตัวเองฝึกคือวิชาแห่งอธรรมชั่วร้าย!” ป๋ายเสี่ยวฉุนหน้าม่อยด้วยความละอายใจ ถอนหายใจเฮือกๆ ติดต่อกัน วิชาพิฆาตเทพนี้ทำให้เขาตะลึงอย่างมาก อีกทั้งไม่จำเป็นต้องใคร่ครวญอะไรในสมองของเขาก็มีภาพยามที่ใช้วิชานี้ลอยขึ้นมาแล้ว

ยกตัวอย่างเช่นการร่ายใช้ชนาเขย่าภูเขาหลังจากฝึกพิฆาตเทพได้…เพียงแค่คิดภาพเหตุการณ์นั้น หัวใจป๋ายเสี่ยวฉุนก็เต้นกระตุกหวาดกลัวแทนศัตรู

“บวกกับตรวนสลายลำคอเข้าไปอีกอย่างหนึ่ง…หากยังทำให้อีกฝ่ายตายไม่ได้ ข้าก็ค่อยใช้หมัดจักรพรรดิไม่ดับสูญเพิ่มเข้าไป…และหากยังสู้ไม่ได้ก็ใช้ผนึกมิวางวายบวกพิฆาตเทพ ถ้าข้าคิดจะหนีขึ้นมา ใครจะไล่ตามข้าได้ทัน”

“นี่ข้ายังไม่ได้ใช้วิชาอภินิหารเลยนะ หากข้าร่ายเขตแดนธารา เนตรทงเทียน หรือหันเหมินเลี้ยงความคิด…” ป๋ายเสี่ยวฉุนคิดมาถึงตรงนี้ก็สูดลมหายใจเข้าลึก จากนั้นก็กระแอมเบาๆ หนึ่งที มีความรู้สึกประมาณว่าเพิ่งจะรู้ว่าที่แท้ตัวเองร้ายกาจเอาก็ป่านนี้

“แต่ว่าทุกครั้งที่ร่ายใช้พิฆาตเทพก็จะต้องเผาผลาญเลือดไม่ดับในร่าง…และตอนนี้ในร่างของข้าก็มีเลือดไม่ดับอยู่แค่หยดเดียว…”

พอพิจารณาถึงข้อที่ว่าตนต้องลำบากลำบนกว่าจะกลั่นเลือดไม่ดับขึ้นมาได้สักหยด ป๋ายเสี่ยวฉุนก็แทบจะไม่มีกะจิตกะใจอยากทดลองวิชาพิฆาตเทพเลย

“หากใช้พิฆาตเทพ นี่มันไม่ใช่การประลองเวทอาคมแล้ว แต่นี่มันคือการประลองชีวิตกันชัดๆ!” ป๋ายเสี่ยวฉุนปลงอนิจจังอยู่กับตัวเองพักใหญ่ ช่วงเวลาหลังจากนั้นเขาก็ยังอยู่ต่อในสำนักสยบธาร ทว่าสุดท้ายก็ตัดสินใจเตรียมตัวเดินทางไปยังสำนักอันตมรรคาฟ้าดารา

เพราะเรื่องวิชาการฝึกตนของคนฟ้าก็คือสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับเขาในตอนนี้

เมื่อตัดสินใจได้ ป๋ายเสี่ยวฉุนจึงไปบอกลาซ่งจวินหว่าน สำหรับการจากไปของป๋ายเสี่ยวฉุน ซ่งจวินหว่านมีการเตรียมใจเอาไว้แล้วจึงไม่ได้พูดอะไรมากความ เพียงแค่ช่วยจัดเสื้อผ้าให้เขาอย่างอ่อนโยนแล้วโอบกอดกันเบาๆ

ก่อนจะจากไป บุรพาจารย์ธาราเทพได้มาหาป๋ายเสี่ยวฉุนและมอบวัตถุชิ้นหนึ่งที่สำหรับสายธาราเทพแล้วถือว่ามีความสำคัญเกินกว่าสิ่งอื่นใด…ให้แก่ป๋ายเสี่ยวฉุน!

นั่นก็คือโลงผลึกใสใบหนึ่งที่ด้านในบรรจุ…ร่างของทารกหญิงเอาไว้!

นี่ก็คือความลับและรากฐานที่สำคัญที่สุดของสายธาราเทพ เจินหลิงหันเหมิน!!

“ปกป้องนาง…ตลอดทั้งสายธาราเทพ มีเพียงเจ้าคนเดียวที่ทำได้…ปกป้องนาง นี่คือภารกิจที่สำคัญดุจชีวิตของสายธาราเทพ!” บุรพาจารย์ธาราเทพเอ่ยขึ้นเบาๆ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version