Skip to content

A Will Eternal 899

บทที่ 899 กลับสำนักอันตมรรคาฟ้าดารา

“บุรพาจารย์…” ป๋ายเสี่ยวฉุนตะลึงงัน เดิมทีเขานึกว่าบุรพาจารย์จะมอบอาวุธอะไรให้กับตน ต่อให้จะย่ำแย่แค่ไหนก็น่าจะเป็นของบางอย่างที่ล้ำค่า คาดไม่ถึงเลยว่าอีกฝ่ายจะมอบเจินหลิงของหันเหมินให้กับตน…

“เอ่อ…บุรพาจารย์ ผู้อาวุโสเจินหลิงท่านนี้ให้ข้าไว้ไม่เหมาะสมหรอก นางผู้อาวุโสล้ำค่าอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ ข้าคนนี้เป็นคนซุ่มซ่าม หากไม่ระวังทำนางผู้อาวุโสหล่นแตกขึ้นมา แบบนั้นล่ะเป็นเรื่องใหญ่แน่…อย่าเอาให้ข้าดีกว่า” ป๋ายเสี่ยวฉุนรีบพูด เพราะเขารู้สึกแปลกๆ พิกล ครุ่นคิดว่าตนออกเดินทางครั้งนี้ บุรพาจารย์กลับให้โลงศพโลงหนึ่งกับตนเสียได้…

แม้ว่าเจินหลิงในโลงนี้จะมหัศจรรย์อย่างมาก แต่ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยังรู้สึกไม่เป็นมงคลอยู่ดี

“พานางไปด้วยเถอะ…” บุรพาจารย์ธาราเทพสูดลมหายใจเข้าลึก ที่บุรพาจารย์ธาราเทพมอบโลงและเจินหลิงที่มีค่าอย่างหาที่เปรียบไม่ได้นี้ให้แก่ป๋ายเสี่ยวฉุน นั่นเป็นเพราะทุกครั้งที่สำนักสยบธารเจอมรสุมโหมกระหน่ำ แม้จะผ่านมาได้ด้วยดีเพราะการกลับมาของป๋ายเสี่ยวฉุน อีกทั้งอนาคตมองไปแล้วก็เต็มไปด้วยความงดงาม แต่ในใจของบุรพาจารย์ธาราเทพก็ยังรู้สึกไม่สบายใจอยู่ดี และเขาเองก็ไม่กล้าเดิมพัน ในสายตาของเขา บางทีหากเอาโลงนี้มาไว้ที่ป๋ายเสี่ยวฉุนก็อาจจะปลอดภัยยิ่งกว่าเอาไว้ในสำนักสยบธาร อีกทั้งที่สำคัญที่สุดก็คือเรื่องนี้อาจารย์ของเขา ซึ่งก็คือลิงเฒ่าตัวนั้นเป็นคนเสนอด้วยตัวเอง ต่อให้ตอนนี้ตบะของเขาจะเป็นคนฟ้า แต่ความเคารพที่มีต่ออาจารย์ก็ยังคงอยู่ดุจเดิม

เมื่อเห็นว่าบุรพาจารย์ธาราเทพยืนกราน ทำท่าราวกับว่าหากตนไม่ยอมรับก็จะไม่ยอมเลิกรา ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ให้ปวดหัวไม่น้อย เขานิ่วหน้ามองโลงศพใบนั้นด้วยหัวคิ้วที่ขมวดมุ่น

“บุรพาจารย์ เรามาปรึกษากันหน่อยเถอะ ข้าไม่เหมาะสมจริงๆ นะขอรับ หากมีเรื่องไม่คาดคิดเกิดขึ้น…”

“ไม่มีคำว่าหาก เสี่ยวฉุน ไม่ต้องพูดมากแล้ว พานางไปซะ!” พอกล่าวจบ บุรพาจารย์ธาราเทพก็ประสานมือคารวะแล้วโค้งตัวต่ำๆ หนึ่งที

ป๋ายเสี่ยวฉุนเกาหัว ถอนหายใจ สายตามองไปที่โลงผลึกใส มองทารกหญิงที่อยู่ด้านในซึ่งดวงตาทั้งคู่ปิดสนิทราวกับว่าตายไปแล้วจริงๆ แต่ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้ดีว่านางยังไม่ตาย… นางก็แค่นอนหลับเท่านั้น!

อีกทั้งปีนั้นที่สี่สำนักใหญ่ของแม่น้ำตอนล่างพากันยาตราทัพมาประจัญบานกับสำนักธารฟ้า ทารกหญิงคนนี้ยังเคยตื่นขึ้นมาและกลายมาเป็นยอดหญิงที่ปานประหนึ่งทวยเทพ!

และตอนนั้นก่อนที่หญิงสาวจะหลับลงไปอีกครั้ง นางยังมองป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยสายตาลึกล้ำและส่งตำรับการหลอมยาทวนธาราเข้ามายังจิตวิญญาณของป๋ายเสี่ยวฉุน

“ขนาดตัวเองข้ายังดูแลไม่ได้…จะไปดูแลเจินหลิงนี่ได้อย่างไร” ป๋ายเสี่ยวฉุนกลัดกลุ้ม เขารู้สึกว่าตอนนี้ตนกลายมาเป็นแม่นมคนหนึ่งไปเสียแล้ว แต่ในใจก็เข้าใจดีว่าทารกหญิงคนนี้คือสิ่งที่สำคัญที่สุดของสายธาราเทพ ก็เป็นอย่างที่บุรพาจารย์ธาราเทพกล่าวไว้ ความตั้งใจแรกเริ่มสุดที่ทำให้สำนักธาราเทพก่อตั้งขึ้นมาก็คือเพื่อปกป้องทารกหญิงผู้นี้

ในใจคิดไม่ตกอยู่นาน ป๋ายเสี่ยวฉุนมองบุรพาจารย์ธาราเทพ แล้วก็มองไปที่โลงผลึกใสอีกที สุดท้ายก็ได้แต่พยักหน้ารับอย่างจำยอม แม้ว่าเขาอยากจะปฏิเสธแค่ไหน แต่แท้จริงแล้วเรื่องนี้เป็นสิ่งที่เขาผลักภาระไม่ได้ ขณะเดียวกันในใจของเขาก็เริ่มมีการคาดเดาเกี่ยวกับที่มาของทารกหญิงผู้นี้มากขึ้น

เมื่อเห็นว่าป๋ายเสี่ยวฉุนตอบรับ บุรพาจารย์ธาราเทพก็ผ่อนลมหายใจ มองทารกหญิงในโลงศพด้วยสายตาลึกล้ำเป็นครั้งสุดท้าย ครั้นจึงไปจากถ้ำของป๋ายเสี่ยวฉุน

“ช่างเถอะๆ” ป๋ายเสี่ยวฉุนส่ายหัวอย่างปลงตก สะบัดปลายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง เตรียมจะเก็บโลงนั้นไว้ในถุงเก็บของ แต่จู่ๆ กลับนึกถึงบางอย่างขึ้นมาได้ เขาจึงรีบหันไปคำรามต่ำๆ ใส่ถุงเก็บของ

“เจ้าเต่าน้อยข้ารู้ว่าเจ้าอยู่ข้างในนั้น เจ้าจงฟังข้าให้ดี ทำตัวให้มันดีๆ หน่อย ห้ามมายุ่งวุ่นวายกับโลงศพและทารกหญิงในโลงนี่เด็ดขาด!”

ป๋ายเสี่ยวฉุนข่มขู่อยู่พักใหญ่ แม้เจ้าเต่าน้อยจะไม่ตอบรับ แต่ป๋ายเสี่ยวฉุนกลับรู้ดีว่าเจ้าเต่าน้อยต้องได้ยินที่เขาพูดแน่นอน จากนั้นเขาถึงได้เอาโลงเก็บเข้าไปไว้ในถุงเก็บของ ก่อนจะหลับตาเข้าฌานอีกหนึ่งคืน เช้าตรู่วันที่สองมาถึง เมื่ออรุณแรกสาดส่อง ป๋ายเสี่ยวฉุนก็สะบัดร่างมาปรากฏตัวอยู่กลางอากาศของสำนักสยบธาร หลังจากก้มหน้าลงมองสำนักสยบธารหนึ่งครั้ง เขาก็สูดลมหายใจเข้าลึกแล้วกลายร่างเป็นรุ้งยาวหนึ่งเส้นที่ตรงดิ่งไปยังทิศที่ตั้งของสำนักอันตมรรคาฟ้าดารา

“ปีนั้นก่อนข้าจะจากไป แม้ว่าคนในสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราที่รู้จักข้าจะมีไม่น้อย แต่ก็ไม่นับว่ามากอะไรนัก ทว่าตอนนี้กลับต่างออกไปแล้ว” หัวใจป๋ายเสี่ยวฉุนลิงโลด พอคิดถึงว่าตนจะได้กลับคืนไปยังสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราด้วยตบะคนฟ้าและตัวตนบุรพาจารย์คนฟ้าคนที่หก เขาก็พลันบังเกิดความฮึกเหิมอย่างยิ่งยวด

“ก็ไม่รู้ว่าโรงเตี๊ยมนั่นจะเป็นอย่างไรบ้างแล้ว ยังมีจางต้าพั่ง สวีเป่าไฉ เจ้าสองคนนี้ไม่ได้เรื่องเอาเสียเลย ก่อนหน้านี้สำนักตกอยู่ในอันตราย พวกเขากลับไม่ยอมกลับมา” พอคิดถึงเรื่องนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ให้ไม่สบอารมณ์ แต่ลึกๆ ในใจก็ยังรู้สึกว่าจางต้าพั่งและสวีเป่าไฉไม่น่าจะเป็นคนอย่างนั้น

“หรือว่าเกิดอุบัติเหตุอะไรถ่วงให้พวกเขามาไม่ได้?” ป๋ายเสี่ยวฉุนคิดมาถึงตรงนี้ก็เพิ่มความเร็วให้มากยิ่งกว่าเดิม

ด้วยตบะของเขา เมื่อห้อทะยานอยู่ในโลกแห่งการบำเพ็ญเพียรแม่น้ำตอนกลางแห่งนี้จึงไม่เปลืองเวลามากนัก

และไม่นานเขาก็มาถึงบริเวณขอบเขตที่เชื่อมต่อระหว่างแม่น้ำตอนกลางกับแม่น้ำตอนต้น นั่นคือเทือกเขาสูงใหญ่ที่ทอดยาว เพิ่งจะเหยียบเข้ามา ป๋ายเสี่ยวฉุนก็สัมผัสได้ทันทีว่าในบริเวณใกล้เคียงมีปราณอยู่สามเส้นที่แผ่ออกมากวาดลงบนร่างของเขา ทว่าหลังจากนั้นเหมือนอีกฝ่ายจะตกใจจึงรีบหุบปราณกลับเข้าไปอย่างรวดเร็ว

ขณะเดียวกันตรงเทือกเขาด้านล่างก็มีคนสามคนที่รีบบินออกมาด้วยความร้อนใจแล้วพากันคารวะป๋ายเสี่ยวฉุนซ้ำๆ ตั้งแต่ยังอยู่ไกลๆ

“คารวะบุรพาจารย์ป๋าย!”

เงาร่างทั้งสามนี้สวมชุดคลุมยาวของลูกศิษย์สำนักอันตมรรคาฟ้าดารา

คือนักพรตที่รับผิดชอบเฝ้าพิทักษ์ชายแดน และพวกเขาก็ได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับป๋ายเสี่ยวฉุนมาก่อน บวกกับตำแหน่งที่เฝ้าพิทักษ์อยู่นี้ถือเป็นชายแดนที่ใกล้กับสำนักสยบธารมากที่สุด ในใจจึงมีการเตรียมพร้อมไว้บ้าง แต่พอได้เห็นป๋ายเสี่ยวฉุนจริงๆ ก็ยังตื่นเต้นมากอยู่ดี

คนทั้งสามนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่คุ้นหน้า เมื่อเห็นท่าทีของพวกเขา ป๋ายเสี่ยวฉุนก็รู้สึกพอใจอย่างยิ่ง ดังนั้นจึงเอามือไพล่หลัง พยักหน้าให้คนทั้งสามด้วยมาดของผู้อาวุโส ก่อนจะพุ่งทะยานไปไกล

จนกระทั่งป๋ายเสี่ยวฉุนจากไปแล้ว คนทั้งสามถึงได้คลายใจลง หลังจากมองหน้ากันไปมา ต่างคนต่างก็มองออกถึงความอิจฉาและความเคารพในสายตาของแต่ละฝ่าย

“ใครจะไปคาดคิดว่า บุคคลตัวเล็กๆ ที่ปีนั้นเป็นแค่ตัวประกัน วันนี้จะกลายมาเป็นบุรพาจารย์คนฟ้าของศาลาเลือดเหล็กเสียได้…”

“หาได้ง่ายดายอย่างเป็นแค่บุรพาจารย์ไม่ ข้าได้ยินมาว่าบุรพาจารย์ป๋ายเพิ่งเลื่อนสู่คนฟ้าได้ไม่นาน แต่กลับสามารถใช้กำลังของคนคนเดียวต่อสู้กับคนฟ้าช่วงกลางสามคน ทั้งยังได้รับความสำคัญจากบุรพาจารย์ครึ่งเทพด้วยนะ”

“น่าเสียดายที่ปีนั้นพวกเราไม่สนิทสนมกับบุรพาจารย์ป๋าย หาไม่แล้วความเจริญรุ่งเรืองในหน้าที่การงานก็เป็นเรื่องที่นับวันรอได้เลย”

ขณะที่คนทั้งสามทอดถอนใจอย่างปลงอนิจจังก็รีบหยิบแผ่นหยกส่งข้อความเสียงออกมาแจ้งข่าวที่ป๋ายเสี่ยวฉุนบินผ่านที่นี่ไปให้สำนักรับรู้

ไม่นานคนไม่น้อยในสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราก็รู้ว่าป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังอยู่ระหว่างการเดินทางกลับ ศาลาเลือดเหล็กก็ยิ่งระดมพลจัดขบวนรอต้อนรับป๋ายเสี่ยวฉุนในทันทีที่ได้รับข่าว

นักพรตศาลาเลือดเหล็กนับแสนคนล้วนปรากฏตัวกันหมด ทั้งยังมีนักพรตที่เป็นทหารของห้ากองพากันมาเยือนด้วยพลังอำนาจเกรียงไกร มองไกลๆ แล้วน่าตกตะลึงอย่างยิ่ง

ส่วนเฉินเห้อเทียนสามคนนั้นกลับเต็มไปด้วยความอึดอัดคับแค้นใจ หลังจากกลับมาก็เลือกปิดด่าน และในเมื่อพวกเขามีท่าทีเช่นนี้ ลูกศิษย์ที่อยู่ใต้สังกัดของพวกเขาก็ย่อมเกิดความลังเล ส่วนหนึ่งเลือกที่จะหลบเลี่ยง แต่ก็ยังมีคนบางส่วนที่ออกไปต้อนรับ

สามารถพูดได้ว่าลูกศิษย์เกินครึ่งของสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราล้วนมารวมอยู่ในขบวนต้อนรับครั้งนี้ ในบรรดานี้มีคนที่ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้จัก แต่ที่มากกว่านั้นกลับเป็นคนแปลกหน้า ทว่า…แม้เขาจะไม่คุ้นเคย แต่คนที่เขาไม่คุ้นเคยเหล่านั้น ทุกวันนี้กลับไม่มีใครที่ไม่รู้จักชื่อของป๋ายเสี่ยวฉุน

“ปีนั้นบุรพาจารย์ป๋ายคือตัวประกันจากสำนักสยบธาร เมื่อมาอยู่ในสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราก็ได้สร้างลมคาวฝนเลือดไว้ไม่น้อยในนครฟ้าเบื้องล่าง”

“ยังมีบนกระดานอันตมรรคาฟ้าดาราอีก ปีนั้นชื่อของคนผู้นี้สร้างความครึกโครมให้กับคนไม่น้อยเลยทีเดียว!”

“ไม่รู้ว่าป๋ายเสี่ยวฉุนคือใคร? รู้จักโรงเตี๊ยมในนครฟ้านั่นใช่ไหม ที่นั่นน่ะเป็นของเขาเอง รัศมีร้อยลี้รอบโรงเตี๊ยมล้วนเป็นที่ดินส่วนตัวของเขาทั้งหมด”

เสียงพูดคุยหลากหลายดังอยู่ในสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราอย่างต่อเนื่อง

นั่นเป็นเพราะก่อนหน้านี้หลังจากที่ป๋ายเสี่ยวฉุนได้รับการแต่งตั้ง ลูกศิษย์ที่อยู่ในสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราต่างก็ยกเรื่องของเขามาพูดคุยกันบ่อยที่สุดอยู่แล้ว และวันนี้เมื่อเขากลับมา เมื่อศาลาเลือดเหล็กจัดขบวนต้อนรับยิ่งใหญ่ขนาดนี้ เสียงวิพากษ์วิจารณ์จึงค่อยๆ กลายเป็นเสียงที่ดังเซ็งแซ่

และขณะที่เสียงอื้ออึงยิ่งดังรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ นี้เอง ทันใดนั้นบุรพาจารย์วัยกลางคนของศาลาเลือดเหล็กที่อยู่บนท้องฟ้าก็พลันเงยหน้าขึ้น คลี่ยิ้มและโบกมือขวาหนึ่งครั้ง

การโบกครั้งนี้ตามมาด้วยเสียงระฆังที่ก้องกังวานออกมาจากสายรุ้งของสำนักอันตมรรคาฟ้าดารา ดังสะท้อนแปดทิศ!

เสียงดังทั้งหมดแปดครั้งคือตัวแทนของความสูงศักดิ์อย่างหาที่เปรียบไม่ได้ สำหรับในสำนักอันตมรรคาฟ้าดารา การลั่นระฆังเก้าครั้งคือขีดจำกัดสูงสุด มีเพียงครึ่งเทพเท่านั้นถึงจะได้รับ ส่วนคนฟ้าก็คือแปดครั้ง!

เมื่อเสียงระฆังดังกึกก้อง บนท้องฟ้าก็เกิดเป็นลูกคลื่น พื้นดินมีแต่เสียงสะท้อน กลบทับเสียงเซ็งแซ่ทั้งหมดเอาไว้ ทำให้ลูกศิษย์ของสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราที่อยู่ในที่แห่งนี้พากันมองไกลๆ ไปยังเงาร่างที่แปลงเป็นรุ้งเส้นยาวซึ่งกำลังทะยานเข้ามาใกล้!

หรือแม้แต่สี่มหานครเบื้องล่างสายรุ้ง เวลานี้ก็ยังมีคนไม่น้อยที่ถึงจะไม่ได้ออกมาต้อนรับ แต่ก็ทอดสายตามองมาไกลๆ

ในบรรดาคนเหล่านี้ไม่ว่าจะเป็นคนที่ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้จักหรือไม่รู้จัก ในใจของทุกคนก็ล้วนมีคลื่นยักษ์ถาโถมไม่ต่างกัน

“ยินดีต้อนรับบุรพาจารย์ป๋าย!” เห็นได้ชัดว่านักพรตของศาลาเลือดเหล็กมีการเตรียมการกันมาก่อน เมื่อคนผู้หนึ่งเงยหน้าขึ้น ไม่นานทุกคนก็พร้อมใจกันเปล่งเสียงจนกลายมาเป็นคลื่นเสียงที่ดังกระหึ่มไปทั้งฟ้าดิน

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version