บทที่ 917 ต่างวิธีแต่เป้าหมายเดียวกัน
“เสี่ยวฉุน ครั้งนี้ข้าต้องเป็นก่อกำเนิดให้ได้ อีกอย่างข้าจะบอกอะไรให้นะ…” พอเห็นว่าป๋ายเสี่ยวฉุนมาหา จางต้าพั่งก็สงบอารมณ์ สีหน้าเริ่มเปลี่ยนมาเป็นเคร่งขรึม ก่อนจะเล่าความฝันของตัวเองให้ป๋ายเสี่ยวฉุนฟัง
ป๋ายเสี่ยวฉุนรับฟังก็อึ้งแล้วอึ้งอีก พอถึงท้ายที่สุดก็ถึงกับมองจางต้าพั่งด้วยสีหน้าปั้นยาก อ้าปากหมายจะพูดอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายกลับข่มกลั้นเอาไว้ ตบไหล่จางต้าพั่งแรงๆ
“ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านทำได้แน่!” ป๋ายเสี่ยวฉุนปลอบใจ ทว่าในใจกลับพึมพำว่าจางต้าพั่งดึงดันเกินไป แค่ความฝันครั้งหนึ่งก็ดันเชื่อเป็นตุเป็นตะเสียได้
ทว่าภายนอกป๋ายเสี่ยวฉุนไม่อยากตั้งคำถามคลางแคลงใจต่อศิษย์พี่ใหญ่ของตน ดังนั้นจึงเลือกที่จะเอ่ยหยอกเย้าแทน
“ดีสิ ศิษย์พี่ใหญ่ หากท่านได้เห็นโลกมหัศจรรย์ใบนั้นจริงๆ จำไว้ว่ากลับมาต้องบอกข้าด้วยนะว่าที่นั่นเป็นยังไง แล้วก็พาข้าไปดูด้วยนะ”
จางต้าพั่งหัวเราะฮ่าๆ หลังจากพยักหน้ารับก็เริ่มนั่งขัดสมาธิตามคำบอกของป๋ายเสี่ยวฉุน
สำหรับการฝ่าทะลุขอบเขตของจางต้าพั่ง ก่อนหน้านี้ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ได้เตรียมการมาก่อนแล้ว เขาใช้วิญญาณคนฟ้าดวงหนึ่งไปแลกวิญญาณสัตว์ฟ้ามาห้าธาตุ เพราะอย่างไรซะวิญญาณคนฟ้าของเขาก็เหลืออีกไม่มากแล้ว อีกทั้งยังสะสมได้ไม่ครบห้าธาตุด้วย จึงไม่สามารถช่วยให้จางต้าพั่งก่อกำเนิดวิถีฟ้าได้
แม้จะไม่ใช่ก่อกำเนิดวิถีฟ้า แต่ก็เป็นก่อกำเนิดวิญญาณสัตว์ฟ้า นับว่าเป็นระดับสูงสุดแล้วเช่นกัน อีกทั้งยังช่วยเขาได้มากหากวันหน้าจางต้าพั่งจะเลื่อนขั้นเป็นคนฟ้า เพราะเขาจะได้รับทรัพยากรที่มีเพียงศิษย์แห่งความภาคภูมิใจล้ำเลิศในสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราเท่านั้นถึงจะได้รับ
เรื่องนี้จางต้าพั่งเองก็รู้ดีอยู่แก่ใจ ในใจจึงเต็มไปด้วยความซาบซึ้ง
วันเวลาผันผ่าน ไม่นานก็ผ่านไปแล้วสามเดือน การฝ่าตบะของจางต้าพั่งที่ต่อให้จะมีป๋ายเสี่ยวฉุนเป็นผู้พิทักษ์ ต่อให้ป๋ายเสี่ยวฉุนจะมียาและทรัพยากรมากพอให้เขาได้ใช้ แต่กระนั้นก็ยังไม่ราบรื่น
นั่นเป็นเพราะขอบเขตพิเศษอย่างโอสถแห่งความคิดนี้ แม้แต่ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็ยังไม่ค่อยเข้าใจมากนัก ตอนนั้นเขาก็เพิ่งเคยได้ยินจากปากเฝิงโหย่วเต๋อเหมือนกันว่าในขอบเขตรวมโอสถนั้น ยังมีโอสถแห่งความคิดอยู่ด้วย
ส่วนเฝิงโหย่วเต๋อก็แค่เคยอ่านเจอจากในตำราเล่มหนึ่งโดยบังเอิญ ตอนนั้นเขาเองก็ตกตะลึงอย่างถึงที่สุด ทว่าดูจากประสบการณ์ของจางต้าพั่งที่มีในสำนักนับแต่นั้นมา แม้ว่าพลังการต่อสู้ของเขาจะไม่ธรรมดา แต่เห็นได้ชัดว่าไม่ได้รับความสนใจจากสำนัก จากจุดนี้สามารถมองออกว่าสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราไม่ได้ให้ความสำคัญกับโอสถแห่งความคิดของจางต้าพั่งเท่าไหร่นัก
และครั้งนี้เนื่องจากต้องการช่วยให้จางต้าพั่งเลื่อนขอบเขต ก่อนที่จะจากมา ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ได้อาศัยตัวตนของตัวเองไปตรวจสอบบันทึกในตำราเกี่ยวกับโอสถแห่งความคิดที่มีอยู่ในสำนักแล้ว แน่นอนว่าสิ่งที่เขาได้อ่านมาละเอียดยิ่งกว่าเฝิงโหยวเต๋ออยู่หลายส่วน
เพียงแต่ว่าต่อให้จะอ่านมาละเอียดแค่ไหนก็ยังไม่ครอบคลุมทุกเรื่องอยู่ดี รู้เพียงแค่ว่าในช่วงเวลาอันยาวนานก่อนหน้านี้ ผู้ที่จะฝึกโอสถแห่งความคิดสำเร็จได้มีเพียงคนที่ใช้ความคิดในการหลอมพลังจิตเท่านั้น และพลังในการต่อสู้ก็เทียบได้แค่โอสถม่วงชั้นดิน เมื่อมาถึงก่อกำเนิดแล้วก็จะเปลี่ยนมาเป็นธรรมดา ไม่โดดเด่นอะไรอีก
อีกทั้งหากนักพรตที่ฝึกโอสถแห่งความคิดอยากจะฝ่าทะลุขอบเขตก็จะยากลำบากกว่าคนอื่นๆ ไม่น้อย
พอเป็นเช่นนี้โอสถแห่งความคิดจึงเป็นเหมือนซี่โครงไก่ (ซี่โครงไก่มีเนื้อไม่มาก แต่จะทิ้งไปก็เสียดาย เป็นคำเปรียบเปรยถึงสิ่งของที่ไม่มีคุณค่าและไม่มีความหมาย ทว่าก็ตัดใจทิ้งไม่ลง) ในอดีตก็เคยมีคนศึกษาอย่างละเอียดเช่นกัน ทว่าสุดท้ายแล้วกลับล้มเลิกความตั้งใจไป นานวันเข้า โอสถแห่งความคิดจึงไม่ได้รับความสำคัญจากผู้คนเท่าใดนัก
ทว่าสามเดือนมานี้เนื่องจากป๋ายเสี่ยวฉุนคอยสังเกตการโคจรตบะในร่างของจางต้าพั่งอยู่แทบทุกเวลานาที ดังนั้นจึงค่อยๆ ค้นพบบางจุดที่ผิดปกติ
เขาพบว่ากลางพลังจิตวิญญาณในร่างของจางต้าพั่งคล้ายจะมีเส้นใยอยู่เส้นหนึ่ง เส้นใยนี้ผลุบๆ โผล่ๆ ลอดทะลวงไปได้ทั่วทุกมุมในร่างของเขา หากเปลี่ยนมาเป็นคนอื่นที่เห็นเส้นใยนี้คงแค่รู้สึกแปลกใจ ไม่มีทางคิดเชื่อมโยงไปถึงอะไรมากมาย
แต่ป๋ายเสี่ยวฉุนที่พอสังเกตการณ์มาอย่างละเอียดพักใหญ่กลับลมหายใจถี่กระชั้น หัวใจก็เริ่มสะท้านสะเทือน
เพราะเขาจำได้ว่า เส้นใยแบบเส้นนี้ก็เคยปรากฏในโอสถทองของเขาเช่นกัน!
ในคาถาหันเหมินเลี้ยงความคิดเคยอธิบายไว้ว่า เส้นใยนี้เรียกว่าพลังแห่งความคิด!
เพียงแต่หลังจากที่ป๋ายเสี่ยวฉุนเป็นก่อกำเนิดวิถีฟ้า พลังแห่งความคิดที่คล้ายจะแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ตอนเป็นรวมโอสถกลับหายไปอย่างน่าประหลาดใจ จนกระทั่งป๋ายเสี่ยวฉุนกลายมาเป็นคนฟ้า เขาก็ยังไม่เข้าใจว่ามันหายไปไหน
ตอนที่อยู่สำนักสยบธาร เขาก็เคยถามบุรพาจารย์สำนักธาราเทพเช่นกัน แต่บุรพาจารย์สำนักธาราเทพก็ไม่รู้อะไรมาก จึงทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนฝังกลบเรื่องนี้ไว้ในส่วนลึกของจิตใจ มาตอนนี้ที่ช่วยจางต้าพั่งฝ่าทะลุขอบเขต ป๋ายเสี่ยวฉุนเห็นเส้นใยนั้นในร่างของอีกฝ่าย ดวงตาของเขาก็เปล่งแสงวาบ ฉายแสงแห่งการครุ่นคิด
“หรือว่าพลังแห่งความคิดของข้าไม่ได้หายไป แต่ไปผสานรวมอยู่ในพลังจิตวิญญาณของข้าแทน?” ป๋ายเสี่ยวฉุนรีบตรวจสอบร่างตัวเอง แต่ไม่ว่าจะสำรวจหาแค่ไหน เขาก็ยังหาไม่เจอ
“พลังแห่งความคิด…คืออะไรกันแน่นะ?” ป๋ายเสี่ยวฉุนอดใคร่ครวญจริงจังไม่ได้ ผ่านไปพักใหญ่ถึงถอนหายใจ ความเข้าใจที่เขามีต่อพลังแห่งความคิดนี้น้อยยิ่งกว่าน้อย ตอนนี้ก็ได้แต่คลำทางทดลองโดยผ่านจางต้าพั่งเท่านั้น
เวลาผ่านไปอีกหนึ่งเดือน มหาสมุทรทงเทียนสีทองมีลูกคลื่นโถมตัวอยู่ตลอดเวลา บางครั้งยังพอจะมองเห็นเงาร่างของสัตว์ทะเลแปลกประหลาดที่ผลุบๆ โผล่ๆ ได้จากบนผิวน้ำ เหล่านักพรตก่อกำเนิดบนเรือที่ตอนแรกเริ่มยังคักคักสนใจก็เปลี่ยนมาเริ่มมองภาพทะเลสีทองอย่างเคยชิน และไม่นานต่างคนต่างก็เริ่มนั่งเข้าฌานฝึกตน
ส่วนจางต้าพั่งนั้นปิดด่านมาตั้งแต่แรกเริ่ม ตามการวิเคราะห์ของป๋ายเสี่ยวฉุน การเลื่อนขั้นของจางต้าพั่งอาจจะสำเร็จในอีกสองเดือนข้างหน้า
ระยะเวลาระหว่างนี้ไม่จำเป็นต้องให้ป๋ายเสี่ยวฉุนคอยเป็นผู้พิทักษ์อยู่ตลอดเวลา และในเรื่องของพลังแห่งความคิด สุดท้ายแล้วป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยังหาเบาะแสใดๆ ไม่พบ จึงได้แต่เก็บไว้ในใจต่อไป
เมื่อเห็นว่าบนเรือเงียบสงัด ทุกคนเอาแต่ฝึกตน ป๋ายเสี่ยวฉุนครุ่นคิดไปมาก็ได้แต่เลือกฝึกตนอยู่ในห้องเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นทรัพยากรที่ต้องใช้ในคาถาสุริยันจันทราฟ้าไพศาลหรือเลือดคงกระพัน ก่อนจะออกมาจากสำนักอันตมรรคาฟ้าดารา ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ล้วนตระเตรียมมาอย่างพรั่งพร้อม และก็เป็นเช่นนี้ ขณะที่เรือรบแล่นทะยานไปเบื้องหน้า ป๋ายเสี่ยวฉุนซึ่งนอกจากจะแบ่งอำนาจจิตส่วนหนึ่งไปจับตามองจางต้าพั่งแล้วก็เริ่มฝึกวิชาของตัวเองไปด้วย
เมื่อเทียบกับคาถาสุริยันจันทราฟ้าไพศาลแล้ว การฝึกเลือดคงกระพันเร็วกว่าอย่างเห็นได้ชัด เพราะอย่างไรเสียสิ่งที่เลือดคงกระพันต้องการก็คือพลังชีวิต ตามหลักการแล้วขอแค่มีทรัพยากรที่มีพลังชีวิตเปี่ยมล้นมากพอ การที่จะทำให้คนคนหนึ่งฝึกได้ถึงขั้นสมบูรณ์แบบในระยะเวลาสั้นๆ ก็หาใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้
อีกทั้งป๋ายเสี่ยวฉุนยังไปหาพืชหญ้าที่มีพลังชีวิตมาได้มากมหาศาล หากเอาพืชหญ้าพวกนี้มาหลอมเป็นยาพลังชีวิต ประสิทธิผลที่ได้ย่อมดีกว่า แต่ด้านหนึ่งหลังจากที่ป๋ายเสี่ยวฉุนกลายเป็นคนฟ้า การหลอมยาของเขาก็มักมีเรื่องประหลาดเกิดขึ้นได้ไม่หยุดหย่อน ทำให้ความสงสัยที่เขามีต่อการหลอมยาของตัวเองยิ่งลึกล้ำมากขึ้นเรื่อยๆ อีกด้านหนึ่งก็เพราะอย่างไรซะที่นี่ก็คือบนเรือรบ ตอนนี้เขาจึงได้แต่หยิบเอาพืชหญ้าจำนวนมากจากในถุงเก็บของมากลืนลงท้องไปโดยตรง พลังชีวิตที่อยู่ในพืชหญ้าพวกนี้หากเปลี่ยนมาเป็นคนอื่นต้องไม่สามารถกินเข้าไปได้แน่นอน เพราะถ้าทดลองทำเมื่อไหร่เลือดลมในร่างก็ย่อมเดือดพล่านปั่นป่วนเนื่องจากพลังชีวิตที่มากเกินพอดี สุดท้ายร่างก็จะระเบิดเพราะแบกรับไม่ไหว
แต่ป๋ายเสี่ยวฉุนกลับไม่ต้องกังวลในเรื่องนี้ ร่างของเขาเหมือนเป็นหลุมดำขนาดใหญ่ที่ราวกับไม่มีวันเต็มได้เติม เมื่อพืชหญ้าถูกป๋ายเสี่ยวฉุนกลืนเข้าไป เมื่อพลังชีวิตแผ่ซ่านออกมาก็ถูกหลุมดำนั่นดูดซับไปทันที
พอดูดซับไปได้ถึงระดับที่แน่นอนแล้ว หลุมดำนี้ก็จะส่องประกายแสงสีแดงออกมา ทำให้เลือดทุกหยดในร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนยิ่งสดใสพร่างพราวมากกว่าเดิม
สุดท้ายเมื่อผ่านไปอีกหนึ่งเดือน เลือดคงกระพันในร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนก็เพิ่มขึ้นมาเป็นหยดที่สอง!
หลังจากเลือดคงกระพันหยดที่สองนี้ปรากฏตัว ร่างทั้งร่างของเขาก็พลันสะท้านไหว อีกทั้งเมื่อมองไปในร่างยังพบว่าหยดเลือดของเขายิ่งเป็นสีแดงสดมากขึ้นเนื่องจากการปรากฎของเลือดคงกระพันหยดที่สองนี้
เพียงแต่ว่าพอป๋ายเสี่ยวฉุนลืมตา เขากลับเผยท่าทางกลัดกลุ้มออกมา
“เลือดคงกระพันนี่สิ้นเปลืองพลังชีวิตมากเกินไปแล้ว ข้ากินพืชหญ้าที่เอามาจากสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราหมดไปครึ่งหนึ่งแล้วกลับรวบรวมหยดเลือดเพิ่มได้อีกแค่หยดเดียว” ป๋ายเสี่ยวฉุนนวดคลึงหว่างคิ้ว เขากลุ้มใจมากจริงๆ พอคิดว่าเลือดในร่างตัวเองคงมีมากถึงสองสามหมื่นหยดหรืออาจจะมากกว่านั้น เขาก็ให้รู้สึกว่าวันเวลาที่จะฝึกเลือดคงกระพันได้สำเร็จช่างห่างไกลเหลือเกิน
ป๋ายเสี่ยวฉุนอึดอัดใจไม่น้อย ขณะที่กำลังคิดว่าจะมีวิธีใดเพิ่มความเร็วได้ เขากลับเงยหน้าขึ้นพรวด มองไปยังทิศทางที่ตั้งห้องของจางต้าพั่ง ก่อนจะขยับกายหายวับไป ปรากฏตัวอีกครั้งก็มาอยู่ในห้องพักของจางต้าพั่งแล้ว
จางต้าพั่งในเวลานี้ร่างสั่นเทิ้ม หน้าผากมีเม็ดเหงื่อแตกพลั่กๆ ออกมาเป็นจำนวนมาก พลังอำนาจที่ล้อมวนรอบกายก็เริ่มผุดพุ่งขึ้นเรื่อยๆ ป๋ายเสี่ยวฉุนเพ่งสมาธิมองด้วยสีหน้าเครียดขรึมก็พบว่าจางต้าพั่งในเวลานี้กำลังอยู่ในช่วงเวลาของการฝ่าโอสถให้แตก
จากรวมโอสถเลื่อนสู่ก่อกำเนิดจำเป็นต้องฟักจากโอสถ กลายมาเป็นตัวอ่อนทารก!
และประโยชน์ของวิญญาณสัตว์ฟ้าก็คือช่วยผสานสารบำรุงส่วนหนึ่งเข้าไปตอนที่กลายเป็นทารก ทำให้ตัวอ่อนทารกที่ก่อรูปก่อร่างขึ้นมาบริสุทธิ์มากยิ่งขึ้น
ป๋ายเสี่ยวฉุนรีบยกมือขวาทำมุทราแล้วชี้ไปอย่างไม่รีรอ ทันใดนั้นแสงสีขาวเส้นหนึ่งก็พุ่งไปจากปลายนิ้วของเขา ก่อนจะกลายมาเป็นม่านแสงที่ปกคลุมร่างของจางต้าพั่งเอาไว้ภายใน แรงสั่นสะเทือนของเรือนกายจางตาพั่งเบาลงไปไม่น้อย ส่วนพลังอำนาจของเขาก็ยิ่งแข็งแกร่ง มาถึงท้ายที่สุดก็มีเสียงลั่นเปรี๊ยะดังออกมาจากในร่างของเขา
นั่นคือเสียงโอสถที่ปริแตก!
วินาทีที่เสียงนี้ดังออกมา ฟ้าดินก็สั่นสะท้านสะเทือน ก้อนเมฆบนนภากาศเหนือเรือรบถูกลมพัดกระชากให้ปั่นป่วน ก่อนจะก่อตัวกลายมาเป็นเมฆทะมึนจำนวนมาก ขณะที่เมฆดำพวกนี้เสียดสีกันเองก็มีสายฟ้าหลายเส้นแลบแปลบปลาบตัดสลับกันไปมา ลักษณะน่าครั่นคร้าม ทำเอาพวกนักพรตทุกคนที่อยู่บนเรือพากันเดินออกมาแล้วเงยหน้ามองท้องฟ้า
“ทัณฑ์เมฆา?”
“มีคนตบะฝ่าทะลุสู่ก่อกำเนิดที่นี่งั้นหรือ?”
และขณะที่ทุกคนวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างตื่นตะลึง ทันใดนั้นคนไม่น้อยก็ร้อง “ชู่ว์” ออกมาพลางเบิกตากว้าง เสียงต่างๆ จึงขาดหายไปในบัดดล เพราะพวกเขาเห็นว่าตอนนี้บนท้องฟ้า นภากาศที่บิดเบือนอยู่นอกทัณฑ์เมฆาพลันมีใบหน้าขนาดใหญ่ยักษ์ใบหน้าหนึ่ง…จำแลงขึ้นมา!
ใบหน้านี้ก็คือใบหน้าของป๋ายเสี่ยวฉุน!
แล้วจู่ๆ เขาก็อ้าปากออกกว้าง เขมือบกลืนทัณฑ์เมฆานั่นเข้าไปในปากท่ามกลาง…อาการตื่นตะลึงของผู้คน!!
ราวกับว่าเมื่อเทียบกันแล้ว ทัณฑ์เมฆานี้กระจอกงอกง่อยจนไม่มีค่าพอให้พูดถึง เล็กจ้อยจนกลายมาเป็นอาหารของป๋ายเสี่ยวฉุนได้โดยตรง!
พลังอำนาจสะเทือนฟ้าสยบขวัญผู้คน ทำเอาทุกคนที่มองดูอยู่พากันอ้าปากค้าง เหม่อมองภาพเหตุการณ์นี้ด้วยความตะลึงพรึงเพริด!