บทที่ 900 มีเรื่องกับข้า ข้าก็จะไปเล่นงานเฉินเห้อเทียน
ป๋ายเสี่ยวฉุนเหยียบย่างเข้าสู่สำนักอันตมรรคาฟ้าดาราท่ามกลางการต้อนรับอย่างยิ่งใหญ่เอิกเกริก
แม้ว่าบุรพาจารย์ครึ่งเทพจะไม่ออกหน้า แต่ก็ได้ออกคำสั่งจัดแบ่งพื้นที่ส่วนหนึ่งบนสายรุ้งสีครามในสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราให้กลายเป็นพื้นที่ถ้ำสถิตของป๋ายเสี่ยวฉุนโดยเฉพาะ
สายรุ้งเจ็ดสีของสำนักอันตมรรคาฟ้าดารา ผู้ที่มีคุณสมบัติได้อยู่อาศัยบนสายรุ้งสีคราม ก่อนหน้านี้มีเพียงแค่ห้าคน ทว่าตอนนี้กลับมีเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่ง กลายเป็นหกคน!
และที่ยิ่งทำให้ในใจของลูกศิษย์จำนวนนับไม่ถ้วนของสำนักอันตมรรคาฟ้าดารารู้สึกสะท้านสะเทือนก็เพราะพวกเขารู้ว่าป๋ายเสี่ยวฉุน บุรพาจารย์คนใหม่ที่เพิ่งเลื่อนขั้นนี้ไม่ใช่คนฟ้าทั่วไป เพราะอีกฝ่ายสามารถกำราบสามคนฟ้าผู้ยิ่งใหญ่ได้ตั้งแต่ตอนที่เพิ่งเลื่อนขั้นสำเร็จ ทั้งยังสังหารคนฟ้าสามท่านของสำนักแม่น้ำตอนกลางจนไม่มีเหลือ ผลการต่อสู้เช่นนี้ ไม่พูดว่าสยบฟ้า แต่ก็แทบไม่ต่างกันเท่าใดนัก
ผู้ที่แข็งแกร่งขนาดนี้ย่อมมีน้อยคนนักที่คิดจะมีเรื่องด้วย แล้วก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าป๋ายเสี่ยวฉุนบุรพาจารย์คนใหม่ที่เพิ่งเลื่อนขั้นนี้ไม่เพียงแต่มีพลังการต่อสู้น่าครั่นคร้าม ตำแหน่งฐานะและตัวตนของเขาก็ยิ่งเผด็จการ เพราะเป็นถึงบุรพาจารย์คนฟ้าของศาลาเลือดเหล็ก!
ตลอดทั้งสำนักอันตมรรคาฟ้าดารา ศาลาเลือดเหล็กก็เป็นกองกำลังที่แข็งแกร่งมาโดยตลอด ไม่มีใครอยากไปล่วงเกินเหล่าทหารหาญที่ลงสนามรบเข่นฆ่าศัตรูอยู่ที่กำแพงเมืองมานานปีจนปราณแห่งความดุร้ายเหี้ยมหาญแผ่อวลไปทั่วร่าง
มีทั้งพลังในการต่อสู้ และมีทั้งตัวตนที่สูงส่ง บุรพาจารย์คนฟ้าที่เป็นเช่นนี้ย่อมต้องสร้างความครึกโครมให้แก่สำนักอันตมรรคาฟ้าดารา แล้วก็ย่อมต้องกลายเป็นที่จับตามองของคนมากมาย มีแต่คนคิดจะเข้าหามาเยี่ยมเยียนตีสนิท
ดังนั้นหลังจากที่ป๋ายเสี่ยวฉุนกลับมาถึงสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราก็ไม่เคยได้ว่างเว้น สายรุ้งสีครามที่เขาอยู่อาศัยจะต้องมีสหายร่วมสำนักจำนวนมากมาขอพบหน้าแทบทุกวัน
บุรพาจารย์วัยกลางคนของศาลาเลือดเหล็กคือคนที่มาถึงคนแรก เขาพูดคุยยิ้มแย้มกับป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่พักใหญ่ หลังจากที่แสดงเจตจำนงอันดีออกมา เขาก็ได้รับการตอบรับเข้าร่วมเป็นพันธมิตรจากป๋ายเสี่ยวฉุน นั่นถึงทำให้เขาจากไปด้วยรอยยิ้ม
จากนั้นคนที่สองที่มาเยือนก็คือเด็กชายคนฟ้าที่อยู่บนสายรุ้งแดนฟ้าผู้นั้น ในใจเขาเองก็กระอักกระอ่วนไม่น้อย พอมาถึงก็ทักทายปราศรัยเป็นพิธีอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะแสดงท่าทีถึงความเป็นมิตร ขณะเดียวกันก็พูดอย่างชัดเจนว่านับแต่วันนี้เป็นต้นไป ตนจะไม่ยื่นมือเข้าแทรกเรื่องใดๆ ของสำนักสยบธารอีก สำนักสยบธารเองก็ไม่จำเป็นต้องแสดงความกตัญญูต่อเขา พอเจรจาในสิ่งที่ต้องการเสร็จถึงได้จากไป
และคนที่ตามมาหลังจากนั้นก็คือเหล่าก่อกำเนิดในสำนักอันตมรรคาฟ้าดารา นักพรตก่อกำเนิดเหล่านี้ต่างก็มีท่าทางเคารพนอบน้อม มาพบหน้าพร้อมของขวัญที่ติดไม้ติดมือมาด้วย ขณะเดียวกันก็แสดงความต้องการว่าอยากจะใกล้ชิดสนิทสนมกับป๋ายเสี่ยวฉุน ซึ่งในบรรดานี้มีหลายคนที่เป็นผู้แข็งแกร่งก่อกำเนิดของสายรุ้งแดนฟ้า ในใจพวกเขาซับซ้อนอย่างยิ่ง ทว่าภายนอกกลับเผยแต่ความเคารพยำเกรงออกมามากกว่าเก่า
สำหรับเรื่องแบบนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนคุ้นเคยเป็นอย่างดี ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเขามีประสบการณ์กับเรื่องทำนองนี้ไม่น้อย ยิ่งตอนที่อยู่ในแดนทุรกันดาร ด้วยตัวตนที่สูงศักดิ์ทำให้เขาฝึกฝนวิธีการจัดการเรื่องราวที่ทำให้คนหาข้อเสียอะไรมาตำหนิไม่ได้จนเชี่ยวชาญ
สำหรับพวกคนที่มาเยือน บางคนเขาก็ใช้การเสียดสี บางคนก็ใช้ความเย็นชา บางคนใช้ความกระตือรือร้น บางคนพูดคุยด้วยรอยยิ้มสนุกสนาน และวิธีการที่เขาจัดการเรื่องราวก็ถูกพวกคนฟ้าที่อยู่บนสายรุ้งสีครามจับตามองกันอยู่นานแล้ว
โดยเฉพาะพวกเฉินเห้อเทียนสามคนที่แค่นเสียงเย็นอยู่ในใจ แต่กลับทำได้แค่ข่มกลั้นอารมณ์เอาไว้ รู้ว่าป๋ายเสี่ยวฉุนในเวลานี้กำลังมีหน้ามีตา ยากที่พวกเขาจะต้านทานได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ก็สู้หลีกเลี่ยงการปะทะจะดีกว่า
ส่วนป๋ายเสี่ยวฉุนนั้น เมื่ออยู่ต่อหน้าคนที่มาเยี่ยมเยียนตลอดช่วงระยะเวลาหลายวันที่ผ่านมา มีบางคนที่เขากระตือรือร้นอย่างจริงใจ หนึ่งในนั้นก็คือเฝิงโหย่วเต้าที่เมื่อคราวนั้นได้รับการบอกเป็นนัยจากตู้หลิงเฟยจึงคอยให้การดูแลช่วยเหลือป๋ายเสี่ยวฉุนเป็นอย่างดี
ของขวัญที่เฝิงโหย่วเต้าเตรียมมา สามารถพูดได้ว่าอุดมสมบูรณ์พูนล้นอย่างถึงที่สุด เพราะเขารู้สึกว่าตัวเองช่างโชคดียิ่งนักที่ปีนั้นพอตนดูแลป๋ายเสี่ยวฉุน ตู้หลิงเฟยก็ได้ทำตามสัญญา จึงทำให้ถึงแม้ตอนนี้ตบะของเขาจะไม่ใช่คนฟ้า แต่กลับขยับเข้าไปใกล้มากแล้ว
และไม่ว่าอย่างไรเขาก็คาดไม่ถึงมาก่อนว่าการกระทำของตนในปีนั้นจะได้รับการตอบแทนเป็นครั้งที่สองในวันนี้ เมื่อเขาได้ยินว่าป๋ายเสี่ยวฉุนกลายเป็นคนฟ้า เขาก็ตื่นเต้นดีใจอยู่เป็นนาน
“ทำดีได้ดีจริงๆ” เฝิงโหย่วเต้าที่ปลงอนิจจังมีความเคารพยำเกรงต่อป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างถึงที่สุด จนกระทั่งป๋ายเสี่ยวฉุนเดินออกมาส่งเขาด้วยตัวเอง เขาก็รู้สึกเหมือนร่างของตัวเองลอยได้อย่างไรอย่างนั้น
จนกระทั่งผ่านไปได้สามวัน คนที่มาเยี่ยมเยียนก็ไม่มากดังเดิมอีกแล้ว แต่ป๋ายเสี่ยวฉุนกลับรู้สึกเสียดาย เพราะสามวันมานี้เขาไม่รู้สึกเบื่อหน่ายหรือรังเกียจแม้แต่น้อย กลับกันคือมีความสุขจนไม่รู้สึกถึงความเหน็ดเหนื่อย ยินดีอย่างล้นเหลือ
และเมื่อได้พูดคุยกับคนเหล่านี้ ทำให้ถึงแม้ป๋ายเสี่ยวฉุนจะไม่รู้เรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นในสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราหลังจากที่ตัวเองจากไป แต่ก็เข้าใจมากถึงเจ็ดแปดส่วน
อีกทั้งยังมีความเข้าใจใหม่ต่อศาลาเลือดเหล็ก สามารถพูดได้ว่าบุรพาจารย์ของศาลาเลือดเหล็กเดิมทีก็เป็นผู้อาวุโสอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าไม่ใช่ผู้อาวุโสทั่วไป แต่เป็นถึงผู้อาวุโสไท่ซ่าง
ซึ่งตลอดทั้งสำนักอันตมรรคาฟ้าดารา ผู้อาวุโสไท่ซ่างทั้งหมดที่หากรวมเขาเข้าไปด้วยก็มีแค่หกคนเท่านั้น ลูกน้องใต้บังคับบัญชาของพวกเขาทั้งหกต่างก็มีผู้อาวุโสก่อกำเนิดอยู่ไม่น้อย ซึ่งทั้งหมดก็เกือบๆ หนึ่งร้อยคน และคนเหล่านี้ก็ได้รวมตัวกันขึ้นมาเป็น…สภาผู้อาวุโสแห่งสำนักอันตมรรคาฟ้าดารา!
อำนาจของสภาผู้อาวุโสมีสูงมาก ภายใต้สถานการณ์ที่บุรพาจารย์ครึ่งเทพไม่ยื่นมือเข้าแทรก พวกเขาก็สามารถตัดสินเรื่องราวทุกอย่างรวมไปถึงทิศทางการดำเนินการในสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราได้ด้วยตัวเอง!
คนฟ้าสี่คนที่อยู่ในนี้อย่างเฉินเห้อเทียน ป๋ายเจิ้นเทียน หลี่เสี่ยนเต้าและเด็กชายคนฟ้า อำนาจหลักของพวกเขาก็คือคอยจัดการดูและเรื่องภายในของสำนักอันตมรรคาฟ้าดารารวมไปถึงเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ทั้งหมดที่อยู่ในขอบข่าย ไม่ว่าจะเป็นการตรวจสอบควบคุมสำนักใต้บังคับบัญชา หรือการผูกสัมพันธไมตรีกับสำนักต้นน้ำแห่งอื่นๆ แม้กระทั่งการติดต่อกับเกาะทงเทียนก็ล้วนอยู่ในขอบเขตอำนาจของพวกเขาสี่คนทั้งสิ้น
เรื่องเล็กเรื่องใหญ่จำนวนนับไม่ถ้วน พวกเขาทั้งสี่มีสิทธิ์ในการจัดการทั้งหมด มีเพียงเรื่องเดียว…ที่พวกเขาไม่สามารถตัดสินใจได้ นั่นก็คือการทำสงคราม!
สงคราม…มีเพียงศาลาเลือดเหล็กเท่านั้นที่มีสิทธิ์ตัดสินใจ เดิมทีมีเพียงคนฟ้าวัยกลางคนผู้นั้นที่เป็นคนชี้คำขาด ทว่าตอนนี้กลับมีป๋ายเสี่ยวฉุนเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคน การตัดสินใจของพวกเขาทั้งสองสามารถทำให้สำนักใหญ่อย่างสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราที่สืบทอดต่อกันมานานหลายหมื่นปีนี้เดินไปสู่สงครามสะท้านฟ้าสะเทือนดินครั้งหนึ่งได้
แน่นอนว่าทุกอย่างนี้ต้องอยู่ในสถานการณ์ที่บุรพาจารย์ครึ่งเทพไม่ยื่นมือเข้าแทรก ยกตัวอย่างเช่นศึกที่กำแพงเมือง ยกตัวอย่างเช่นความขัดแย้งที่มีต่อศัตรูภายนอก ทุกอย่างนี้ล้วนมีศาลาเลือดเหล็กเป็นผู้รับผิดชอบ
ขณะเดียวกันตำแหน่งและฐานะที่สูงส่งเพียงนี้ก็ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนมีสิทธิ์ได้ตรวจสอบเรื่องราวมากมายที่ก่อนหน้านี้เขาไม่มีสิทธิ์ได้รับรู้
ยกตัวอย่างเช่น…เกาะทงเทียน!
ยกตัวอย่างเช่น…ตัวตนทูตทงเทียนของตู้หลิงเฟย!
ยกตัวอย่างเช่น…การคัดเลือกบุคคลจากทั่วพื้นที่เขตแม่น้ำทงเทียนซึ่งโหวเสี่ยวเม่ยและกุ่ยหยาถูกพาตัวไป!
เมื่อสรุปเอาจากเรื่องราวที่ได้ทำความเข้าใจในแดนทุรกันดาร ตอนนี้เกาะทงเทียนในสายตาของป๋ายเสี่ยวฉุนจึงไม่มีปริศนาอะไรมากมายอีกแล้ว แม้จะไม่เข้าใจทุกรายละเอียดอย่างแน่ชัด แต่เขาก็รู้เรื่องเกินครึ่งแล้ว
เทียนจุนก็คือจักรพรรดิในพื้นที่เขตแม่น้ำทงเทียนอย่างแท้จริง!
สี่สำนักใหญ่ต้นแม่น้ำก็คล้ายสี่ราชาสวรรค์ผู้ยิ่งใหญ่ในแดนทุรกันดารที่ต่างก็ได้ครอบครองพื้นที่กว้างใหญ่มีอาณาจักรเป็นของตัวเอง!
ส่วนเกาะทงเทียนก็คือที่ตั้งพระราชวังของเทียนจุน และตู้หลิงเฟย…ก็คือทูตของทงเทียน ยามที่ออกมาข้างนอก ตัวตนของนางเทียบเคียงได้กับครึ่งเทพของสำนักต้นน้ำ!
และยังมีการคัดเลือกที่พวกโหวเสี่ยวเม่ยเข้าร่วม ซึ่งต่อให้ป๋ายเสี่ยวฉุนใช้ตัวตนปัจจุบันไปตรวจสอบก็ยังหาพิรุธใดๆ ไม่พบ ราวกับว่าทุกอย่างล้วนเป็นเรื่องที่ปกติดี
“เมื่อหลายปีก่อนตู้หลิงเฟย…ได้ไปจากสำนักอันตมรรคาฟ้าดารา กลับไปยัง…เกาะทงเทียนแล้ว” ป๋ายเสี่ยวฉุนวางแผ่นหยกในมือลง ในใจของเขาเริ่มพอมีการคาดเดาอะไรบางอย่างเกี่ยวกับตัวตนที่สองนอกจากจะเป็นทูตทงเทียนของตู้หลิงเฟยแล้ว
เมื่อการคาดเดานี้แวบเข้ามาในสมองของเขาก็ถูกเขาระงับไว้ทันที สีหน้าก็เริ่มเปลี่ยนมาเป็นแปลกประหลาด ผ่านไปพักใหญ่ ป๋ายเสี่ยวฉุนถึงได้กะพริบตาปริบๆ ไอแห้งๆ หนึ่งครั้ง
“หากข้าเดาได้ถูกต้องจริงๆ …มันก็น่าตกใจเกินไปแล้ว” ป๋ายเสี่ยวฉุนลูบคลำจมูก ก่อนจะโบกมือเก็บแผ่นหยกแผ่นนั้นลงไป หลังจากที่กลายเป็นผู้อาวุโสไท่ซ่างคนฟ้า สามารถพูดได้ว่าตลอดทั้งสำนักอันตมรรคาฟ้าดารา เว้นเสียแต่คนที่มีตำแหน่งระดับเดียวกับเขาแล้ว ทุกความลับของทุกคนล้วนไม่มีทางหนีพ้นสายตาของเขาไปได้เลย
จากจุดนี้ก็สามารถมองออกว่าเมื่อตบะกลายมาเป็นคนฟ้า ตอนนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนที่อยู่ในสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราก็ถือว่าเป็นคนใหญ่คนโตได้อย่างแท้จริง ซึ่งลูกศิษย์จำนวนนับไม่ถ้วนได้แต่แหงนหน้ามองเขาด้วยความยำเกรง
และป๋ายเสี่ยวฉุนก็ดื่มด่ำไปกับความรู้สึกเช่นนี้มาก หากเปลี่ยนมาเป็นเวลาอื่น เขาย่อมต้องจัดหาเวลาพิเศษให้ตัวเองไปเดินเตร่อยู่ในสำนักสักรอบหนึ่งเพื่อเสพสุขไปกับสายตากระตือรือร้นอันเร่าร้อนที่คนอื่นๆ มองมา
แต่ตอนนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่มีอารมณ์นั้น สามวันที่ผ่านมานี้ ข้อมูลที่เขาได้มาจากคนที่มาพบปะและได้มาจากอำนาจการตรวจสอบในมือของตัวเอง แม้จะทำให้เขาเข้าใจเรื่องราวในสำนักไม่น้อย แต่กลับไม่ได้ข่าวคราวของจางต้าพั่งและสวีเป่าไฉ
คนทั้งสองนี้เหมือนหายสาบสูญไปอย่างไรอย่างนั้น ไม่เคยปรากฏตัวแม้แต่ครั้งเดียว ต่อให้ป๋ายเสี่ยวฉุนถามเฝิงโหย่วเต้า อีกฝ่ายก็ยังไม่รู้เรื่องรู้ราว รู้แค่ว่าเมื่อหนึ่งปีก่อน อยู่ดีๆ คนทั้งสองก็หายตัวไป
ป๋ายเสี่ยวฉุนตระหนักได้ทันทีว่าเรื่องที่ทำให้ตนตรวจสอบไม่พบ มีความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียวคือ…เรื่องนี้ต้องเกี่ยวข้องกับคนฟ้า!
และก็มีเพียงคนอีกห้าคนที่เป็นบุรพาจารย์คนฟ้าและเป็นผู้อาวุโสไท่ซ่างซึ่งมีตำแหน่งและฐานะทัดเทียมกับป๋ายเสี่ยวฉุนเท่านั้นถึงจะมีคุณสมบัติทำให้คนอื่นๆ ตรวจสอบเรื่องราวไม่พบ
แต่ว่าจางต้าพั่งและสวีเป่าไฉต่างก็มีแผ่นชะตาชีวิตอยู่ในสำนักสยบธาร
ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้ว่าคนทั้งสองไม่มีอันตรายถึงชีวิต ในใจจึงไม่ได้ร้อนรนมากนัก ยามนี้จึงแค่เชิดคางขึ้น แค่นเสียงเย็น
“ข้าหาคนไม่เจอไม่เป็นไร ข้าจะไปหาตาแก่เฉินเห้อเทียนนั่นเอง หึหึ ต่อไปใครกล้ามามีเรื่องกับข้า ข้าก็จะซัดเขาเมื่อนั้น!” สำหรับเฉินเห้อเทียน ป๋ายเจิ้นเทียนและหลี่เสี่ยนเต้าสามคน เห็นได้ชัดว่าป๋ายเสี่ยวฉุนเคียดแค้นเฉินเห้อเทียนยิ่งกว่าใคร นั่นเป็นเพราะเรื่องเมื่อครั้งที่อยู่กำแพงเมืองทำเอาป๋ายเสี่ยวฉุนเจ็บแค้นเป็นนานตอนไปอยู่ในแดนทุรกันดาร