บทที่ 869 แข็งแกร่งไร้เทียมทาน
และขณะที่บุรพาจารย์สำนักธารดาราและสำนักธารอันตลงมือหมายพร้อมใจกันสังหารป๋ายเสี่ยวฉุนนั้นเอง ดวงตาของป๋ายเสี่ยวฉุนพลันเป็นประกายวาบ เขามีประสบการณ์ต่อสู้กับคนฟ้ามาก่อน อาจไม่พูดไม่ได้ว่าโชกโชน แต่ตอนอยู่แดนทุรกันดารก็เคยผ่านเหตุการณ์ทำนองนี้มาไม่น้อย
ไม่ว่าจะเป็นบุรพาจารย์สามตระกูลใหญ่ในนครผียักษ์ หรือพวกเจ้าพระยาสวรรค์ในนครจักรพรรดิขุย ที่สำคัญที่สุดคือการประมือหลายครั้งกับสตรีธุลีแดง หรือแม้แต่การเข้าร่วมเป็นพยานในศึกไร้เทียมทานครั้งนั้นก็ได้สร้างแรงบันดาลใจอย่างใหญ่หลวงให้กับเขาเช่นกัน
องค์ประกอบทั้งหลายทั้งแหล่เหล่านี้ทำให้ยามเผชิญหน้ากับคนฟ้า ป๋ายเสี่ยวฉุนจึงไม่รู้สึกกดดันแม้แต่น้อย อีกทั้งเสี้ยววินาทีที่คนทั้งสองซึ่งอยู่เบื้องหน้าลงมือ ในสมองของเขายังมีความคิดมากมายแล่นผ่านไปราวสายฟ้าแลบอีกด้วย
ความคิดเหล่านี้เป็นเหมือนสัญชาตญาณอย่างหนึ่งที่ทำให้เขาตัดสินใจได้อย่างเฉียบขาดในช่วงเวลาสั้นๆ เขาสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าการลงมือพร้อมกันของคนทั้งสอง แม้ตนจะต้านทานได้ ทว่าก็ยังมีความเสี่ยง และที่สำคัญที่สุดก็คือหากระหว่างที่ลงมือ ใครคนใดคนหนึ่งคิดจะทำให้ตนเสียสมาธิโดยการบุกเข้าไปสังหารลูกศิษย์คนอื่นที่อยู่รอบด้าน ถ้าเช่นนั้นผลลัพธ์ที่ตามมาคงร้ายแรงจนเกินจะรับได้ไหว
และหากอีกฝ่ายเลือกใช้วิธีการต่อสู้ที่หลากหลายและพลิกแพลงได้หลายรูปแบบอย่างช่วงแรกเริ่มที่คนฟ้าสามคนร่วมมือกัน ต่อให้ป๋ายเสี่ยวฉุนจะมั่นใจมากแค่ไหนก็ยังรู้สึกปวดหัวไม่น้อย เพราะที่นี่คือสำนักสยบธาร คือสนามรบที่เขาไม่สามารถจากไปไหนได้ ไม่เหมือนอีกฝ่ายที่ได้ทั้งรุกและถอย
ดังนั้นก่อนหน้านี้เขาถึงได้ลงมือเล่นงานคนคนหนึ่งไปก่อนอย่างรวดเร็วเด็ดขาด!
ตอนนี้เหลือคนฟ้าอีกแค่สองคน แต่กระนั้นความกังวลของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยังคงอยู่
สำนักสยบธารในเวลานี้ต้องการแค่ชัยชนะยิ่งใหญ่ ชัยชนะที่เกรียงไกร สวยงามและไร้ความเสียหายเท่านั้น เพราะมีเพียงแบบนี้ถึงจะทำให้นักพรตของสำนักสยบธารเปี่ยมล้นไปด้วยความมั่นใจ ถึงจะสร้างความสะเทือนขวัญให้กับคนของอีกสามสำนัก สร้างความหวาดผวาให้กับชีวิตที่เหลือของพวกเขาจนไม่กล้ามาหาเรื่องสำนักสยบธารง่ายๆ อีก
หลังจากที่ความคิดเหล่านี้แล่นผ่านสมองไปอย่างรวดเร็ว ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ตัดสินใจเลือกวิธีการต่อสู้ได้อย่างเฉียบขาด วินาทีที่คนฟ้าทั้งสองพุ่งทะยานเข้ามาลงมือพร้อมกัน เขาก็หมดสิ้นซึ่งความลังเลใด พลันร่ายใช้ผนึกมิวางวาย ชั่วพริบตาที่เขาเดินขึ้นหน้าไปหนึ่งก้าว ร่างก็หายวับไปด้วยความเร็วเหนือความเร็วแสง ทิ้งระยะห่างกับบุรพาจารย์สำนักธารดารา ขยับเข้ามาใกล้บุรพาจารย์สำนักธารอันต
ขณะเดียวกันดวงตาที่สามกลางหว่างคิ้วของเขาก็พลันเปิดออก ตบะทั้งหมดถูกโคจร เนตรทงเทียนที่ระเบิดพลังดังตูมหันขวับไปมองยังบุรพาจารย์สำนักธารดารา
บุรพาจารย์สำนักธารดาราหน้าเปลี่ยนสี และวินาทีที่เขาถูกพลังเนตรทงเทียนของป๋ายเสี่ยวฉุนตรึงร่าง เงาร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนที่รวดเร็วราวสายฟ้าแลบก็ได้พุ่งเข้าไปหาบุรพาจารย์สำนักธารอันตแล้ว!
เห็นได้ชัดว่าในบรรดาดวงดาวที่แปลงมาจากควันดำทั่วร่างของบุรพาจารย์สำนักธารดารานั้นเป็นเหมือนหินอุกกาบาตใหญ่ยักษ์ ซึ่งโดยทั่วไปแล้ววิชาอภินิหารเช่นนี้จะสามารถครอบคลุมพื้นที่ได้ในขอบเขตที่แน่นอน แม้ว่าไม่ได้สร้างภัยคุกคามให้กับป๋ายเสี่ยวฉุนมากเท่าไหร่นัก แต่หากเป้าหมายของอีกฝ่ายคือลูกศิษย์สำนักสยบธารที่อยู่รอบด้าน ผลร้ายที่ตามมาคงร้ายแรงอย่างที่จินตนาการไม่ออก!
ส่วนคนฟ้าสำนักธารอันตที่แม้ด้านหลังจะมีเงาเทพมารจำแลงออกมา พลังการต่อสู้สะท้านฟ้า แต่ไม่ต้องคิดใคร่ครวญอะไรให้วุ่นวาย ป๋ายเสี่ยวฉุนก็เลือกเขาเป็นเป้าหมายทันที!
ทุกอย่างนี้ล้วนเกิดขึ้นในเวลาเพียงชั่วกะพริบตา บุรพาจารย์สำนักธารดาราถูกพันธนาการร่าง ส่วนป๋ายเสี่ยวฉุนที่ระเบิดความเร็วก็ได้มาโผล่พรวดอยู่เบื้องหน้าบุรพาจารย์สำนักธารอันต ก่อนที่เขาจะยกมือขวาขึ้นแล้วต่อยโครมใส่บุรพาจารย์สำนักธารอันต
หมัดนี้สะเทือนเลือนลั่นปฐพี พลังกล้ามเนื้อที่ระเบิดออกมาอย่างบ้าคลั่งกลายมาเป็นพายุหมุนที่ซัดตะลุยเข้าแสกหน้าบุรพาจารย์สำนักธารอันต!
บุรพาจารย์สำนักธารอันตหน้าเปลี่ยนสี ปากร้องคำรามมือทำมุทรา ทันใดนั้นภาพสะท้อนของเทพมารที่อยู่ด้านหลังเขาก็เดินออกมาข้างหน้าหนึ่งก้าวแล้วผสานรวมเป็นหนึ่งเดียวกับร่างกายของเขา ขณะเดียวกันปกคลุมพื้นที่รอบกายของเขาเอาไว้ บัดนี้เขาจึงเหมือนกลายร่างมาเป็นเทพมารตนนี้ ปราณปีศาจพวยพุ่งสู่นภากาศ ก่อกลายมาเป็นโล่ชิ้นหนึ่งที่สกัดกั้นไว้เบื้องหน้า
เสียงตูมดังกึกก้อง หมัดของป๋ายเสี่ยวฉุนกระแทกลงบนโล่ปราณปีศาจอย่างจัง โล่คุ้มกันพลันสั่นสะเทือน เสียงเปรี๊ยะๆ ดังลั่น ก่อนที่โล่นั้นจะพังทลายออก ทว่าพอมันพังออกกลับมีโล่ชั้นที่สอง ชั้นที่สามจำแลงขึ้นมาซ้อนทับในเวลาเดียวกัน
ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่มีเวลามามัวคิดมาก พอต่อยออกไปหมัดหนึ่งแล้ว ร่างของเขาก็ยังคงบุกตะลุยไปข้างหน้า มือทั้งคู่ทำมุทรารัวเร็วพร้อมๆ กับที่ปากพ่นสามคำออกมาเบาๆ
“ชนาเขย่าภูเขา!”
ตูมๆๆ! จู่ๆ ความว่างเปล่ารอบกายป๋ายเสี่ยวฉุนก็มีก้อนหินจำนวนนับไม่ถ้วนลอยขึ้นมา หลังจากที่หินเหล่านี้โผล่ออกมาจากความว่างเปล่าก็พุ่งไปเกาะตัวเข้าที่ร่างของป๋ายเสี่ยวฉุน พริบตาเดียวก็กองทับถมกันจนกลายมาเป็นมนุษย์หินร่างยักษ์ตนหนึ่ง!
มนุษย์หินตนนี้สูงหลายร้อยจั้ง น่าครั่นคร้ามอย่างยิ่ง
ขณะเดียวกันยังมีพลังมากไพศาลที่ถูกซัดออกมาจากร่างมนุษย์หินดังครืนครั่น และพลังกล้ามเนื้อของป๋ายเสี่ยวฉุนที่เหมือนถูกปลุกเสกด้วยคาถาชนาเขย่าภูเขาก็ได้ระเบิดปะทุอย่างต่อเนื่องจนร่างของเขาแผ่ปราณสูงส่งหยิ่งทระนงออกมา เมื่อก้าวออกมาหนึ่งก้าว หมัดยักษ์ก็ต่อยตูมตามมาอีกครั้ง ทำให้โล่ป้องกันชั้นที่สอง ชั้นที่สาม ชั้นที่สี่ระเบิดกระจายติดต่อกัน
เสียงกัมปนาทดังสะท้านฟ้า บุรพาจารย์สำนักธารอันตหน้าไร้สีเลือด ทุกอย่างนี้เกิดขึ้นเร็วเกินไป เขาเพิ่งคิดจะถอยหนี ป๋ายเสี่ยวฉุนกลับพุ่งเข้ามาเข่นฆ่า ด้วยพลังแห่งชนาเขย่าภูเขา พละกำลังที่อีกฝ่ายกระแทกชนเข้ามาจึงมากพอจะเขย่าให้ขุนเขาสั่นสะเทือนได้
เสียงตูมดังสนั่นหวั่นไหว ร่างของบุรพาจารย์สำนักธารอันตที่ผสานรวมกับเงาเทพมารถูกชนจนกระเด็นถอยกรูดไปข้างหลัง ลมหายใจของเขาหอบหนัก ส่วนบุรพาจารย์สำนักธารดาราที่ห่างออกไปไกลก็เดือดดาลคลุ้มคลั่งอย่างหนัก เมื่อเขาดิ้นรนอย่างเต็มกำลัง พริบตาเดียวร่างก็กลับมาเคลื่อนไหวได้เป็นปกติอีกครั้ง ตอนนี้กำลังจะไล่กวดป๋ายเสี่ยวฉุน หมายลงมือช่วยเหลือบุรพาจารย์สำนักธารอันต
ทว่าเวลานี้เอง ป๋ายเสี่ยวฉุนที่กำลังไล่ฆ่าบุรพาจารย์สำนักธารอันตดันหันขวับกลับมา เนตรทงเทียนกลางหว่างคิ้วปล่อยแสงพุ่งตรงเข้าหาร่างของบุรพาจารย์สำนักธารดาราอีกครั้ง
เสียงตูมดังสนั่น ร่างทั้งร่างของบุรพาจารย์สำนักธารดาราชะงักกึกเป็นครั้งที่สอง ในใจเขาคลุ้มคลั่งเต็มทีแล้ว แต่ที่มากกว่านั้นคือความอึดอัดคับแค้นใจ ในสายตาของเขา เวทอภินิหารนี้ของป๋ายเสี่ยวฉุนช่างน่ารังเกียจยิ่งนัก ทว่าตัวเองกลับอับจนปัญญา ขณะที่เขาร้องคำรามในใจและพยายามดิ้นรนอย่างเต็มที่
ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ได้ขยับเข้าไปใกล้บุรพาจารย์สำนักธารอันตแล้วระเบิดพลังทั้งร่างผสานกับชนาเขย่าภูเขาเป็นครั้งที่สอง
เสียงปึงปังดังเกริกก้องไปทั้งนภากาศ เวลาเพียงแค่ชั่วกะพริบตา ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ออกหมัดไปแล้วหลายสิบหมัด ทุกหมัดล้วนกระแทกให้ร่างเทพมารของบุรพาจารย์สำนักธารอันตถอยร่น เขาใช้วิธีการเช่นนี้มาทิ้งระยะห่างกับบุรพาจารย์สำนักธารดารา ขณะเดียวกันพลังในการทำลายล้างก็น่าตะลึงมากเช่นกัน
มองไกลๆ ภาพนี้เขย่าคลอนจิตใจผู้คนได้เป็นอย่างดี
นักพรตเหลือคณานับที่อยู่รอบด้านมองภาพนี้พร้อมอาการใจสั่นระรัว ท่ามกลางศึกแห่งคนฟ้าครั้งนี้ พวกเขาไม่เพียงแต่ได้เป็นประจักษ์พยานในความแข็งแกร่งของป๋ายเสี่ยวฉุน ทั้งยังได้เห็นสัญชาตญาณในการสู้รบที่ทำให้คนสูดลมหายใจด้วยความตื่นตะลึงของป๋ายเสี่ยวฉุนด้วย
เวลาสั้นๆ เพียงแค่ไม่กี่นาที ป๋ายเสี่ยวฉุนกลับอาศัยเวทคาถามากำราบคนผู้หนึ่ง อาศัยพลังกล้ามเนื้อมาโจมตีคนอีกผู้หนึ่ง ภาพนี้ทำให้ในใจของคนมากมายเกิดคลื่นลูกยักษ์ถาโถม สิ่งที่พวกเขาเห็นอยู่ในคลองจักษุคือภาพเรือนกายของบุรพาจารย์สำนักธารดาราที่ถูกพันธนาการติดต่อกันสองครั้ง ขณะเดียวกันก็เห็น…ภาพที่บุรพาจารย์สำนักธารอันตถอยกรูดอย่างต่อเนื่องเพราะถูกป๋ายเสี่ยวฉุนไล่โจมตี!
ใจของบุรพาจารย์สำนักธารอันตสั่นสะท้านอย่างบ้าคลั่ง
ยามนี้เขาถูกป๋ายเสี่ยวฉุนออกหมัดโจมตีถี่รัวไม่ต่างกับโดนพายุมรสุมพัดกระหน่ำ สะเทือนให้เลือดลมในร่างของเขาซัดปั่นป่วนไปหมด มุมปากก็มีเลือดไหลซึมไม่หยุด
แต่เห็นได้ชัดว่านี่ยังไม่ใช่จุดสิ้นสุด เขาเพิ่งจะคิดเอาคืน นัยน์ตาป๋ายเสี่ยวฉุนกลับโชนแสงคมกริบ แล้วจู่ๆ อีกฝ่ายก็แผดเสียงคำรามดังลั่น
เสียงคำรามนี้มาพร้อมกับหมัดที่เหวี่ยงตูมออกมา วินาทีที่หมัดนี้พุ่งไปข้างหน้า เรือนกายที่ประกอบกันเป็นมนุษย์หินของเขาก็พลันแตกทลาย ก้อนหินทั้งหมดกระจายตัวจากกันแล้วบินมาอยู่เบื้องหน้าป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยตัวเอง
ก่อนจะรวมตัวกันขึ้นเป็นหมัดขนาดมหึมาที่พุ่งมาพร้อมกับหมัดของป๋ายเสี่ยวฉุน ซึ่งตรงมากระแทกลงบนร่างเทพมารของบุรพาจารย์สำนักธารอันต
เสียงกัมปนาทดังสะเทือนแก้วหูก้องกังวานไปทั่วทั้งสนามรบ ร่างเทพมารของบุรพาจารย์สำนักธารอันตแตกโพล๊ะกระจัดกระจายเผยให้เห็นร่างจริงที่อยู่ข้างในซึ่งตอนนี้กำลังกระอักเลือดอย่างบ้าคลั่ง เขาที่สีหน้าตะลึงพรึงเพริดรีบถอยกรูดหนีออกห่างป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างรวดเร็ว และตอนนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนเวลาก็ได้หันกลับไปใช้เนตรทงเทียนบังคับร่างของบุรพาจารย์สำนักธารดารา ทำให้เรือนกายที่เพิ่งเคลื่อนไหวได้เป็นปกติของบุรพาจารย์สำนักธารดาราถูกพันธนาการอีกครั้ง!
ความร้อนรนและความคับแค้นใจของเขาท่วมท้นจนเขาเจียนคลั่ง เวลานี้จึงพยายามสุดชีวิตโดยไม่สนใจอะไรอีกแล้ว ต่อให้จะเจอพลังโจมตีกลับก็ต้องทำลายพันธนาการนี้ให้ได้ อีกทั้งเขายังตระหนักได้แล้วว่าต่อให้พวกเขาร่วมมือกันก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของป๋ายเสี่ยวฉุน
วิธีเดียวที่มีก็คือต้องใช้กลยุทธ์ล้อมเวยช่วยจ้าว (หนึ่งในกลศึกสามก๊ก คือกลยุทธ์ที่ดึงแยกศัตรูให้แตกออกจากกัน เพื่อให้กำลังไพร่พลทหารกระจัดกระจาย คอยระแวดระวังมีความห่วงหน้าพะวงหลังแล้วจึงบุกเข้าโจมตี) ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนเสียสมาธิ
ทว่าเวลานี้เอง ป๋ายเสี่ยวฉุนที่ก้าวออกมาหนึ่งก้าวกลับไล่ตามไปทันบุรพาจารย์สำนักธารอันตที่กำลังเผ่นหนีแล้ว ไอสังหารเปล่งวาบในดวงตาของเขา มือขวายกทำมุทราชี้ไปข้างหน้า การชี้ครั้งนี้ทำให้ไอความเย็นอบอวลไปรอบด้าน กระจกน้ำแข็งที่ใช้พิฆาตเรือนกายของบุรพาจารย์สำนักธารมรรคาก่อนหน้านี้ถูกร่ายออกมาอีกครั้ง
พริบตาเดียว รัศมีพันจั้งก็ตกอยู่ในความหนาวเหน็บ เงาสะท้อนในกระจกเก้าเงาปานประหนึ่งมีดคมกริบเก้าเล่มที่พลันพุ่งทะยานเข้าหาบุรพาจารย์สำนักธารอันต
“บุรพาจารย์ธารดารา เจ้ามันสวะไร้ประโยชน์!!!”
บุรพาจารย์สำนักธารอันตร้องคำรามแหบโหยด้วยความเจ็บปวด ตกลงกันเป็นมั่นเป็นเหมาะแล้วแท้ๆ ว่าจะร่วมมือกัน แต่บุรพาจารย์ธารดารากลับปล่อยให้ตัวเองถูกพันธนาการครั้งแล้วครั้งเล่าจนตามมาไม่ทัน มิอาจช่วยอะไรเขาได้แม้แต่นิดเดียว ปล่อยให้เขาต้องเผชิญหน้ากับป๋ายเสี่ยวฉุนเพียงลำพัง
ยามนี้ความเกลียดแค้นที่เขามีต่อบุรพาจารย์ธารดาราจึงเหนือกว่าความเกลียดแค้นที่มีต่อป๋ายเสี่ยวฉุนไปแล้ว เขารู้ดีว่าตนไม่มีวิชาอภินิหารที่สามารถรักษาวิญญาณต้นกำเนิดได้อย่างบุรพจารย์สำนักธารมรรคา เข้าใจแน่ชัดว่าหากตนถูกอีกฝ่ายสังหารก็ย่อมตายอย่างมิต้องสงสัย
ภายใต้วิฤตความเป็นความตาย เมื่อเห็นว่ามิอาจหลบเลี่ยง ดวงตาของเขาก็เผยความบ้าคลั่ง วินาทีที่ภาพสะท้อนน้ำแข็งทั้งเก้าร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนพุ่งมาใกล้ ไม่รอให้อีกฝ่ายได้ลงมือปลิดชีพ เขาก็เลือกที่จะ…ระเบิดเรือนกายของตัวเองทิ้ง!
ตูม!