บทที่ 870 สังหารอีกครั้ง
เลือกที่จะระเบิดตัวด้วยตัวเองสามารถควบคุมคลื่นของเวทคาถา สามารถลดทอนความรุนแรงของพลังสังหารจากเงาน้ำแข็งทั้งเก้าของป๋ายเสี่ยวฉุน และการที่ตัดสินใจได้อย่างเฉียบขาดในชั่วเวลาเพียงสายฟ้าแลบเช่นนี้ หากเปลี่ยนมาเป็นคนอื่นคงยากที่จะทำได้ และก็มีเพียงเลื่อนขั้นเป็นคนฟ้าซึ่งมีประสบการณ์การต่อสู้มาอย่างโชกโชนเท่านั้นถึงจะบ่มเพาะให้กลายมาเป็นปฏิกิริยาตอบสนองทางสัญชาตญาณที่รวดเร็วอย่างหนึ่ง
เสียงตูมตามดังกึกก้อง เมื่อบุรพาจารย์สำนักธารอันตระเบิดตัวเอง พายุสะท้านฟ้าสะเทือนดินลูกหนึ่งก็ซัดครืนครั่นออกมาทันที พริบตานั้นกระจกน้ำแข็งพันจั้งพลันแตกกระจัดกระจาย เงาน้ำแข็งทั้งเก้าที่พุ่งนำมาโดนพายุกลบทับก่อนเป็นอันดับแรก เวลาเดียวกับที่ร่างของเขาระเบิด วิญญาณต้นกำเนิดของบุรพาจารย์สำนักธารอันตก็ถอยกรูดออกมา และตอนนี้เขาก็ร่ายใช้ความเร็วที่แทบจะเรียกได้ว่าสูงที่สุดในชีวิตโกยแนบไปอย่างบ้าคลั่ง
เขากลัวแล้ว กลัวแล้วจริงๆ ในใจยิ่งเกลียดแค้นบุรพาจารย์สำนักธารดารา ในสายตาของเขา หากไม่เป็นเพราะบุรพาจารย์สำนักธารดาราไร้ค่าเกินไป คนทั้งสองร่วมมือกัน จะอย่างไรศึกนี้พวกเขาก็ต้องมีโอกาสชนะ ทว่าตอนนี้…บุรพาจารย์สำนักธารดาราผู้นั้นไร้ซึ่งความเสียหายใดๆ แต่ตนกลับต้องระเบิดร่างตัวเอง เหลือเพียงแค่วิญญาณต้นกำเนิด
ในใจของเขาเต็มไปด้วยความเจ็บแค้นชิงชังและความหวาดกลัวเศร้าสลด นี่ทำให้วิญญาณต้นกำเนิดของบุรพาจารย์สำนักธารอันตบิดเบี้ยว ในใจเขาก็ยิ่งเต็มไปด้วยความคับแค้นอย่างไร้ที่สิ้นสุด หากเลือกได้ เขาก็หวังว่าคนที่ป๋ายเสี่ยวฉุนใช้เนตรอาคมพันธนาการร่างก่อนหน้านี้จะเป็นตน…
และเวลานี้ เมื่อร่างของบุรพาจารย์สำนักธารอันตระเบิดตัวเอง
กระจกน้ำแข็งพังทลาย วิญญาณต้นกำเนิดเผ่นหนีไป บุรพาจารย์สำนักธารดาราที่อยู่ห่างไปไกลซึ่งยอมระเบิดตบะตัวเองโดยไม่สนใจว่าจะถูกพลังโจมตีกลับ สุดท้ายจึงหลุดพ้นจากพลังเนตรอาคมของป๋ายเสี่ยวฉุนมาได้ ทั้งยังได้ยินเสียงคำรามจากบุรพาจารย์สำนักธารอันต ในใจเขาก็อึดอัดคลุ้มคลั่งมากไม่ต่างกัน
แต่ความตะลึงพรึงเพริดก็พวยพุ่งอยู่ในใจของเขาเช่นกัน เขาเห็นกับตาตัวเองว่าเวลาเพียงไม่กี่ชั่วลมหายใจ ป๋ายเสี่ยวฉุนกลับเป็นเหมือนพายุบ้าคลั่งที่บุกโจมตีด้วยพลังอำนาจพลิกภูเขาคว่ำมหาสมุทร บีบให้คนฟ้าคนหนึ่งที่เป็นเหมือนตนต้องระเบิดเรือนกายที่เป็นเนื้อหนังมังสาของตัวเองทิ้ง ตอนนี้เหลือเพียงแค่วิญญาณต้นกำเนิดที่กำลังเผ่นหนีไป
หากเป็นเพียงแค่ครั้งแรกก็ยังพอว่า เขายังพอมีความมั่นใจอยู่บ้าง แต่นี่เป็นครั้งที่สองแล้ว คิดมาถึงตรงนี้ร่างของบุรพาจารย์สำนักธารดาราก็สั่นเทิ้ม ในช่วงเวลาคับขันตัดสินเป็นตาย เขากลับไม่เลือกที่จะไปให้ความช่วยเหลือบุรพาจารย์สำนักธารอันต แต่พอหมุนตัวได้ก็กลายร่างเป็นรุ้งยาวรีบหนีไปอย่างรวดเร็วเช่นกัน
เขาเองก็กลัวแล้ว ทุกภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในศึกครั้งนี้เขย่าคลอนจิตวิญญาณของเขาอย่างสิ้นเชิง ทำให้เวลานี้เขาไม่คิดจะสนใจชื่อเสียงของตัวเอง ไม่สนใจอีกแล้วว่าในสนามรบแห่งนี้ยังมีนักพรตอีกนับแสนคนของสามสำนักที่จับตามองอยู่
ยามนี้หมุนตัวได้ก็เผ่นหนีทันที อีกทั้งยังเอ่ยปลอบใจตัวเองด้วยว่าป๋ายเสี่ยวฉุนน่ากลัวขนาดนี้ หากตนไม่หนีก็ต้องเผชิญกับอันตรายแน่นอน และบนท้องฟ้าของสนามรบในเวลานี้ เมื่อบุรพาจารย์สำนักธารอันตเหลือเพียงแค่วิญญาณต้นกำเนิด เมื่อบุรพาจารย์สำนักธารดาราไม่พูดพร่ำทำเพลงก็โกยแนบ เสียงฮือฮาและเสียงคำรามคลั่งแค้นจึงดังระเบ็งเซ็งแซ่มาจากปากของนักพรตจำนวนนับไม่ถ้วนที่อยู่บนพื้นดินทันที
เสียงฮือฮานั้นมาจากสำนักธารมรรคาและสำนักธารดารา ทว่าเสียงคำรามคลั่งแค้นนั้นมาจาก…สำนักธารอันต!!
“บุรพาจารย์!!”
“บุรพาจารย์ธารดารา เจ้า…”
ภาพนี้ทำเอาป๋ายเสี่ยวฉุนอึ้งงันไปเช่นกัน เดิมทีเขานึกว่าหลังจากที่บุรพาจารย์สำนักธารดาราหลุดพ้นจากพันธนาการของเขามาได้ก็จะพุ่งเข้ามาประหัตประหารยังที่แห่งนี้ ขัดขวางไม่ให้ตนไล่ตามไปสังหารบุรพาจารย์สำนักธารอันต แต่นึกไม่ถึงเลยว่า จู่ๆ อีกฝ่ายกลับหนีไปทั้งอย่างนี้
“เจ้าแก่ธารดารา เจ้ามันไร้ยางอาย!!” บุรพาจารย์สำนักธารอันตร้องคำรามอย่างบ้าคลั่ง เขารู้สึกได้เลยว่าเวลานี้วิญญาณต้นกำเนิดของตัวเองเริ่มจะไม่มั่นคงอีกต่อไป และปราณวิญญาณในร่างก็เริ่มพังทลายแล้ว
สองคนฟ้าผู้ยิ่งใหญ่ของที่แห่งนี้ คนหนึ่งหนีไปทางตะวันออก อีกคนหนีไปทางตะวันตก บัดนี้ไอสังหารในดวงตาป๋ายเสี่ยวฉุนจึงพลุ่งพล่านเข้มข้น หากบุรพาจารย์สำนักธารดาราบุกมาสังหารเขา เขาก็ยังไม่มีวิธีที่จะตามไปสังหารบุรพาจารย์สำนักธารอันตที่หลงเหลือเป็นเพียงวิญญาณต้นกำเนิดได้ แต่ตอนนี้อีกฝ่ายกลับเผ่นหนีไป นี่ก็เท่ากับมอบโอกาสให้ป๋ายเสี่ยวฉุนได้…สังหารคนฟ้า!
เขาไม่มีความลังเลใด ยิ่งไม่ได้ให้ความสนใจบุรพาจารย์สำนักธารดารา สายตากวาดไปมองยังวิญญาณต้นกำเนิดของบุรพาจารย์สำนักธารอันต ไอสังหารในดวงตาท่วมท้น ทันใดนั้นเขาก็กางมือทั้งสองข้างออกและโบกตวัดไปรอบด้าน
“เขตแดน!!”
เสียงอึกทึกกึกก้องมาพร้อมกับไอน้ำขุมหนึ่งที่แผ่ปกคลุมไปแปดทิศอย่างรวดเร็ว ขอบเขตที่ไอน้ำแผ่อวลออกไปกว้างขวางอย่างมากจนถึงขั้นที่ว่าไม่ว่าจะเป็นวิญญาณต้นกำเนิดของบุรพาจารย์สำนักธารอันต หรือร่างกายของบุรพาจารย์สำนักธารดาราก็ล้วนถูกปกคลุมอยู่ในไอน้ำนี้ทั้งสิ้น
มองไกลๆ ประหนึ่งว่าบัดนี้ฟ้าดินแปดทิศได้กลายมาเป็นบึงน้ำที่น่าตะลึงผืนหนึ่ง!
ทั้งยังมีไอหมอกซัดหลุนๆ ออกมา พลานุภาพสยบน่าครั่นคร้ามพลันเยื้องกรายมาถึง พลานุภาพสยบนี้ทำให้นักพรตทุกคนบนผืนแผ่นดินล้วนอ้าปากหอบหายใจดังเฮือก ส่วนบุรพาจารย์สำนักธารอันตที่อยู่บนท้องฟ้าก็ยิ่งสัมผัสได้ถึงวิกฤตความเป็นความตายที่รุนแรงที่สุดในชีวิต ซึ่งความรู้สึกที่ว่านี้ลึกล้ำแซงหน้าก่อนหน้านั้นไปไกลโข!!
“ไม่!!” เสียงร้องโหยหวนของบุรพาจารย์สำนักธารอันตแฝงเร้นไว้ด้วยความวิงวอนร้องขอชีวิต ทำเอาบุรพาจารย์สำนักธารดาราที่ห่างไปไกลใจกระตุกวาบ รีบกัดปลายลิ้นทะยานหนีไปอย่างบ้าคลั่ง หมายจะไปให้พ้นจากพื้นที่แห่งนี้
ทว่าขณะที่ทุกคนกำลังสะท้านสะเทือนกันนั้นเอง ดวงตาป๋ายเสี่ยวฉุนก็โชนแสงวาบ มือทั้งคู่ยกขึ้นโบกพร้อมกับคำสองคำที่ถูกพ่นออกมาจากปาก!
“ธารา!”
ครืนๆๆ!
เสียงกัมปนาทดังเกินอสนีบาตพลันระเบิดครืนครั่นอยู่ในฟ้าดินแห่งนี้
เมื่อป๋ายเสี่ยวฉุนร่ายใช้เขตแดนธารา ในบึงน้ำก็มีภูเขายักษ์โค้งงอหลายลูกผุดพรวดออกมาด้วยอานุภาพซัดภูเขาพลิกทะเล ผ่านที่ใดก็ราวกับจะเข้ามายึดครองโลกทั้งใบ ราวกับว่าบัดนี้ท้องฟ้าทั้งผืนได้ถูกสัตว์ยักษ์ตัวหนึ่งที่มิอาจพรรณนาได้ว่ามันมีขนาดเท่าไหร่เข้ามายึดครองอย่างสมบูรณ์แบบ!
ยอดเขาที่โค้งงอเหล่านั้นระเบิดพลังที่ทำให้ฟ้าดินเปลี่ยน เมื่อมันเปลี่ยนแปลงไปอย่างต่อเนื่อง ท้องฟ้าก็เหมือนจะมืดดำไปในพริบตา มองดูแล้วเหมือนมีกรงเล็บขนาดมหึมาที่ค่อยๆ โผล่ออกมาจากในบึงน้ำช้าๆ สามารถเห็นได้อย่างชัดเจนว่ายอดเขาที่โค้งงอเหล่านั้นแท้จริงแล้วก็คือเล็บของกรงเล็บนั่น!
“นี่คือ…นี่คือเขตแดนธารา!” ในสายธาราเทพ ยิ่งพวกที่อยู่ชายฝั่งทิศเหนือในปีนั้นก็ยิ่งเบิกตากว้างด้วยความเหลือเชื่อ ดวงตาจ้องเป๋งไปยังภาพเหตุการณ์เกริกก้องเหนือจินตนาการที่เกิดขึ้นเบื้องหน้าพวกเขา
ทันใดนั้นเมื่อกรงเล็บสัตว์ขนาดมโหฬารโผล่พ้นออกมาจากในหนองน้ำอย่างสมบูรณ์แบบ ตลอดทั้งท้องฟ้าก็ยิ่งมืดสลัว สมองของทุกคนมีเพียงความว่างเปล่าขาวโพลน บุรพาจารย์สำนักธารอันตและบุรพาจารย์สำนักธารดาราล้วนตกอยู่ในความตะลึงพรึงเพริด ยังไม่ทันคืนสติ…กรงเล็บสัตว์ใหญ่ยักษ์ก็พลันตบผลัวะลงมา!
ครืนๆๆ!
เหมือนฟ้าถล่มลงมากระแทกพื้นดิน เมื่อเสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดของบุรพาจารย์สำนักธารอันตซึ่งเป็นเหมือนเสียงสุดท้ายแห่งชีวิตดังออกมา ร่างวิญญาณต้นกำเนิดของเขามิอาจต้านทานกรงเล็บน่าครั่นคร้ามนี้ได้เลย ไม่ว่าเขาจะหลบเลี่ยงอย่างไร หรือต่อให้ใช้การหายตัวก็ยังไม่สามารถแก้ไขอะไรได้ พริบตาเดียว กรงเล็บสัตว์นั้นก็ฟาดผลัวะใส่เขาอย่างจัง!
เสียงร้องโหยไห้ขาดหายไปกลางคัน วิญญาณต้นกำเนิดของบุรพาจารย์สำนักธารอันตสั่นสะท้าน ท่ามกลางความเหลือเชื่อ ท่ามกลางความขมขื่น เขามองโลกใบนี้เป็นครั้งสุดท้าย เมื่อเสียงตูมดังสนั่นหวั่นไหว วิญญาณต้นกำเนิดของเขาก็แตกกระจาย จิตวิญญาณแหลกสลาย…หายไปจากฟ้าดิน!!
บุรพาจารย์สำนักธารดาราที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งจะอย่างไรก็ยังมีเรือนกายที่เป็นเนื้อหนังดำรงอยู่ อีกทั้งเขายังไม่ได้บาดเจ็บมากนัก บวกกับตอนนี้อยู่ตรงริมขอบอาณาบริเวณของเขตแดนธาราแล้ว อีกทั้งเขาที่กำลังร้องคำรามก็ได้ดิ้นรนสุดชีวิตให้ดวงดาวจำนวนนับไม่ถ้วนที่ล้อมวนอยู่นอกร่างคอยต้านทานพลังมหาศาลจากกรงเล็บสัตว์ให้กับเขาอย่างต่อเนื่อง สุดท้ายเขาก็ต้านทานได้สำเร็จและหนีออกไปได้ในที่สุด เพียงแต่ว่าสีหน้าของเขาซีดขาวยิ่งนัก ทั้งยังกระอักเลือดพ่นเป็นสายไม่หยุด ในใจท่วมท้นไปด้วยความหวาดกลัวไร้ขีดจำกัด ออกมาได้ก็หนีกระเจิงไปสุดชีวิตโดยไม่แม้แต่จะเหลียวหลังกลับมามอง
เขาเห็นวิญญาณต้นกำเนิดของบุรพาจารย์สำนักธารอันตดับสลายคาตาของตัวเอง นี่ทำให้ใจเขาสั่นสะท้าน ขณะเดียวกันก็มีความรู้สึกว่าตัวเองโชคดีที่รอดมาได้ เขาพบว่าความอึดอัดคับแค้นใจที่ตัวเองเผชิญมาก่อนหน้านี้กลับกลายมาเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้ตนมีชีวิตรอด!
เขายังถึงขั้นรู้สึกดีใจที่คนซึ่งป๋ายเสี่ยวฉุนเลือกพันธนาการก่อนหน้านี้คือตน…สามารถจินตนาการได้ว่าหากคนที่ถูกพันธนาการคือบุรพาจารย์สำนักธารอันต ถ้าเช่นนั้นคนที่ตายไปในเวลานี้ก็ย่อมต้องเป็นตนอย่างไม่ต้องสงสัย
“สหายนักพรต เจ้าจงตายตาหลับเถิด…บุรพาจารย์สำนักธารอันต หาใช่ข้าผู้อาวุโสไม่อยากช่วยเจ้า แต่ศัตรูของเรานั้นแข็งแกร่งเกินไปจริงๆ…”
บุรพาจารย์สำนักธารดาราที่รู้สึกโชคดียังหาข้ออ้างให้ตัวเองสบายใจ ตอนนี้เขาเพิ่มความเร็วให้มากขึ้นจากเดิม พริบตาเดียวก็จากไปไกลแล้ว
บนสนามรบ ป๋ายเสี่ยวฉุนยืนอยู่กลางอากาศ สายตามองไปยังแผ่นหลังของบุรพาจารย์สำนักธารดาราที่กำลังเผ่นหนี อีกฝ่ายเร็วเกินไป ทั้งระยะห่างยังไกลมาก
ที่สำคัญที่สุดคือการใช้กำลังกำราบคนฟ้าติดต่อกันสองคน ทั้งยังสังหารบุรพาจารย์สำนักธารอันตได้อย่างราบรื่นรวดเร็ว ป๋ายเสี่ยวฉุนมองภายนอกเหมือนเป็นปกติ แต่ในความเป็นจริงแล้วการรบครั้งนี้เขาใช้ตบะและระเบิดพลังกล้ามเนื้อทั้งหมดที่มี ไม่ว่าจะเป็นจิตใจหรือร่างกายของเขาจึงล้วนเหนื่อยล้าถึงขีดสุด สำหรับเขาแล้วการบดขยี้คนฟ้าช่วงต้นนั้นไม่ใช่เรื่องยาก ทว่าประเด็นสำคัญก็คือการฆ่าคนฟ้ากลับไม่ใช่เรื่องง่ายดายขนาดนั้น
การพันธนาการด้วยเนตรทงเทียนสามครั้ง ทุกครั้งที่ร่ายใช้ล้วนทำให้เลือดลมในร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนซัดปั่นป่วน ซึ่งเขาต้องอาศัยกล้ามเนื้อที่แข็งแกร่งมาแบกรับพลังโจมตีกลับ
อันที่จริงเขาไม่สามารถร่ายใช้เนตรทงเทียนเป็นครั้งที่สี่ได้อีกแล้ว และหากบุรพาจารย์สำนักธารดาราแว้งกลับมาเล่นงาน ป๋ายเสี่ยวฉุนก็คงได้แค่ร่ายใช้ท่าไม้ตายสุดท้ายอย่าง…หมัดจักรพรรดิไม่ดับสูญเท่านั้น
ซึ่งหากใช้วิชานั้นเมื่อไหร่ก็เท่ากับว่าเขาเบิกพลังมาใช้ล่วงหน้าจนหมดแล้ว ไม่เหลือพลังในการต่อสู้อีกต่อไป หากบุรพาจารย์สำนักธารมรรคาที่หนีไปคนแรกสุดย้อนกลับมา ถ้าเช่นนั้นป๋ายเสี่ยวฉุนก็อันตรายแน่
มองดูเหมือนยิ่งใหญ่ แต่อันที่จริงความยากลำบากและความเหนื่อยล้าที่ต้องเผชิญในศึกครั้งนี้มีเพียงป๋ายเสี่ยวฉุนคนเดียวเท่านั้นที่รับรู้ ตอนนี้เมื่อเห็นว่าบุรพาจารย์สำนักธารดาราหนีหายไป ป๋ายเสี่ยวฉุนสังเกตเห็นสีหน้าที่ขาวเผือดของนักพรตสามสำนักซึ่งอยู่บนพื้นดิน เขาก็พลันรู้สึกว่านี่คือโอกาสดีที่จะกะเทาะจิตวิญญาณของทุกคนให้แตกเป็นเสี่ยงๆ ดังนั้นจึงถลึงตา สะบัดปลายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง หันไปพูดกับแผ่นหลังของบุรพาจารย์สำนักธารดารา
“บุรพาจารย์สำนักธารดารา ข้าผู้แซ่ป๋ายให้เวลาเจ้าสามชั่วลมหายใจ หากเจ้าหนีไปได้ถือว่าเจ้าดวงแข็ง แต่หากหนีไม่พ้น ข้าผู้แซ่ป๋ายแค่สะบัดปลายแขนเสื้อก็สามารถทำให้เจ้า…สิ้นราบพนาสูร!”
บุรพาจารย์สำนักธารดาราที่ห่างไปไกลได้ยินประโยคนี้ก็เหมือนนกที่หวาดกลัวคันธนู ในสมองของเขามีเสียงตูมระเบิดดังลั่น รีบพ่นเลือดออกมาอีกครั้ง เบิกอายุขัยมาใช้ล่วงหน้าอย่างไม่เสียดายเพื่อแลกมาด้วยความเร็วที่เพิ่มขึ้นจากเดิมในระยะเวลาสั้นๆ เสียงตูมดังหนึ่งที ร่างของเขาก็หายวับไปอย่างไร้ร่องรอย…