Skip to content

A Will Eternal 295

บทที่ 295 เอาไปเล่นไป!

ต่อให้สวีเสี่ยวซานอยู่ห่างมากก็ยังมองเห็นพวกป๋ายเสี่ยวฉุน แม้จะเห็นไม่ชัด ทว่ากระบี่โลหิตเล่มยักษ์นั่น รวมไปถึงปราณเลือดอันเป็นเอกลักษณ์บนร่างของนักพรตสำนักธาราโลหิต ทำให้เขาตัดสินที่มาที่ไปได้ทันที จึงทุ่มสุดกำลังที่มีพุ่งเข้ามาหาคนทางนี้

“ป๋ายเสี่ยวฉุน!!” รอจนมองเห็นป๋ายเสี่ยวฉุนชัดเจน น้ำตาของสวีเสี่ยวซานก็แทบจะไหลออกมาจากเบ้า รีบตะเบ็งเสียงเรียกทันทีทันใด

เวลาเดียวกันนั้น วินาทีที่จิ๋วต่าวมองเห็นป๋ายเสี่ยวฉุน ดวงตาทั้งคู่ของเขาก็พลันหดตัวลงแล้วเผยความปิติยินดีออกมาอย่างบ้าคลั่ง!

“ป๋ายเสี่ยวฉุน…ไม่นึกเลยว่าเจ้าก็อยู่ที่นี่ด้วย!!”

“เดิมทีนึกว่าวันนี้จะจับตัวเจ้าสวีเสี่ยวซานผู้นี้ได้คนเดียว ไม่คิดว่าจะได้มาเจอเจ้า…ป๋ายเสี่ยวฉุน วันนี้เจ้าตายแน่!” จิ๋วต่าวหัวเราะเสียงดัง คราวนี้เขาพานักพรตฝีมือฉกาจมาด้วยสองร้อยกว่าคน หากเจอกับยอดฝีมือของเทพโลหิตสองสำนักบางทีอาจจะสู้ไม่ได้ ทว่าตอนนี้แค่กวาดตามองครั้งเดียว เขาก็มองออกว่าคนเหล่านั้นที่อยู่รอบกายป๋ายเสี่ยวฉุนมีตบะคละเคล้ากันไป ทั้งยังมากด้วยพวกกระจอก นอกจากเป่ยหันเลี่ยสามคนแล้ว คนอื่นๆ ก็เห็นได้ชัดว่าล้วนเป็นพวกที่ไม่มีชื่อเสียงในสงครามครั้งนี้

สำหรับการรับมือกับคนกลุ่มนี้ เขามั่นใจอย่างมากว่าจะสามารถฆ่าอีกฝ่ายได้หมดเกลี้ยงไม่มีเหลือ เวลานี้เสียงหัวเราะจึงดังออกมา ไล่ตามสวีเสี่ยวซาน คำรามดิ่งเข้าหาป๋ายเสี่ยวฉุน

นักพรตสองร้อยกว่าคนที่อยู่ข้างหลังเขาก็มีคนไม่น้อยที่จำป๋ายเสี่ยวฉุนได้ แต่ละคนจิตใจสั่นไหว ขณะเดียวกันก็ยิ่งมีจิตสังหารรุนแรงยากจะพรรณนาระเบิดโครมครามออกมา

เห็นได้ชัดว่าพวกเขารู้แล้วว่าที่เกิดหายนะดับสำนักในครั้งนี้ เป็นเพราะการร่วมมือกันของเทพโลหิตสองสำนัก และกุญแจสำคัญในการร่วมมือกันครั้งนี้ ทั้งหมดเป็นเพราะ…ป๋ายเสี่ยวฉุน!

สวีเสี่ยวซานลังเลขึ้นมาทันใด ทว่าเขาไม่มีทางเลือกอื่น หากไม่เข้ามาใกล้ป๋ายเสี่ยวฉุน เขาต้องตายอย่างมิต้องสงสัย ตอนนี้ขณะที่กำลังคิดไม่ตก ดวงตาของเขาก็เผยความเด็ดเดี่ยว เขารู้ความสำคัญที่ป๋ายเสี่ยวฉุนมีต่อสำนักธาราโลหิต เวลานี้จึงเสียใจอย่างสุดซึ่ง ขณะที่กำลังไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดีนั้น กลับพบว่าป๋ายเสี่ยวฉุนสีหน้าเป็นปกติ นักพรตสองสำนักหลายร้อยคนที่อยู่ข้างกายเขานั้นก็ไม่เผยความลนลานออกมาแม้แต่นิดเดียว แถมยังมีคนบางส่วนเผยความดูแคลนและเย้ยหยันพวกจิ๋วต่าวออกมาทางสายตาด้วยซ้ำ

“หา?” สวีเสี่ยวซานเริ่มงงเสียแล้ว

“เสี่ยวซานไม่ต้องกลัว ข้าผู้เป็นบุตรโลหิตจะช่วยเจ้าเอง!” ป๋ายเสี่ยวฉุนเอามือไพล่หลัง ใบหน้าหยิ่งทะนง มองเห็นทุกคนเข้ามาใกล้เขาก็ไอแห้งๆ หนึ่งครั้ง มือขวายกขึ้นโบก หลังจากการโบกมือของเขา ภายใต้อาการมองตาค้างอ้าปากหวอของสวีเสี่ยวซาน ในมือของนักพรตเหล่านั้นที่อยู่ด้านหลังเขาอยู่ๆ ก็มีลูกแสงจำนวนแตกต่างกันปรากฏขึ้นมา

“ขว้าง!” ป๋ายเสี่ยวฉุนคำรามหนึ่งครั้ง นักพรตหลายร้อยคนของสองสำนักก็แผดเสียงคำรามขึ้นมาตามกัน ทุกคนขว้างลูกแสงที่อยู่ในมือออกไปอย่างแรง พริบตาเดียว ลูกแสงหลายร้อยลูกก็คำรามกรีดผ่าอากาศพุ่งเข้าใส่พวกจิ๋วต่าวดุจดั่งดาวตกหลายร้อยดวง

จิ๋วต่าวตะลึง หลายคนที่อยู่ด้านหลังเขาก็เริ่มลังเล มีหลายคนลงมือทันที พยายามสกัดขวาง ทว่าเพิ่งจะสัมผัสโดนลูกแสง ลูกแสงพวกนั้นกลับไม่สะทกสะท้านต่อเวทคาถาของพวกเขา ยังคงพุ่งเข้าใส่แล้วระเบิดตัวเองท่ามกลางเสียงตูมตามดังสนั่นหวั่นไหว ลูกแสงทุกลูกพอระเบิดออกก็มีหมอกควันปริมาณมากแผ่ออกมาทันที พริบตาเดียวบริเวณที่พวกจิ๋วต่าวอยู่พลันเต็มไปด้วยควันหนาทึบ

มองเห็นได้ด้วยตาเปล่าว่าหมอกควันเหล่านี้เริ่มลดน้อยลง ทว่าเวลาเดียวกันนั้น เสียงร้องและเสียงคำรามแหบพร่าแปลกประหลาดมากมายกลับดังลอยออกมาจากในกลุ่มควันอย่างต่อเนื่อง…

“ท้องของข้า…”

“สวรรค์ ข้าได้กลายเป็นเซียนแล้ว…”

“อย่าเข้ามานะ อย่าเข้ามา ที่นี่คือที่ไหน…”

ได้ยินเสียงมากมายที่ดังออกมาจากในกลุ่มควัน สวีเสี่ยวซานพลันหน้าเปลี่ยนสี ร้องอุทานเสียงหลง

“ควันโรคห่าเขาซือเฟิง!!” ร่างของเขาสั่นเทิ้มอย่างรุนแรง ทั้งยังกรีดร้องออกมาเสียงแหลมอย่างมิอาจควบคุมตัวเองได้ แทบจะระเบิดพละกำลังทั้งหมดที่เขามี ถอยกรูดออกห่างกลุ่มหมอกควันนั่นฉับพลันทันใด ตกใจจนหน้าซีดขาวราวกระดาษ หมอกควันนี้สำหรับคนอื่นแล้วอาจจะไม่รู้สึกอะไรลึกล้ำมากนัก เพราะแค่เคยได้เห็นกับตาตัวเองเท่านั้น ทว่าสำหรับสวีเสี่ยวซานแล้ว นั่นคือประสบการณ์ตรงที่เขาเจอมากับตัว ความหมายจึงแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

ถึงขั้นที่ว่าหลายครั้งที่เขาย้อนนึกถึงความทรงจำในปีนั้น เขาก็ยังรู้สึกว่านั่นคือฝันร้ายที่เขามิอาจลืมเลือนไปได้ชั่วชีวิต ตอนนี้พอเห็นว่าหมอกควันนั่นปรากฏขึ้นอีกครั้ง เขาจึงหวาดกลัวถึงขีดสุด

และขณะที่เขาทิ้งระยะห่างอย่างว่องไวนั้นเอง หมอกควันพวกนั้นรวมตัวกันเร็ว แล้วก็หายไปเร็วเช่นเดียวกัน เวลานี้จึงหายไปแล้วเกินครึ่ง เผยให้เห็นลูกศิษย์สำนักธาราทมิฬสองร้อยกว่าคนที่อยู่ด้านใน แต่ละคนมีท่วงท่าแปลกประหลาด บางคนอ้าแขนทั้งสองข้างออก ใบหน้าเคลิบเคลิ้ม บางคนสีหน้าราวกับขี้เถ้ามอด กลิ่นเหม็นอบอวลตลบไปทั่วร่าง

และยังมีบางคนที่ถึงขนาดโอบกอดกัน…จิ๋วต่าวตัวสั่นเทิ้ม นอกร่างมีม่านแสงชั้นหนึ่งโอบล้อมรอบกาย เวลานี้ม่านแสงนั้นกำลังบิดเบือนอย่างรวดเร็ว เขามองทุกอย่างที่อยู่รอบด้านอย่างไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง นัยน์ตาเผยความเหลือเชื่อ

“นี่มัน…นี่มันวิชาอภินิหารอะไรกัน เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้ จะมีเวทคาถาแบบนี้อยู่ได้อย่างไร!!” จิ๋วต่าวตัวสั่น ในใจเขาบังเกิดความหวาดกลัวอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนต่อป๋ายเสี่ยวฉุนอีกครั้ง ทั้งยังถึงขั้นเอามารวมกับภาพเหตุการณ์ในหุบเหวกระบี่อุกกาบาตด้วย เวลานี้เขากรีดร้องเสียงแหลมหนึ่งครั้ง ไม่รอให้ป๋ายเสี่ยวฉุนลงมือ เขาก็หยิบเอาหยกชิ้นหนึ่งออกมาแล้วบีบลงไปอย่างแรงทันที

บนหยกชิ้นนั้นมีประกายแสงเจ็ดสีแวววาว เห็นได้ชัดว่าเป็นวัตถุที่ไม่ธรรมดาอย่างมาก หลังจากเกิดเสียงแตกดังกร๊อบหนึ่งครั้งก็แผ่กำลังนำส่งระลอกหนึ่งออกมาดังโครมคราม แล้วม้วนตลบเอาร่างของจิ๋วต่าวส่งออกไปทันที

ดวงตาของป๋ายเสี่ยวฉุนหดตัวลง รู้ว่าหยกที่สามารถนำส่งนักพรตสร้างฐานรากได้แบบนี้ สำหรับสำนักหนึ่งแล้วถือเป็นของที่มีไว้ใช้ในสนามรบ ล้ำค่าอย่างถึงที่สุด พอเห็นว่าจิ๋วต่าวคิดจะหนีไป เนตรทงเทียนกลางหว่างคิ้วของป๋ายเสี่ยวฉุนพลันเปิดออก แสงสายตาสีทองเส้นหนึ่งระเบิดตูม มองไปยังทิศทางที่จิ๋วต่าวกำลังถูกนำส่ง

เสียงตูมดังหนึ่งครั้ง วินาทีที่สายตาของป๋ายเสี่ยวฉุนปะทะเข้ากับร่างจิ๋วต่าว จิ๋วต่าวก็เปล่งเสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด ร่างยังคงหายไปท่ามกลางพลังนำส่งนั้น แต่กลับมีแขนข้างหนึ่งถูกฝืนบังคับให้หลุดออกจากร่างเพราะพลังควบคุมจากเนตรอาคมของป๋ายเสี่ยวฉุน

แทบจะชั่วขณะเดียวกันกับที่จิ๋วต่าวหนีไป นักพรตหลายร้อยคนที่อยู่ด้านหลังป๋ายเสี่ยวฉุนก็พากันคำรามกร้าวแล้วพุ่งเข้าไปในสนามรบทันที ทุกคนลงมือกันสุดกำลัง เริ่มสังหารเข่นฆ่านักพรตสำนักธาราทมิฬที่ได้รับอิทธิพลรุนแรงจากลูกแสงเหล่านั้น

“ข้าจำเจ้าได้ ตอนนั้นในบรรดาคนที่โอบล้อมข้า มีเจ้าเป็นหนึ่งในนั้น!” เป่ยหันเลี่ยจ้องหน้านักพรตสร้างฐานรากคนหนึ่งที่ใบหน้าขาวเผือด เอามือกุมท้อง ตลอดทั้งร่างมีแต่กลิ่นเหม็นฟุ้ง แล้วพุ่งเข้าใส่พร้อมแสยะยิ้มสามานย์

เจี่ยเลี่ยและเสินซ่วนจื่อเองก็พกพาเอาไอสังหาร ลงมือร่ายเวทคาถาเสียงดังโครมคราม

คนอื่นๆ ก็ทำเช่นเดียวกัน อีกทั้งหลังจากร่วมมือกันแล้ว อัตราการบาดเจ็บเสียชีวิตของตัวเองก็จะลดลงมาเหลือต่ำมากที่สุด

การเข่นฆ่าเช่นนี้ สำหรับคนเหล่านั้นที่อยู่ข้างกายป๋ายเสี่ยวฉุน มันกลายมาเป็นความชำนาญไปนานแล้ว ไม่นานหลังจากเสียงร้องโหยหวนเจ็บปวดมากมายดังก้อง สงครามในขอบเขตเล็กๆ แห่งนี้ก็ค่อยๆ ยุติลง

ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกเสียดายเล็กน้อยที่ไม่สามารถรั้งตัวจิ๋วต่าวไว้ได้ ทว่าสวีเสี่ยวซานที่อยู่ข้างกันกลับสะท้านสะเทือนไปกับภาพเหตุการณ์นี้อย่างสมบูรณ์แบบ เขายืนเบิกตากว้างอ้าปากตาค้าง คล้ายลืมหายใจ โดยเฉพาะตอนที่เขามองเห็นลูกศิษย์ของสองสำนักร่วมมือปรองดอง ช่วยเหลือกันเก็บกวาดสนามรบ และยิ่งเขาเห็นว่าตอนที่เป่ยหันเลี่ยและเสินซ่วนจื่อลงมือ ยังถึงขนาดช่วยเหลือกัน สวีเสี่ยวซานก็สำลักลมหายใจไปทันที

“นี่มันเป็นไปได้อย่างไร…” สวีเสี่ยวซานขยี้ตาตัวเองอย่างแรง สำหรับความสามัคคีระหว่างลูกศิษย์สองสำนัก สำหรับวิธีการที่คนเหล่านี้สังหารศัตรู รวมไปถึงกลยุทธิ์การสู้รบด้วยหมอกพิษเมื่อครู่นั่น ได้ทำให้ในสมองของเขาเกิดคลื่นยักษ์ซัดถาโถมไปเรียบร้อยแล้ว

ครึ่งชั่วยามต่อมา หลังจากทุกคนเก็บกวาดสนามรบเสร็จแล้วบินห่างไปไกล สวีเสี่ยวซานก็ได้ติดตามมาอยู่ข้างหลังป๋ายเสี่ยวฉุนแล้ว ใบหน้าเขายิ้มแย้มเอาใจ เอ่ยป้อยอสรรเสริญอย่างต่อเนื่อง

“นายแห่งโลหิตเย่จั้ง บุรพาจารย์น้อยป๋ายเสี่ยวฉุน อาจารย์อาป๋าย…คือว่า เมื่อครู่ข้าเห็นทุกคนล้วนมีลูกแสงเอาไว้ใช้ ขอให้ข้าสักสองสามลูกได้หรือไม่…”

ใบหน้าป๋ายเสี่ยวฉุนเต็มไปด้วยความลำพองใจ เขารู้สึกภาคภูมิใจในตัวเองอย่างมาก โดยเฉพาะมองเห็นว่าทุกคนรอบกายได้ระเบิดพลังต่อสู้ที่น่าตกตะลึงออกมาในทุกสนามรบ เขาก็รู้สึกประสบความสำเร็จอย่างยิ่ง

“ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นความดีความชอบของข้าแท้ๆ…” ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังปลงอนิจจังก็เหลือบตามองสวี่เสี่ยวซาน แล้วสะบัดปลายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง โยนเอาลูกแสงหลายลูกให้กับเขาอย่างใจกว้าง

“เอาไปเล่นไป!”

สวีเสี่ยวซานเองก็ซาบซึ้งใจเช่นกัน หลังจากรับมาด้วยความระมัดระวังแล้วก็ทำท่าพร้อมลองเต็มที่ ในใจคาดหวังให้เจอกับนักพรตสำนักธาราทมิฬอีกเร็วๆ ตัวเองจะได้ลงมือเอง ให้อีกฝ่ายได้ลิ้มรสความร้ายกาจของควันพิษมารโรคห่าเสียบ้าง

พริบตาเดียวเวลาสองเดือนก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว สงครามครั้งนี้ ตอนนี้ได้ยืดเยื้อมานานถึงครึ่งปีแล้ว สถานการณ์ชะงักงันไม่สามารถตีแตกไปได้ ทว่าการปะทะกันรอบด้านของด่านยักษ์กลับยิ่งมีมากขึ้น นักพรตของทั้งสองฝ่ายต่างก็มีหลายพันคนแบ่งกันออกไปตามขอบเขตเกือบครึ่งเกาะเทียนกงแล้วฆ่าแกงกันอย่างทารุณ

และท่ามกลางการเข่นฆ่านี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ได้ค่อยๆ สร้างชื่อเสียงให้เป็นที่ก้องกระหึ่ม ทุกที่ที่ผ่านล้วนคว้าชัยชนะไว้ได้หมด แต่ทว่าความโด่งดังของลูกแสงหมอกพิษนั้นมีมากกว่าชื่อเสียงของป๋ายเสี่ยวฉุนเสียอีก ทำให้นักพรตสำนักธาราทมิฬที่อยู่เขตแนวหน้าได้ยินแล้วหน้าเปลี่ยนสี นามมารโรคห่าเขย่าคลอนไปแปดทิศ

พวกเป่ยหันเลี่ยสามคนเองก็โชติช่วงขึ้นมามากกว่าในอดีต โดยเฉพาะสวีเสี่ยวซานที่ตามมาทีหลัง แต่กลับหลงใหลในลูกแสงของป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างยิ่ง ทุกครั้งที่ลงมือ ปริมาณของลูกแสงที่เขาโยนออกไปมีมากกว่าใคร และจะติดใจกับลูกแสงที่มีหมอกประสาทหลอนเป็นพิเศษ…

แม้แต่พวกบุรพาจารย์ในด่านยักษ์ของสำนักธาราทมิฬก็ยังได้ยินข่าวนี้ พวกเขาพากันกัดฟันกรอด แต่กลับไม่กล้าออกมาสังหารข้างนอก

ต่อให้เป็นพวกผู้อาวุโสไท่ซ่างและลำดับผู้สืบทอดเอง ภายใต้พลานุภาพสยบของเทพโลหิตสองสำนัก ต่างก็ไม่กล้าออกมาข้างนอกอย่างบุ่มบ่าม ทั้งสองฝ่ายคล้ายกำลังก่อหวอดรอ…สงครามตัดสินแพ้ชนะครั้งสุดท้ายอย่างแท้จริง

และระหว่างขั้นตอนการก่อหวอดนี้ ชื่อเสียงของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยิ่งโด่งดังมากขึ้นเรื่อยๆ อาศัยลูกแสงหมอกพิษ อาศัยความบ้าคลั่งของคนหลายร้อยรอบด้าน ค่อยๆ ดับทำลายกลุ่มของนักพรตสำนักธาราทมิฬที่ออกไปข้างนอกทีละนิดราวกับไหมที่ตอดกินใบหม่อน ทั้งยังส่งผลกระทบต่อการวางหมากสงครามตัดสินแพ้ชนะของสำนักธาราทมิฬในทางอ้อมด้วย ทำให้แม้แต่พวกบุรพาจารย์สำนักธาราเทพและสำนักธาราโลหิตก็ยังตะลึงอ้าปากค้าง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version