Skip to content

A Will Eternal 902

บทที่ 902 ไม่ใช่ข้าผู้อาวุโส! ไม่ใช่!

“ข้ารังแกเจ้ามากเกินไป? เฉินเห้อเทียน เจ้ามันเหลือทนเกินไปแล้ว!”

ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็ไม่ยอมแพ้เหมือนกัน ระหว่างที่คำรามจึงไล่กวดตามเฉินเห้อเทียนไปแล้วลงมืออีกครั้ง คนทั้งสองปะทะกันอยู่บนสายรุ้งสีครามอย่างต่อเนื่อง เสียงตูมตามดังก้องไปทั่วสี่ทิศ

การโจมตียิ่งแผ่ขยายออกไปเป็นวงกว้าง ทำเอาพวกคนของตระกูลเฉินหวาดผวาอยู่ไม่เป็นสุข นักพรตที่อยู่บนสายรุ้งอื่นๆ ก็สูดลมหายใจดังเฮือกอย่างตกตะลึง

แม้แต่คนฟ้าอีกสี่คนที่อยู่บนรุ้งสีครามนี้ก็ยังรีบแผ่อำนาจจิตออกมาเล็งเป้าหมายไว้ที่สนามต่อสู้ คอยจับตามองอยู่ตลอดเวลา หนึ่งในนั้นคือบุรพาจารย์คนฟ้าศาลาเลือดเหล็กที่นิ่งคิดไปครู่หนึ่ง ทว่าสุดท้ายกลับไม่ได้ปรากฏตัว เพราะอย่างไรซะแม้แต่หลี่เสี่ยนเต้าและป๋ายเจิ้นเทียนเองก็ยังไม่ยอมเผยกาย

อันที่จริงเวลานี้หลี่เสี่ยนเต้าและป๋ายเจิ้นเทียนต่างก็เบิกตากว้าง

พอเห็นว่าเฉินเห้อเทียนที่ยิ่งประมือกับป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยิ่งเพลี่ยงพล้ำตกเป็นรอง คนทั้งสองก็ลังเลกันอยู่พักใหญ่ แต่สุดท้ายกลับไม่ได้โผล่หน้าออกไป เพราะศึกในสำนักสยบธารครั้งนั้น การประหัตประหารที่ขึ้นชื่อเลื่องลือของป๋ายเสี่ยวฉุนได้ทำให้พวกเขาเกิดความกริ่งเกรงกันนานแล้ว

“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับพวกเรา…”

“สหายนักพรตเฉินนี่ก็จริงๆ เลย ตอนนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังเป็นคนเด่นคนดัง จะยังไปหาเรื่องเขาอีกทำไม?”

“ช่วยไม่ได้ ในเมื่อเขาไปหาเรื่องป๋ายเสี่ยวฉุน เขาก็ต้องแก้ปัญหาด้วยตัวเองแล้วล่ะ”

หลังจากที่ส่งข้อความติดต่อกัน ป๋ายเจิ้นเทียนและหลี่เสี่ยนเต้าต่างก็รู้สึกว่า

เฉินห้อเทียนไม่ฉลาดเอาซะเลย

และท่ามกลางการจับตามองของคนมากมายนี้ เฉินเห้อเทียนก็แทบจะเป็นบ้าเข้าแล้วจริงๆ หากเป็นการต่อสู้ประลองอาคมหลังจากรู้ที่มาที่ไปของปัญหาอย่างแน่ชัดก็ยังว่าไปอย่าง แต่นี่มาจนถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่รู้ว่าเรื่องมันเป็นยังไงมายังไงกันแน่ แถมยังเปิดปากถามแล้วด้วยซ้ำ ทว่าป๋ายเสี่ยวฉุนกลับทำท่าประมาณว่าเจ้าต้องรู้ ปากก็พร่ำพูดว่าเขาขาดศีลธรรม นี่จึงทำให้ในใจของเฉินเห้อเทียนอัดอั้นอย่างหาที่เปรียบไม่ได้

เมื่อเห็นว่าป๋ายเสี่ยวฉุนสะบัดตัวพุ่งเข้ามาเข่นฆ่าด้วยพลังอำนาจดุดันอีกครั้ง เฉินเห้อเทียนก็กัดฟันกรอดแล้วรีบพูดรัวเร็ว

“ป๋ายเสี่ยวฉุน คนในตระกูลข้าไปหาเรื่องเจ้าใช่หรือไม่? ถ้าหากใช่ เรื่องนี้ก็ไม่เกี่ยวกับข้าผู้อาวุโส!”

“คนในตระกูลกะผีเจ้าน่ะสิ เป็นเจ้านั่นแหละ เฉินเห้อเทียน จนป่านนี้แล้วเจ้ายังแกล้งไขสืออีกรึ เจ้านึกว่าข้าป๋ายเสี่ยวฉุนเป็นเด็กอมมือสามขวบหรืออย่างไร!”

ป๋ายเสี่ยวฉุนยังคงคำรามเดือดดาลแล้วพุ่งกรากเข้ามาอีกครั้ง

เฉินเห้อเทียนแทบจะร้องโหยหวนออกมาเสียแล้ว เขารู้สึกว่าตนไม่มีทางคุยกับป๋ายเสี่ยวฉุนรู้เรื่องได้เลย พยายามเค้นสมองคิดก็แล้วแต่ก็ยังนึกไม่ออกว่าช่วงที่ผ่านมาตนไปหาเรื่องไอ้บ้านี่ตอนไหน

เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายบุกเข้ามาอีกครั้ง เฉินเห้อเทียนก็ขบกรามกรอดๆ สีหน้าไม่น่ามองอย่างถึงที่สุด แต่กลับได้เพียงถอยหนี เพราะพลังในการต่อสู้ของป๋ายเสี่ยวฉุนแข็งแกร่งเกินไป ทั้งยังหนังหนามากด้วย นี่จึงทำให้เฉินเห้อเทียนปวดหัวอย่างถึงที่สุด

และขณะที่เฉินเห้อเทียนกำลังถอยร่นอยู่นั้น ห่างออกไปไกลก็มีน้ำเสียงร้อนรนดังลอยมา

“เสี่ยวฉุนหยุดนะ!!!”

ตรงขอบฟ้าที่ห่างไปไกลมีรุ้งยาวสองเส้นห้อทะยานมา ข้างในนั้นคือชายหนึ่งหญิงหนึ่ง ซึ่งก็คือจ้าวเทียนเจียวและเฉินเยว่ซาน

เฉินเยว่ซานสีหน้าร้อนรน จ้าวเทียนเจียวเองก็มีแต่ความจนใจเต็มใบหน้า หลังจากที่พวกเขาสองคนได้ยินว่าป๋ายเสี่ยวฉุนไปหาเฉินเห้อเทียนก็รีบเร่งรุดมาทันที และจะไม่มาก็ไม่ได้ ด้านหนึ่งก็เพราะป๋ายเสี่ยวฉุนคือสหายของเขา ส่วนอีกด้านหนึ่งก็เพราะเฉินเห้อเทียนเป็นทั้งอาจารย์และพ่อตาของเขา…

หากเป็นคนอื่นที่มา ป๋ายเสี่ยวฉุนจะไม่สนใจก็ได้

แต่ระหว่างป๋ายเสี่ยวฉุนกับจ้าวเทียนเจียวนั้น แม้จะไม่มีเวลาอยู่ด้วยกันมากนัก แต่กลับเคยร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยกันมาก่อน อีกทั้งหลายปีมานี้จ้าวเทียนเจียวก็คอยให้การดูแลสำนักสยบธารมาโดยตลอด และก่อนหน้านี้เขาก็เคยมีปากเสียงกับเฉินเห้อเทียนเพราะเรื่องของป๋ายเสี่ยวฉุน

น้ำใจนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนจดจำไว้ขึ้นใจนานแล้ว พอได้ยินประโยคนั้น ร่างของเขาที่เตรียมจะพุ่งเข้าหาเฉินเห้อเทียนอีกครั้งก็พลันหยุดชะงัก ถอยหลังมาสองสามก้าวพลางหันไปมองจ้าวเทียนเจียวที่บินทะยานมาถึงอย่างรวดเร็ว

ส่วนเฉินเห้อเทียนก็คลายใจได้ในที่สุด ทว่าภายนอกกลับยังมีสีหน้าดำคล้ำ ยืนมองป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยสายตาเย็นชาอยู่ตรงนั้น

“เสี่ยวฉุน เจ้า…” จ้าวเทียนเจียวที่เห็นว่าป๋ายเสี่ยวฉุนหยุดมือก็รีบพุ่งเข้ามาใกล้แล้วมายืนอยู่ตรงกลางระหว่างป๋ายเสี่ยวฉุนกับเฉินเห้อเทียน ก่อนจะเอ่ยห้ามปรามอย่างไม่สบายใจ

“ศิษย์พี่ใหญ่ อาจารย์ของท่านทำเกินไปแล้ว วันนี้ข้าไม่ได้มาเพราะเรื่องสำนักสยบธาร แต่เป็นเพราะอาจารย์ของท่านทำเรื่องไร้ศีลธรรม รังแกกันมากเกินไป!” ป๋ายเสี่ยวฉุนกะพริบตาปริบๆ ก่อนจะรีบชิงพูดขึ้นก่อน

“ป๋ายเสี่ยวฉุน เจ้าพูดให้มันชัดเจนสิว่าข้าผู้อาวุโสไปทำอะไรให้เจ้ากันแน่!”

พอเฉินเห้อเทียนได้ยินประโยคนี้ก็ยิ่งกัดฟันแรงจนฟันแทบแตก หันมาตะคอกใส่ป๋ายเสี่ยวฉุน

“ยังจะให้ข้าพูดชัดๆ อีกงั้นรึ? เรื่องที่เจ้าทำเอง เจ้าไม่รู้งั้นรึ! ไม่เป็นไร ข้าจะอัดเจ้าจนกว่าเจ้าจะคิดได้เอง!” ป๋ายเสี่ยวฉุนถลึงตา พลังอำนาจผุดพุ่งขึ้นมาอีกครั้ง ทำท่าจะก้าวเดินออกไปข้างหน้า จ้าวเทียนเจียวที่อยู่ตรงกลางระหว่างคนทั้งสองปวดหัวเป็นกำลัง รีบเอ่ยห้ามปรามขึ้นมาอีกครั้ง

“เสี่ยวฉุน!!” จ้าวเทียนเจียวรีบพูดแทรก

ป๋ายเสี่ยวฉุนมองจ้าวเทียนเจียว ก่อนจะสูดหายใจเข้าลึกแล้วยอมชะงักฝีเท้า

“ศิษย์พี่ใหญ่ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับท่าน แต่เป็นเพราะอาจารย์ของท่านทำเกินไป ท่านรู้จักจางต้าพั่งใช่ไหม และยังมีสวีเป่าไฉอีกคน พวกเขาเป็นทั้งสหายรักและสหายร่วมสำนักของข้า แต่กลับต้องมาถูกอาจารย์ของท่านจับตัวไป ข้ามาขอคนคืน แต่เขากลับยังแกล้งทำเป็นไขสือ!” ป๋ายเสี่ยวฉุนพูดด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด

จ้าวเทียนเจียวตะลึง เขาเคยได้ยินชื่อจางต้าพั่งและสวีเป่าไฉ แล้วก็ไม่ได้เห็นคนทั้งสองมานานมากแล้วจริงๆ ฟังจากคำพูดของป๋ายเสี่ยวฉุนที่บอกว่าอาจารย์ของตนเป็นคนจับตัวคนทั้งสองไป จ้าวเทียนเจียวก็ถึงกับหันกลับไปมองเฉินเห้อเทียนด้วยความกังขา

เฉินเห้อเทียนเองก็อึ้งงันไปเหมือนกัน ก่อนหน้านี้เขาคิดอยู่นานมากก็ยังคิดไม่ออกว่าเรื่องอะไร พอได้ยินป๋ายเสี่ยวฉุนพูดเช่นนี้ก็ยิ่งงงหนักเข้าไปใหญ่ เพราะแม้แต่ชื่อจางต้าพั่งและสวีเป่าไฉก็ยังไม่คุ้นหูเขาแม้แต่น้อย

“ไม่ใช่ฝีมือข้าผู้อาวุโส สองคนนี้ข้าผู้อาวุโสล้วนไม่รู้จัก ป๋ายเสี่ยวฉุน เจ้ามาหาเรื่องผิดคนแล้ว!” เฉินเห้อเทียนได้แต่ข่มกลั้นความโกรธแค้นเอาไว้ในใจแล้วพูดเน้นย้ำทีละคำ เขาเองก็รู้สึกประหลาดใจมากเช่นกัน ในใจคับแค้น แต่ก็ไม่อยากมีเรื่องกับป๋ายเสี่ยวฉุน ดังนั้นจึงพูดเสริมไปอีกหนึ่งประโยค

“เรื่องนี้ ข้าผู้อาวุโสไม่ได้เป็นคนทำ!!”

“ไม่ใช่เจ้าแล้วยังจะเป็นฝีมือใครไปได้อีก?” ป๋ายเสี่ยวฉุนหรี่ตาลง แต่สีหน้ากลับยังคงโกรธเกรี้ยวไม่ยอมลดราวาศอก

“วันนี้เรื่องนี้ไม่จบแน่ ศิษย์พี่ใหญ่ จางต้าพั่งและสวีเป่าไฉต่างก็เป็นเพื่อนรักของข้า พวกเขาเป็นตายก็ยังมิอาจรู้ได้ ข้าร้อนใจ วันนี้หากล่วงเกินจุดใดไป วันหน้าข้าจะไปขออภัยท่านด้วยตัวเอง!” ป๋ายเสี่ยวฉุนพูดจบก็ขยับตัวกระโดดข้ามจ้าวเทียนเจียวไปหาเฉินเห้อเทียนโดยตรง

เสียงกัมปนาทดังขึ้นพร้อมกับที่คนทั้งสองปะทะกันอีกครั้ง

จ้าวเทียนเจียวยิ้มเจื่อน มองป๋ายเสี่ยวฉุน แล้วก็มองเฉินเห้อเทียน สุดท้ายก็ได้แต่ถอนหายใจยาวเหยียด เขาเข้าใจดีว่าตนมิอาจยื่นมือเข้าแทรกเรื่องนี้ได้ เพราะเขาเองก็สงสัยอาจารย์ตัวเองเหมือนกัน…

เฉินเห้อเทียนใกล้จะเป็นบ้าเต็มทีแล้ว แค้นใจถึงขีดสุด ขณะที่กำลังก้าวถอยหนี จู่ๆ เขาก็คำรามเสียงแหบโหย

“ป๋ายเสี่ยวฉุน ข้าผู้อาวุโสบอกแล้วว่าไม่ได้เป็นคนทำ เจ้าจะเอายังไงอีก!!”

“ในสำนักก็มีแต่เจ้ากับข้าที่มีความแค้นต่อกัน ไม่ใช่เจ้าแล้วยังจะเป็นใครไปได้อีก วันนี้เจ้าไม่มอบตัวจางต้าพั่งและสวีเป่าไฉคืนมาให้ข้า ต่อให้เรื่องแดงถึงหูบุรพาจารย์ครึ่งเทพ ข้าก็ยังเป็นฝ่ายที่มีเหตุผล!” มีหรือที่ป๋ายเสี่ยวฉุนจะยอมให้เสียงคำรามของเฉินเห้อเทียนข่มทับตัวเองได้ ดังนั้นจึงพูดประโยคนี้ออกมาด้วยเสียงที่ดังมากกว่า

เฉินเห้อเทียนคลุ้มคลั่งจนแทบจะกระอักเลือดเก่าออกมา ความอึดอัดคับข้องใจอย่างรุนแรงที่แทบไม่เคยมีมาก่อนในชีวิตนี้กำลังผุดขึ้นมาในใจเขาอย่างต่อเนื่อง รู้ดีว่าเรื่องแบบนี้มิอาจอธิบายได้กระจ่างด้วยถ้อยคำง่ายๆ เขาที่ได้รับความไม่เป็นธรรมจึงถอยหนีไปอีกครั้ง และทันใดนั้นก็ยกมือขวาขึ้นมา ไม่ได้ร่ายใช้เวทอภินิหาร แต่หยิบแผ่นหยกส่งข้อความเสียงมาถ่ายทอดข้อความให้แก่ป๋ายเจิ้นเทียนและหลี่เสี่ยนเต้า

“นี่คือเรื่องที่พวกเจ้าสองคนเป็นคนทำ!!”

“สมควรตายนัก พวกเจ้าก่อเรื่อง แต่กลับให้ข้ามาแบกรับบาปแทน!!”

“ป๋ายเจิ้นเทียน หลี่เสี่ยนเต้า เรื่องนี้พวกเจ้าต้องมีคำอธิบายให้ข้า!!”

สามประโยคนี้เขาแทบจะคำรามใส่ไปในข้อความเสียง ในใจเขาคับแค้นจนไร้คำใดมาบรรยายแล้วจริงๆ ส่วนป๋ายเสี่ยวฉุนที่พอเห็นว่าเฉินเห้อเทียนส่งข้อความเสียงก็กะพริบตาปริบๆ ชะงักฝีเท้า รอคอยอยู่ในใจ

ขณะเดียวกันป๋ายเจิ้นเทียนและหลี่เสี่ยนเต้าที่จับตามองเหตุการณ์ทางด้านนี้อยู่ตลอดเวลาก็ได้รู้ที่มาที่ไปของเรื่องด้วย ป๋ายเจิ้นเทียนยังดีหน่อย แต่หลี่เสี่ยนเต้ากลับอึ้งไปครู่ใหญ่ แล้วก็หน้าเปลี่ยนสีไปอย่างสิ้นเชิง

แต่ว่ายังไม่ทันให้เขาได้เตรียมการอะไร ข้อความเสียงของเฉินเห้อเทียนก็พลันระเบิดขึ้นมา เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับป๋ายเจิ้นเทียนก็จริง ทว่ากลับมีความเกี่ยวข้องกับเขาอยู่บางส่วน

หลี่เสี่ยนเต้าโอดครวญอยู่ในใจ ไม่อยากจะยอมรับ แต่พอเห็นว่าเฉินเห้อเทียนเหมือนคนเสียสติเข้าไปทุกทีก็แข็งใจส่งข้อความตอบกลับเฉินเห้อเทียนไปหนึ่งประโยค

“พี่เฉิน…เรื่องนี้เป็นการเข้าใจผิดกัน เข้าใจผิด…เมื่อครู่นี้ข้าลองถามดู ดูเหมือนว่าจะเป็นผู้อาวุโสคนหนึ่งของที่…จับตัวจางต้าพั่งและสวีเป่าไฉมาโดยไม่ได้ตั้งใจ”

หลี่เสี่ยนเต้าเพิ่งจะตอบรับกลับมา เฉินเห้อเทียนก็พลันเงยหน้า ดวงตาแดงก่ำ ครั้นจึงโยนแผ่นหยกในมือไปให้กับป๋ายเสี่ยวฉุน

“เจ้าตรวจดูเอาเอง ดูให้ชัดเจนล่ะ สหายร่วมสำนักสองคนนั้นของเจ้าไม่ได้ถูกข้าผู้อาวุโสจับไป ไม่ใช่ข้าผู้อาวุโส!! ไม่ใช่!!!”

“เป็นหลี่เสี่ยนเต้า ป๋ายเสี่ยวฉุน เจ้ามาหาเรื่องผิดคนแล้ว!!!”

ป๋ายเสี่ยวฉุนรีบรับแผ่นหยกมา พอตรวจสอบอย่างละเอียด ไฟโทสะในใจก็พวยพุ่ง และในที่สุดก็ได้รู้ตัวการสำคัญแล้ว ทว่าภายนอกเขากลับเชิดคาง แค่นเสียงเย็นหนึ่งที

“เรื่องนี้จะโทษข้าไม่ได้ ใครใช้ให้เจ้าหน้าตาไม่เหมือนคนดีล่ะ เอาเถอะๆ คราวหน้าหากมีเรื่องข้าค่อยมาหาเจ้าใหม่ ไปล่ะ” ป๋ายเสี่ยวฉุนพูดจบก็สะบัดกายพุ่งทะยานไปยังที่พักของหลี่เสี่ยนเต้า

พอได้ยินประโยคนี้ของป๋ายเสี่ยวฉุน ทั้งยังเห็นว่าป๋ายเสี่ยวฉุนจากไปแล้ว หากตอนนี้เฉินเห้อเทียนยังไม่เข้าใจจุดประสงค์ที่ป๋ายเสี่ยวฉุนมาที่นี่ก็คงเสียแรงเปล่าที่มีอายุอยู่มาจนถึงปูนนี้

“เจ้าป๋ายเสี่ยวฉุนตัวหายนะ นี่เขาหมายความว่าไม่ว่าเจอเรื่องอะไรก็จะต้องมาหาเรื่องข้านี่นา นี่เขาคิดจะบีบให้ข้าจำต้องออกหน้าช่วยเขาแก้ไขปัญหา!!!”

เฉินเห้อเทียนคิดมาถึงตรงนี้ ความกลัดกลุ้มในใจก็พุ่งสูงถึงขีดสุด หากไม่เพราะเขาคือคนฟ้าเกรงว่าไฟโทสะคงโจมตีหัวใจ โกรธมากจนกระอักเลือดออกมาแล้ว ความคับข้องใจเช่นนั้น ความอยุติธรรมเช่นนั้นทำให้เขาใกล้จะระเบิดเต็มที

จ้าวเทียนเจียวที่อยู่ข้างๆ เห็นภาพเหตุการณ์ที่พลิกผันนี้ก็ได้แต่ส่ายหัวยิ้มเจื่อน

“เจ้าป๋ายเสี่ยวฉุนผู้นี้ช่างชั่วช้ายิ่งนัก!!” เฉินเห้อเทียนใกล้จะบ้าเต็มที สู้ก็สู้ไม่ได้ หลบก็หลบไม่พ้น พอคิดถึงภาพเหตุการณ์ที่ว่าไม่ว่าวันหน้าอีกฝ่ายจะเจออะไรก็ต้องพุ่งเข้ามาหาตนก่อนใคร เฉินเห้อเทียนก็รู้สึกเพียงว่าเบื้องหน้ามืดดำ ฟ้าดินพลิกกลับ รู้สึกคลั่งจนไม่รู้จะหาคำใดมาบรรยาย ในใจก็ให้เสียใจอย่างสุดซึ้ง แอบพูดกับตัวเองว่าหากรู้ว่าจะเป็นอย่างนี้ตั้งแต่แรก เขาจะไม่มีทางไปหาเรื่องป๋ายเสี่ยวฉุนที่เหมือนกอเอี๊ยะหนังสุนัข (กอเอี๊ยะหนังสุนัขหมายถึงพวกตลบตะแลงหลอกลวงคนอื่น) ผู้นี้แน่นอน…

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version