บทที่ 916 ความฝันของจางต้าพั่ง
แทบจะวินาทีเดียวกับที่ป๋ายเสี่ยวฉุนโบกมือและเรือรบลำยักษ์ก็แล่นทะยานไปยังทิศไกลบนมหาสมุทรทงเทียน ลูกศิษย์ทุกคนที่อยู่บนสายรุ้งของสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราต่างก็พากันตัวสั่นด้วยความตื่นเต้น
“ในที่สุด…ในที่สุดก็ไปสักที!!”
“สวรรค์มีตา เจ้าเฒ่าประหลาดป๋ายผู้นั้นไปจากสำนักได้เสียที ทุกวันที่เขาอยู่ พวกเราต้องต้องใช้ชีวิตอยู่อย่างอกสั่นขวัญแขวน ขอให้ครั้งนี้เขาไปแล้วไปตายอยู่ที่นั่น สวรรค์โปรดช่วยกำจัดเจ้าตัวหายนะนี่ไปด้วยเถิด”
“ไอ้บ้านนอกสมควรตาย ไสหัวไปได้เสียที ฮ่าๆ รีบไสหัวออกไปจากสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราของเราเลย!” ลูกศิษย์ของสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราดีใจกันเกินจะหาสิ่งใดเปรียบ ลูกศิษย์บางคนถึงขั้นมีน้ำตามาคลออยู่ในดวงตาด้วยซ้ำ และยังมีคนบางส่วนที่ไม่รู้ว่าไปหยิบเอาฆ้องเอากลองกันมาจากไหน ตั้งท่าราวกับฉลองวันปีใหม่อย่างไรอย่างนั้น
ตลอดทั้งสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราพลันเต็มไปด้วยบรรยากาศแห่งความชื่นมื่น เสียงไชโยโห่ร้อง เสียงแห่งความปลาบปลื้มดีใจ เสียงตีฆ้องตีกลองดังกระหึ่มสะเทือนไปยันชั้นฟ้า
พวกเขาเองก็จนปัญญามากจริงๆ ป๋ายเสี่ยวฉุนผู้นั้นตบะสูงล้ำ ฐานะสูงส่ง พวกเขาสู้ไม่ได้ ความอิจฉาในใจก็เข้มข้นถึงขีดสุด แต่กลับไม่กล้าแสดงออกอย่างโจ่งแจ้งมากนัก นี่จึงทำให้พวกเขากดดันอัดอั้นอย่างถึงที่สุด ตอนนี้เห็นว่าป๋ายเสี่ยวฉุนจากไปแล้ว ความฮึกเหิมของพวกเขาจึงมีมากจนไร้คำบรรยาย
เสียงเอะอะมะเทิ่งเหล่านี้ดังแว่วไปไกลมาก และต่อให้เรือรบจะกำลังแล่นทะยาน แต่กระนั้นก็ยังไม่ได้จากไปไกลมากนัก…
ป๋ายเสี่ยวฉุนที่ยืนอยู่บนเรือรบก็ย่อมต้องได้ยินเสียงไชโยโห่ร้องที่ดังมาจากสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราด้านหลังของตัวเองเป็นธรรมดา
เขากะพริบตาปริบๆ ไอแห้งๆ หนึ่งที ในใจเต็มไปด้วยความซาบซึ้ง เขารู้สึกว่าต้องเป็นเพราะตนยอดเยี่ยมเกินไปแน่ๆ หาไม่แล้วเหตุใดทุกครั้งที่ตนไปจากที่ที่หนึ่ง เวลาที่คนมาส่งจะต้องเบิกบานเหมือนกันแทบไม่มีผิดเพี้ยนอย่างนี้ทุกครั้ง
“ไม่ได้ยินเสียงแบบนี้มานานมากแล้ว ดูสิ…พวกเขาอาลัยอาวรณ์ข้าถึงขนาดไหน พอเห็นว่าข้าจะจากไปเลยพากันมาส่งอย่างชื่นบานเช่นนี้” ป๋ายเสี่ยวฉุนหน้าหนามาตั้งแต่เด็ก ตอนนี้จึงมีแก่ใจหันไปทอดถอนใจให้พวกซ่งเชวียและจ้าวเทียนเจียวที่อยู่ข้างๆ ฟัง
ซ่งเชวียเงียบกริบ ส่วนจ้าวเทียนเจียวนั้นปั้นหน้าไม่ถูก ป๋ายหลินได้แต่ยิ้มเฝื่อน
“ไม่ได้ พวกเขาอุตส่าห์มาส่งข้า ข้าป๋ายเสี่ยวฉุนเป็นถึงผู้อาวุโสไท่ซ่างจะไม่แสดงท่าทีเลยได้อย่างไร ทหาร จอดเรือให้ข้าเดี๋ยวนี้!” ป๋ายเสี่ยวฉุนเชิดคางขึ้น สำหรับถ้อยคำของพวกคนสำนักอันตมรรคาฟ้าดารา แม้ว่าภายนอกเขาจะดูใจกว้างมาก แต่ในใจกลับจดจำแค้นไว้นานแล้ว ครุ่นคิดว่าจะให้คนพวกนี้ดีใจกันออกหน้าออกตาเกินไปไม่ได้ ดังนั้นจึงสะบัดปลายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง
เขาคือผู้แข็งแกร่งที่สุดของเรือลำนี้ คำพูดของเขามีหรือที่พวกลูกศิษย์บนเรือจะกล้าไม่เชื่อฟัง ทุกคนจึงได้แต่ทำตามคำสั่ง พริบตานั้นเรือยักษ์ก็พลันจอดกึก
ลูกศิษย์ในสำนักอันตมรรคาฟ้าดารากำลังกู่ร้องเฮฮากันอย่างบ้าคลั่ง ทว่าขณะที่ความฮึกเหิมของพวกเขากำลังเดือดพล่านนั้นเอง จู่ๆ ไม่รู้ว่าใครที่เห็นเป็นคนแรกว่าเรือจอดลง จึงร้องอุทานเสียงหลงอย่างแตกตื่น
“ทุกคนดูนั่นเร็ว ทำไมเรือถึงได้จอดแล้วล่ะ!!”
“สวรรค์ นี่มันเรื่องอะไรกัน!!”
“เขาคงไม่ได้เปลี่ยนใจแล้วหรอกนะ…” ไม่นานก็มีคนมากขึ้นเรื่อยๆ ที่เห็นว่าเรือจอดนิ่ง ชั่วขณะนั้นทั้งสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราพลันตกอยู่ในความเงียบสงัด สายตาของคนนับไม่ถ้วนที่แฝงไว้ด้วยการคิดคำนึงถึงผลได้ผลเสียหันไปมองยังเรือรบกลางทะเลด้วยใจที่ตึงเครียดอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
ส่วนบนเรือเวลานี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนที่ยืนอยู่ตรงนั้นก็ทอดสายตามองไกลๆ มายังสำนักอันตมรรคาฟ้าดารา พอเห็นว่าเสียงไชโยโห่ร้องและเสียงตีฆ้องร้องป่าวเงียบหายไปแล้ว เขาจึงไอแห้งๆ อีกครั้งหนึ่ง
“ดูท่าทุกคนคงอาลัยอาวรณ์ข้ามากสินะ เอาเถอะๆ หันหัวเรือกลับไปสิ ข้าจะไปบอกลาพวกเขาเสียหน่อย” ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกว่าตนเป็นคนที่มีมารยาทอย่างยิ่ง พูดไปยิ้มแย้มไป พอจบคำของเขา พวกจ้าวเทียนเจียวและป๋ายหลินถึงกับหันมามองหน้ากัน…
และภายใต้คำสั่งของป๋ายเสี่ยวฉุน เรือรบลำนี้ก็ได้ค่อยๆ …หันหัวกลับไปยังสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราอีกครั้ง…
ภาพนี้ทำเอาลูกศิษย์ของสำนักอันตมรรคาฟ้าดารารู้สึกเหมือนร่างจะระเบิด แต่ละคนหน้าเปลี่ยนสีอย่างหนัก ในใจเหมือนมีสายฟ้าฟาดผ่าไม่หยุด
“เขา…เขากลับมาทำไม!!”
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น นี่มันจะเป็นไปได้อย่างไร!!”
“ต้องโทษพวกเจ้านั่นแหละ ก่อนหน้านี้เอ็ดตะโรกันเกินไป ตอนนี้เขาไม่ไปแล้ว จะทำยังไงกันดี!”
ขณะที่ทุกคนกำลังตึงเครียดกระวนกระวายกันถึงที่สุดนั้น จู่ๆ บนสายรุ้งสีม่วงที่อยู่สูงสุดก็มีเสียงที่แทบจะใกล้เคียงกับการคำรามของบุรพาจารย์ครึ่งเทพดังลอยมา
“ป๋ายเสี่ยวฉุน อิดออดอยู่นั่นแหละ เจ้าอยากรนหาที่ตายอีกรึไง จะไปหรือไม่ไปห๊ะ!”
เสียงนี้ปานประหนึ่งอสนีบาตที่ระเบิดเปรี้ยงกึกก้องฟ้าดิน ทำเอานภากาศเปลี่ยนสี ลมกระโชกพัดเมฆให้ตลบปั่นป่วน ขนาดมหาสมุทรทงเทียนยังมีคลื่นลูกยักษ์โถมตัวขึ้นมา สะเทือนแก้วหูจนป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกเหมือนหูจะดับ ร่างสั่นเทิ้มอย่างห้ามไม่ได้
“ข้าก็แค่อยากบอกลากับทุกคนเท่านั้น…ก็ได้ๆ ปรับเปลี่ยนทิศทาง เป้าหมายคือเกาะทงเทียน” ป๋ายเสี่ยวฉุนเบ้ปาก รีบตะโกนเสียงดัง ในใจปลงอนิจจังไม่หยุด
แต่กลับทำอะไรไม่ได้ เขารู้ว่าตนเอาชนะบุรพาจารย์ครึ่งเทพไม่ได้ ตอนนี้จึงได้แต่ถอนหายใจ มองสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราเงียบๆ ถือเป็นการบอกลา
ไม่นานเรือลำนี้ก็หมุนเปลี่ยนทิศทางมุ่งหน้าไปยังจุดลึกของมหาสมุทรทงเทียนอีกครั้ง แล่นทะยานไปไกลเรื่อยๆ จนกระทั่งหายวับไปตรงขอบฟ้า
และเวลานี้เอง เมื่อแน่ใจว่าป๋ายเสี่ยวฉุนจากไปแล้วจริงๆ ลูกศิษย์ของสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราถึงได้ผ่อนลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่ แต่ละคนกลับมาฮึกเหิมดีใจกันอีกครั้ง
และการปิดด่านของป๋ายเจิ้นเทียนก็ได้สิ้นสุดลงตรงนี้ เขาสูดลมหายใจเข้าลึก รู้สึกได้ว่าโลกใบนี้ช่างสดใสงดงามยิ่งนัก ตอนนี้จึงเดินออกมาจากที่พักพร้อมยิ้มเต็มใบหน้า
ยังมีหลี่เสี่ยนเต้าอีกคน แม้ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับป๋ายเสี่ยวฉุนจะไม่ตึงเครียดดังเก่าอีกแล้ว แต่ตอนที่ป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่ เขาก็ยังรู้สึกว่าไม่เป็นอิสระเท่าใดนัก ตอนนี้เขารู้สึกเพียงว่าร่างทั้งร่างโปร่งโล่งสบาย ความรู้สึกสบายกายสบายใจอย่างที่ไม่เคยมีมานานหวนกลับคืนมาอีกครั้ง
ส่วนเฉินเห้อเทียนที่ตอนนี้ออกไปฝึกตนข้างนอก พอได้รับข่าวว่าป๋ายเสี่ยวฉุนจากไปแล้ว เขาก็ดีใจขึ้นมาทันควัน
“ในที่สุดไอ้เด็กสมควรตายผู้นั้นก็ไปได้เสียที!”
เฉินเห้อเทียนสูดลมหายใจเข้าลึก ในใจเอ่อท้นไปด้วยความปลื้มปริ่ม รีบขยับกายมุ่งหน้าตรงดิ่งกลับไปยังสำนักอันตมรรคาฟ้าดารา
บนมหาสมุทรทงเทียน คลื่นลมนิ่งสงบ แม้จะเป็นยามค่ำคืน ทว่าน้ำของมหาสมุทรก็ยังส่องประกายสีทองอร่าม ทำให้นักพรตทุกคนที่มองไปสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของทิวทัศน์ในแบบที่แตกต่าง โดยเฉพาะการเดินทางครั้งนี้ไม่ใช่การที่เหล่าศิษย์แห่งความภาคภูมิใจต้องไปร่วมสนามรบอย่างเมื่อปีนั้น ดังนั้นสภาพจิตใจของพวกนักพรตก่อกำเนิดที่อยู่บนเรือจึงสงบนิ่งเป็นสุขไม่น้อย
ระหว่างพวกเขาเองก็มีคนที่อยากผูกมิตรต่อกัน เพราะอย่างไรซะการรับลูกศิษย์ของเทียนจุนในครั้งนี้ พวกเขายังจำเป็นต้องเผชิญหน้ากับคนอีกมากมาย โดยเฉพาะพวกคนแปลกหน้าจากแม่น้ำอีกสามสาย และหากพูดถึงในด้านวิชาคาถาของแม่น้ำอีกสามสาย ก็ยิ่งเป็นสิ่งที่แปลกใหม่แตกต่างไปจากที่พวกเขาเคยพบเจอมาอย่างสิ้นเชิง
เมื่อเป็นเช่นนี้ทุกคนจึงสามัคคีปรองดองกันมากขึ้น การเดินทางครั้งนี้จึงราบรื่นขึ้นอีกนิด อีกทั้งทุกคนยังเป็นคนของแม่น้ำสายตะวันออกเหมือนๆ กัน ต่อให้จะมีใครได้กลายเป็นลูกศิษย์ของเทียนจุนขึ้นมาจริงๆ พวกเขาก็หวังว่าคนคนนั้นจะเป็นคนของพื้นที่ตัวเอง ไม่ใช่คนจากแม่น้ำอีกสามสาย ขณะเดียวกันนักพรตก่อกำเนิดพวกนี้ก็มีท่าทางเคารพยำเกรงป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างถึงที่สุด เพียงแต่ว่าภาพเหตุการณ์ก่อนจะออกมาจากสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราทำให้พวกเขากระวนกระวายใจกันอยู่บ้าง ดังนั้นตอนนี้จึงยังไม่มีใครกล้ามาเข้าพบป๋ายเสี่ยวฉุน
ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็รู้สึกเบื่อหน่าย ปีนั้นที่เขาโดยสารเรือเดินทางไปยังกำแพงเมืองใช้เวลาเกือบครึ่งปี ตอนนี้สถานที่ที่ต้องไปคือเกาะทงเทียน หากคำนวณเวลาดูแล้ว เกรงว่าครึ่งปีคงยังไม่พอ
ระยะเวลายาวนานเช่นนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนครุ่นคิดดูก็รู้สึกว่าตนควรจะหาเรื่องอะไรทำสักหน่อย และสิ่งแรกที่ควรต้องทำก็คือช่วยให้ตบะของจางต้าพั่งฝ่าทะลุ
เพราะอย่างไรซะขอแค่ตบะเลื่อนขั้นไปได้ จางต้าพั่งก็จะมีสิทธิ์เข้าร่วมการประลองรับลูกศิษย์ของเทียนจุน ทว่าหากไม่มีการฝ่าทะลุขั้น เขาก็ได้แต่รอให้ทุกคนประลองเสร็จกลับมา ถึงจะได้ติดตามทุกคนกลับไปยังสำนักอีกครั้ง
พอคิดมาถึงตรงนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนก็รีบลุกขึ้นเดินมุ่งหน้าไปยังห้องพักของจางต้าพั่งทันที ด้วยความสัมพันธ์ระหว่างเขาและจางต้าพั่ง ป๋ายเสี่ยวฉุนย่อมเป็นคนจัดหาห้องพักที่ไม่เลวให้กับอีกฝ่าย ซึ่งก็คือห้องพักใหญ่อันดับสองซึ่งปีนั้นเขาเคยพักอาศัย
เวลานี้จางต้าพั่งกำลังยืนอยู่บนระเบียงในห้องของตัวเอง ทอดสายตามองไกลไปยังมหาสมุทรทงเทียนด้วยจิตใจที่สะท้านไหว
ตลอดชีวิตนี้ของเขา สถานที่ที่ไปได้ไกลมากที่สุดก่อนหน้านั้นก็คือเดินทางจากสำนักธาราเทพไปยังสำนักสยบธาร และตอนหลังก็มาอยู่สำนักอันตมรรคาฟ้าดารา วันนี้ในที่สุดก็ได้เดินออกมาจากแม่น้ำทงเทียนสายตะวันออก อารมณ์ของเขาจึงฮึกเหิมอย่างยิ่ง
และในความเป็นจริงแล้วปีที่พวกป๋ายเสี่ยวฉุนเดินทางไปยังกำแพงเมือง แม้เขาจะกำลังปิดด่าน แต่เขาก็รู้ดีว่าตัวเองไม่มีคุณสมบัติจะได้ร่วมเดินทางไปด้วย ในใจจึงเสียดายและเป็นทุกข์อยู่ไม่มากก็น้อย ส่วนลึกในใจของเขาซุกซ่อนความฝันหนึ่งไว้ตลอดเวลา
“เดินทางไปให้ไกลที่สุด เพื่อได้มองเห็นฟ้าดินที่กว้างใหญ่ยิ่งกว่าเก่า!” จางต้าพั่งสูดลมหายใจเข้าลึก จิตใจกระเพื่อมไหว ที่เขายืนกรานจะไปเกาะทงเทียนให้ได้นั้น หากพูดกันง่ายๆ ก็เป็นเพราะเมื่อครึ่งปีกว่าก่อนหน้านี้ เขาที่ไม่เคยฝัน จู่ๆ กลับฝันถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมา
ในความฝันนั้นเขาเหมือนได้ไปอยู่ในโลกที่มหัศจรรย์ใบหนึ่ง พอตื่นขึ้นมาเขาก็แอบมีลางสังหรณ์บางอย่างที่บอกไม่ถูก ราวกับว่าการเดินทางไปยังเกาะทงเทียนครั้งนี้จะเป็นจุดหักเหของชีวิตตน
“หลังจากที่โอสถแห่งความคิดของข้าฝึกสำเร็จ แม้ว่าลางสังหรณ์ของข้าจะไม่ปรากฏขึ้นบ่อยนัก ทว่าทุกครั้งที่ปรากฏกลับแม่นยำอย่างยิ่ง…ครั้งนี้สิ่งที่รอข้าอยู่ ต้องเป็นโชควาสนาครั้งใหญ่ของชีวิตข้าแน่นอน!” จางต้าพั่งสูดลมหายใจเข้าลึก นัยน์ตายิ่งฉายแววดึงดัน และเวลานี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ได้มาถึงพอดี