Skip to content

A Will Eternal 901

บทที่ 901 เฉินเห้อเทียน

“ปีนั้นตอนอยู่แดนทุรกันดารข้าก็สาบานไว้แล้วว่าต้องแก้แค้นให้จงได้!”

ป๋ายเสี่ยวฉุนเชิดหน้าขึ้นอย่างเย่อหยิ่ง ในใจตัดสินใจแล้วว่าปีนั้นตอนอยู่กำแพงเมือง เฉินเห้อเทียนทำเกินไป ไม่เพียงตอบแทนบุญคุณด้วยความแค้น แต่ยังบีบให้เขาต้องไปสุสานใต้ดิน แถมพอรังแกเขาเสร็จยังกลับไปรังแกสำนักสยบธารของเขาอีกด้วย

“หึหึ เฉินเห้อเทียน หาใช่ว่าข้าป๋ายเสี่ยวฉุนเป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้น แต่เพราะเจ้ารังแกกันมากเกินไป เรื่องนี้เอาตามนี้แหละ ใครกล้าหาเรื่องข้า ข้าก็จะไปซัดเฉินเห้อเทียนให้อ่วม!” ป๋ายเสี่ยวฉุนสะบัดปลายแขนเสื้อเบาๆ มีความรู้สึกว่าตนในวันน็คือบุคคลผู้ยิ่งใหญ่

“หาจางต้าพั่งไม่เจอ ข้าไปตีเฉินเห้อเทียน!”

“มีคนกล้าคิดไม่ซือกับสำนักสยบธาร ข้าไปตีเฉินเห้อเทียน!”

“มีคนถลึงตาใส่ข้า ข้าไปตีเฉินเห้อเทียน!”

“มีคนกล้าเล่นงานข้า ข้าไปตีเฉินเห้อเทียน!” ป๋ายเสี่ยวฉุนพึมพำเบาๆ ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่านี่เป็นความคิดที่ยอดเยี่ยมยิ่งนัก คนธรรมดาทั่วไปไม่มีทางคิดได้อย่างเขาแน่ๆ

ยิ่งพอคิดว่าวันหน้าตนที่อยู่ในสำนักต้องทำให้เฉินเห้อเทียนคลุ้มคลั่งเพราะเรื่องนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยิ่งห้าวเหิมเข้าไปใหญ่

และในความเป็นจริงก็เป็นเช่นนี้ แม้ว่าเขาจะสังหารเฉินเห้อเทียนไม่ได้ แต่หากทำตามความคิดของเขา ขอแค่มีใครกล้ามาหาเรื่องเขา เขาก็จะไปตีกับเฉินเห้อเทียน ซึ่งเรื่องนี้ต้องทำให้เฉินเห้อเทียนเป็นบ้าได้แน่นอน

เพราะแม้ว่าเฉินเห้อเทียนจะเป็นคนฟ้าช่วงกลาง แต่หากวัดกันด้านพลังในการต่อสู้ อีกฝ่ายก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของป๋ายเสี่ยวฉุนเลย

ยิ่งก่อนหน้านี้ที่ป๋ายเสี่ยวฉุนรบกับคนฟ้าห้าท่าน เขาได้สังหารคนไปสองคนและทำให้อีกสามคนบาดเจ็บสาหัส ภาพเหตุการณ์เหล่านี้ก็ได้ทำให้เฉินเห้อเทียนหวาดผวาอยู่นานแล้ว

หาไม่แล้ววันนี้ที่ป๋ายเสี่ยวฉุนกลับมายังสำนักอันตมรรคาฟ้าดารา เขาก็คงไม่เลือกปิดด่าน ซึ่งไม่เพียงแต่เขาเท่านั้นที่เป็นเช่นนี้ แม้แต่ป๋ายเจิ้นเทียน หลี่เสี่ยนเต้าก็ทำเช่นเดียวกัน

แต่เฉินเห้อเทียนยังไม่รู้จักนิสัยของป๋ายเสี่ยวฉุนดีพอ…นี่จึงทำให้แม้แต่ฝันเขาก็ยังคิดไม่ถึงว่า เขาอุตส่าห์หลบหน้าป๋ายเสี่ยวฉุนแล้ว ทว่าปัญหาก็ยังคงตามมาอยู่ดี…

ป๋ายเสี่ยวฉุนที่พอสะบัดปลายแขนเสื้อเบาๆ ก็ทะยานตัวออกไปจากที่พักตนเอง ตรงดิ่งไปยัง…ที่พักของเฉินเห้อเทียนบนสายรุ้งสีคราม และแปบเดียวก็ขยับเข้าไปใกล้

เฉินเห้อเทียนอาศัยอยู่ทางทิศใต้ของสายรุ้งสีคราม กลางพื้นที่ที่กว้างขวางมีหอเรือนหรูหราจำนวนมากมายตั้งตระหง่าน ผู้ที่อาศัยอยู่ที่นี่ไม่ได้มีแค่เฉินเห้อเทียนคนเดียว แต่เขายังมีสิทธิ์พาคนส่วนหนึ่งในตระกูลให้มาอาศัยอยู่ที่นี่ด้วย

เรื่องนี้คนอื่นๆ ก็ทำเช่นเดียวกัน ซึ่งถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติไปแล้ว

และตรงจุดศูนย์กลางของสิ่งปลูกสร้างอันหรูหราเหล่านี้ก็มีทะเลสาบสายรุ้งอยู่แห่งหนึ่ง น้ำของทะเลสาบใสกระจ่างจนมองเห็นก้นทะเลสาบ ด้านในมีปลาสีทองว่ายวน ทั้งๆ ที่เห็นอยู่ว่าที่นี่คือสายรุ้ง แต่กลับมีทะเลสาบได้ นับว่ามหัศจรรย์อย่างยิ่ง

ข้างทะเสาบมีกระท่อมไม้หลังหนึ่งที่ดูธรรมดาเรียบง่ายอย่างมาก ทว่าที่แห่งนี้กลับเป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ของตระกูลเฉิน เพราะเฉินเห้อเทียนผู้มีขอบเขตคนฟ้า บุรพาจารย์ของพวกเขาพักอาศัยอยู่ในกระท่อมไม้หลังนี้

ยามนี้เมื่อป๋ายเสี่ยวฉุนทะยานตัวมาพร้อมเสียงอากาศระเบิดดังลั่น สายฟ้าที่ผ่าเปรี้ยงไปรอบด้านอย่างต่อเนื่องก็ทำให้เมฆและลมซัดปั่นป่วน ฟ้าดินเกิดเป็นคลื่นบิดเบือนซึ่งแผ่ขยายออกไปเป็นวงกว้าง

ภาพนี้ดึงดูดความสนใจจากลูกศิษย์ที่อยู่บนสายรุ้งเส้นอื่นและลูกศิษย์ที่อยู่ใกล้กระดานอันตมรรคาฟ้าดาราได้ทันที เมื่อพวกเขาได้ยินเสียงดังสนั่นหวั่นไหวนั่นก็พากันเงยหน้าขึ้นมองด้วยความแปลกใจ

“เสียงอะไรน่ะ!”

“นั่นมัน…บุรพาจารย์ป๋าย?”

ในขณะที่คนเหล่านี้แปลกใจ คนของตระกูลเฉินจำนวนไม่น้อยที่อยู่ในขอบเขตของตระกูลเฉินก็ได้ยินเสียงที่ดังปานฟ้าผ่านี้เช่นกัน ทุกคนใจสั่นระรัว เมื่อพร้อมใจกันหันไปมองก็เห็นเงาร่างหนึ่งที่พุ่งทะยานมาอย่างรวดเร็วราวกับดาวตก พริบตาเดียวก็พุ่งผ่านความว่างเปล่าที่อยู่ห่างไกลมาลอยตัวอยู่บนอากาศเหนือตระกูลเฉินของพวกเขา

เมื่อปรากฏกาย พลานุภาพสยบจากคนฟ้าขุมหนึ่งก็แผ่ครืนครั่นไปแปดทิศ ทำเอาจิตวิญญาณของคนตระกูลเฉินทั้งหมดสั่นสะท้านกันอย่างบ้าคลั่ง แม้แต่ตบะก็ยังยุ่งเหยิงปั่นป่วนไปเพราะพลานุภาพสยบจากปณิธานคนฟ้าขุมนี้

เงาร่างนั้นมองดูแล้วขาวสะอาดสะอ้าน แต่สีหน้ากลับเคร่งขรึมยิ่ง ร่างของเขาไม่สูงมากนัก แต่เวลานี้กำลังเอามือไพล่หลัง เชิดคางขึ้น เผยสีหน้าราวกับเป็นสุดยอดผู้แข็งแกร่งระบือโลก เขาก็คือ…ป๋ายเสี่ยวฉุน!

“เฉินเห้อเทียน เจ้าจงโผล่หัวออกมาให้นายท่านป๋ายของเจ้าพบเดี๋ยวนี้!”

ป๋ายเสี่ยวฉุนเห็นว่าการมาเยือนของตัวเองดึงดูดความสนใจจากคนได้มากมายก็ยิ่งลำพองใจ พออ้าปากได้ก็แผดเสียงตะโกนดังลั่น

เขาจงใจเอาปณิธานผสานรวมเข้ากับฟ้าดิน แทนที่ปณิธานฟ้า พอตะโกนออกมาเช่นนี้ น้ำเสียงของเขาก็ยิ่งดังเกินอสนีบาตซึ่งระเบิดสนั่นหวั่นไหวก้องไปทั้งสายฟ้าสีครามจนก่อเกิดเป็นแรงโจมตีขุมหนึ่งที่พัดกวาดตะลุยไปแปดทิศ ทำเอาคนจำนวนมากของตระกูลเฉินหน้าเปลี่ยนสีอย่างหนัก แก้วหูทั้งสองข้างสั่นสะเทือน ถอยหลังกรูดอย่างพร้อมเพรียงกันด้วยความหวาดผวา

เสียงของป๋ายเสี่ยวฉุนไม่เพียงแต่ดังก้องอยู่บนท้องฟ้าสีครามจนลูกศิษย์รอบกระดานอันตมรรคาฟ้าดาราได้ยินกันถ้วนทั่วเท่านั้น มันยังดังออกไปจนสายรุ้งอื่นๆ ก็พอจะได้ยินแว่วๆ ใครก็ตามที่ได้ยินเสียงเขาต่างก็ใจสั่นสะท้านอย่างบ้าคลั่งทันที

“นี่ผู้อาวุโสป๋ายเขา…มาหาเรื่องผู้อาวุโสเฉินหรอกหรือ?”

“ฟังจากน้ำเสียงของผู้อาวุโสป๋าย หรือว่าเขาจะเปิดศึกกันแล้ว!!” นักพรตแต่ละคนของสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราต่างก็รู้สึกเหลือเชื่อ ทั้งยังมีคนไม่น้อยที่รีบบินออกมาหมายดูว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกันแน่ ต้องรู้ว่านี่คือในสำนัก ต่อให้ระหว่างคนฟ้าจะมีความขัดแย้งต่อกัน แต่ส่วนใหญ่แล้วจะไม่มีทางมาปะทะกันซึ่งๆ หน้าแบบนี้

เสียงของป๋ายเสี่ยวฉุนดังขนาดนักพรตบนสายรุ้งสีอื่นต่างก็ได้ยิน เฉินเห้อเทียนที่นั่งขัดสมาธิอยู่ในกระท่อมไม้ก็ย่อมไม่ใช่ข้อยกเว้น เขาลืมตาอยู่นานแล้ว สีหน้านั้นเกรี้ยวกราด นัยน์ตาก็ยิ่งฉายแสงเย็นเยียบ

หากเปลี่ยนมาเป็นคนอื่นที่ทำเช่นนี้ หรือหากเป็นก่อนหน้าที่ศึกสำนักสยบธารจะเกิดขึ้น เขาย่อมเดินออกไปสังหารคนที่กล้ามากำเริบเสิบสานอย่างไม่ยำเกรงนานแล้ว แต่ว่าตอนนี้เขาได้แต่กัดฟัน เพราะรู้ดีถึงพลังการต่อสู้ที่น่าตะลึงของป๋ายเสี่ยวฉุน รู้ดีว่าตนคนเดียวย่อมไม่ใช่คู่ต่อสู้ของอีกฝ่าย

ทว่าขณะที่เฉินเห้อเทียนตัดสินใจที่จะข่มอารมณ์นั้นเอง ป๋ายเสี่ยวฉุนที่อยู่ข้างนอกก็พลันไม่สบอารมณ์ เสียงของเขาจึงดังขึ้นมาอีกครั้ง

“เฉินเห้อเทียน ทำไมเล่า เจ้าคือคนฟ้า ข้าเองก็เป็นคนฟ้า ข้ามาเยือนถึงบ้านเจ้าแล้ว แต่เจ้ากลับไม่คิดจะออกมาต้อนรับขับสู้? รังแกกันเกินไปแล้ว!!”

ป๋ายเสี่ยวฉุนแสร้งทำเป็นเดือดดาล พูดจบก็เดินออกไปหนึ่งก้าว เหยียบเข้าไปในพื้นที่ของตระกูลเฉิน ตรงดิ่งเข้าหากระท่อมไม้ของเฉินเห้อเทียน

คนที่อยู่รอบด้านอกสั่นขวัญขวา ได้แต่มอง ไม่กล้าขัดขวาง

เมื่อเห็นว่าป๋ายเสี่ยวฉุนร่ายใช้ความเร็วน่าตะลึงจนเกิดเสียงที่ดังเกินฟ้าผ่า และกำลังจะเข้าไปใกล้กระท่อมไม้ในทะเลสาบ อีกทั้งตอนที่ป๋ายเสี่ยวฉุนขยับเข้าไปใกล้ ทะเลสาบก็ยังมีลูกคลื่นจำนวนนับไม่ถ้วนโถมตัวขึ้นมา ปลาสีทองตัวเล็กตัวน้อยที่อยู่ในนั้นต่างก็ตัวสั่นเทิ้ม พากันจมดิ่งลงสู่ก้นทะเลสาบ ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมอง

“ป๋ายเสี่ยวฉุน เจ้าคิดจะทำอะไร!!” ในที่สุดเฉินเห้อเทียนก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป เขาพลันเงยหน้าขึ้น สะบัดร่างหนึ่งครั้งก็มาปรากฏตัวอยู่กลางอากาศ ก่อนจะยกมือขวาขึ้นโบกจนลมพายุบ้าคลั่งลูกหนึ่งกระแทกเข้าใส่ป๋ายเสี่ยวฉุน

ทว่าวินาทีที่เขาลงมือนั้น ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ได้เหวี่ยงหมัดออกไปปะทะกับลมพายุของเฉินเห้อเทียนแล้วเช่นกัน เสียงครืนๆ จึงดังเกริกก้องไปทั้งฟ้าดิน

ท่ามกลางเสียงดังสนั่นหวั่นไหว เฉินเห้อเทียนร้องอึกอักอยู่ในลำคอ ถอยกรูดไปข้างหลังหลายก้าว ทว่าป๋ายเสี่ยวฉุนกลับสีหน้าเป็นปกติ ด้วยระดับความแข็งแกร่งของเรือนกายเขาจึงไม่แยแสการโจมตีครั้งนี้แม้แต่น้อย ทั้งยังพุ่งเข้าไปเข่นฆ่าติดๆ อย่างไม่ยอมรามือ

“ทำอะไรงั้นรึ? เฉินเห้อเทียน เรื่องที่เจ้าทำไว้ เจ้าต้องรู้ดีอยู่แก่ใจ!” น้ำเสียงของป๋ายเสี่ยวฉุนดังกังวาน ความเร็วก็ยิ่งน่าครั่นคร้าม พริบตาเดียว็ขยับเข้ามาใกล้เฉินเห้อเทียนอีกครั้ง

เฉินเห้อเทียนสีหน้าดำคล้ำอย่างถึงที่สุด หลังจากยกมือทั้งคู่ขึ้นทำมุทราและปะทะกับป๋ายเสี่ยวฉุน เสียงกัมปนาทก็ระเบิดขึ้นมาอีกครั้ง คราวนี้เขาถอยไปไกลยิ่งกว่าเดิม ทว่าป๋ายเสี่ยวฉุนกลับยังพุ่งเข้ามาจู่โจมด้วยพลังอำนาจน่าตะลึงเช่นเดิม

เงาร่างเช่นนี้ พลังอำนาจเช่นนี้ทำให้เฉินเห้อเทียนร้องโอดครวญอยู่ในใจ หัวคิ้วขมวดเป็นปม ความเดือดดาลในใจก็ยิ่งเข้มข้น ทว่ากลับถูกเขาข่มกลั้นเอาไว้ ขณะที่ก้าวถอยหลังก็พูดรัวเร็วไปด้วย

“ป๋ายเสี่ยวฉุน เรื่องสำนักสยบธารของเจ้า บุรพาจารย์ครึ่งเทพได้ออกคำสั่งแล้ว บุรพาจารย์ธารมรรคาและธาราดาก็ล้วนถูกเจ้าฆ่าไปแล้ว เจ้าจะเอายังไงอีก!! อีกอย่างเรื่องที่กำแพงเมืองในปีนั้นก็เป็นแค่อุบัติเหตุ!”

“เรื่องในวันนี้ไม่เกี่ยวกับสำนักสยบธารและกำแพงเมือง เฉินเห้อเทียน เจ้าอย่าแสร้งทำเป็นไขสือ!” ป๋ายเสี่ยวฉุนแกล้งตะคอกอย่างเกรี้ยวกราด ผนึกมิวางวายพลันถูกร่ายใช้ ความเร็วระเบิดออกในชั่วพริบตา จู่ๆ ก็ขยับเข้ามาใกล้เฉินเห้อเทียน เมื่อมือขวาของเขายกขึ้นชี้หนึ่งครั้ง ไอความเย็นก็แผ่อวลไปรอบด้าน ก่อนที่เงาน้ำแข็งทั้งเก้าจะจำแลงออกมาพร้อมกัน ครั้นจึงล้อมวนไปรอบกายเฉินเห้อเทียน ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็พุ่งทะลวงเข้าไปหาเขา

เฉินเห้อเทียนหน้าเปลี่ยนสี มือทั้งคู่โบกสะบัดออกไปรอบนอก ทันใดนั้นม่านแสงสีดำชั้นหนึ่งก็สกัดกั้นเงาน้ำแข็งทั้งเก้าเอาไว้ ส่วนตัวเขาก็ฉวยโอกาสนี้ถอยไปข้างหลัง ในใจเจ็บแค้นอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ ทว่าความโกรธเกรี้ยวมีมากกว่าจึงแผดเสียงคำรามอย่างทนไม่ไหว

“ป๋ายเสี่ยวฉุน เจ้าจะเอายังไงกันแน่!! ข้าผู้อาวุโสแกล้งไขสืออะไร เจ้าพูดมาให้ชัดเจน!”

“เจ้าทำเรื่องไร้คุณธรรมเอง ยังมีหน้ามาถามข้าอีกรึ เฉินเห้อเทียนวันนี้ข้าป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ยอมเลิกรากับเจ้าง่ายๆ แน่!” ป๋ายเสี่ยวฉุนที่เห็นว่าเสียงคำรามของเฉินเห้อเทียนดังกังวานยิ่งกว่าตนก็ไม่พอใจเอามากๆ ดังนั้นจึงใช้เสียงที่ดังมากกว่าคำรามออกมาอย่างเดือดดาลไม่ต่างกัน

“เจ้า…เจ้า!!” เฉินเห้อเทียนได้ยินเสียงตะโกนของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยิ่งโมโหหนักเข้าไปอีก เขาพอจะมองออกแล้วว่าป๋ายเสี่ยวฉุนไม่น่าจะมาเพราะเรื่องของสำนักสยบธาร แต่ไม่ว่าอย่างไรเขาก็คิดไม่ออก เพราะตั้งแต่ตนกลับมาก็ปิดด่านไม่เคยไปหาเรื่องอีกฝ่าย แต่ป๋ายเสี่ยวฉุนกลับด่าเขาว่าไร้คุณธรรมอย่างนั้นอย่างนี้

นี่จึงทำให้ในใจของเฉินเห้อเทียนใกล้จะระเบิดเต็มทีแล้ว

ความรู้สึกเช่นนั้นคือ…แต่ไรไหนมาตนเป็นคนรังแกผู้อื่น แต่มาวันนี้กลับเป็นฝ่ายโดนคนอื่นรังแกแทน…

“ป๋ายเสี่ยวฉุน เจ้ารังแกกันมากเกินไปแล้ว!!!” เฉินเห้อเทียนคำรามดังลั่น ในใจก็ให้กลัดกลุ้มยิ่งนัก มาจนถึงตอนนี้เขายังไม่รู้เลยว่าตนเคยไปหาเรื่องอะไรอีกฝ่าย

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version