Skip to content

A Will Eternal 296

บทที่ 296 เจ้ามีชีวิต?!

ท้องฟ้ามืดสลัว แม้จะไม่มีลมพัดเย็นสบายและแสงอาทิตย์งดงาม ทว่าก็ยังมิอาจส่งผลต่อดวงใจที่บัดนี้กำลังโบยบินอย่างคึกคักของป๋ายเสี่ยวฉุนได้ เขาพกพาเอาความห้าวเหิมที่เต็มเปี่ยม มากด้วยความลำพองใจ นั่งขัดสมาธิอยู่บนกระบี่ใหญ่สีเลือด มือขวายกขึ้นชี้ไปข้างหน้าอย่างฮึกเหิมคึกคะนอง

“ลุยมันเลย!” ป๋ายเสี่ยวฉุนเอ่ยปากอย่างจองหอง ความรู้สึกโล่งโปร่งสบายจากในไปยันนอกแบบนั้นทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองช่างร้ายกาจยิ่งนัก ทั้งยังทำให้ไพล่นึกไปถึงตอนที่อยู่ในหุบเหวกระบี่อุกกาบาตปีนั้นที่ตนนำพาทุกคนของสำนักธาราเทพไปแย่งทางเข้าจากคนอื่น

“คิดถึงจังเลย” ป๋ายเสี่ยวฉุนพูดด้วยความปลดปลง พอนึกถึงภาพเหตุการณ์ในหุบเหวกระบี่อุกกาบาตตอนสุดท้ายที่ลูกศิษย์สำนักธาราเทพได้เข้าไปในกระบี่อุกกาบาตกันหมด ทว่าตนกลับถูกสกัดขวางให้อยู่ข้างนอก เขาก็รีบหยุดย้อนความทรงจำทันที

“ไม่เป็นมงคล! ตอนนี้กับตอนนั้นไม่เหมือนกัน ตอนนี้ข้างกายข้ามีนักพรตผู้แข็งแกร่งดุจดั่งหมาป่าและพยัคฆ์ร้ายหลายร้อยคน” ป๋ายเสี่ยวฉุนมองไปยังทุกคนรอบด้านอย่างระแวงทันที โดยเฉพาะสวีเสี่ยวซานที่แทบอยากจะแขวนลูกแสงหมอกพิษไว้ให้เต็มร่าง ท่าทางผยองพองขนเช่นนั้นทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกชื่นชมอย่างมาก

เป่ยหันเลี่ยเองก็เปลี่ยนไปเหมือนกัน…มองภายนอกเหมือนเป็นปกติ แต่ในความเป็นจริงแล้วเขาก็ได้เรียนรู้ที่จะส่งยิ้มตาหยีให้คนอื่น ทว่าพอก้มหน้าลงได้กลับรีบโยนหมอกพิษออกไปทันที…ส่วนเจี่ยเลี่ยและเสินซ่วนจื่อในฐานะที่เป็นนักพรตสำนักธาราโลหิต เดิมทีพวกเขาก็ชั่วอยู่แล้ว…เวลาหลายเดือนมานี้ก็ยิ่งชั่วมากขึ้นไปอีก…

ขนาดสี่คนนี้ยังเป็นแบบนี้ ก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนอื่น พวกเขาแต่ละคนเริ่มจะมีความคล้ายคลึงกับป๋ายเสี่ยวฉุนบ้างแล้ว เวลาปกติมักจะทำหน้าทะเล้นอารมณ์ดี บางครั้งยังเริ่มกลัวตาย ทว่าพอถึงเวลาลงมือยามใดกลับโยนควันพิษออกไปอย่างไม่รีรอ จากนั้นจึงพุ่งเข้าเข่นฆ่าอย่างเหี้ยมหาญ

ป๋ายเสี่ยวฉุนมองพวกเขาแล้วก็ยิ่งทอดถอนใจ

“ภายใต้การชักนำของข้า พี่น้องเหล่านี้ในที่สุดก็เข้าใจถึงความล้ำค่าของชีวิตนักพรตอย่างพวกเราเสียที ขอแค่ชีวิตน้อยๆ ยังอยู่ ทุกอย่างก็ล้วนเป็นไปได้” ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังถอนหายใจด้วยความปลื้มปิติ มือขวาของเขาก็ตบลงไปบนถุงเก็บของ หยิบเอาเต่าน้อยออกมาเขย่าด้วยความเคยชินอยู่หลายครั้ง หลายเดือนมานี้เขาทำแบบนี้แทบทุกวัน เขย่าๆๆ ฟังเสียงที่หัวและแขนขาทั้งสี่ของเต่าน้อยกระทบลงบนกระดองดังปับๆๆ ราวกับตุ๊กตาผ้า ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกว่าฟังแล้วเพลินอย่างมาก

โดยเฉพาะหลังจากที่เขย่าเต็มแรงอยู่หลายครั้ง บางครั้งยังมีกลิ่นหอมลอยออกมา ชักนำพลังฟ้าดินเข้มข้นให้เข้ามาหา ทำให้ความเร็วในการบำเพ็ญตบะของป๋ายเสี่ยวฉุนแทบจะไต่ระดับขึ้นสูงทุกวัน แม้แต่คนหลายร้อยคนที่อยู่ข้างกายเขาก็ยังได้รับผลพวงจากการไหลกรากของพลังฟ้าดินนี้ไม่น้อย

“เจ้าเต่าตายซากนี่ถือว่ายังพอมีประโยชน์อยู่บ้าง” ป๋ายเสี่ยวฉุนมองเต่าน้อยในมือ มองหัวและแขนขาของมันรวมไปถึงหางสั้นๆ ที่ห้อยลง หลังจากที่ออกแรงเขย่าอยู่หลายครั้งเขาก็พบความผิดปกติ ดูเหมือนว่าเสียงปับๆๆ จะเบาลงกว่าเดิมเล็กน้อย ราวกับว่าหัวและแขนขาของเต่าน้อยตัวนี้เริ่มเปลี่ยนมาเป็นแข็งทื่อ

“หา?” ป๋ายเสี่ยวฉุนประหลาดใจทันควัน รีบเขย่าอย่างแรงอีกหลายครั้ง ผ่านไปครึ่งก้านธูป ในที่สุดหัวและแขนขาของเต่าน้อยก็ไม่แข็งอีกต่อไป กลับคืนสภาพอ่อนปวกเปียกอย่างที่เคยเป็น ได้ยินเสียงปับๆๆ ที่คุ้นเคย ป๋ายเสี่ยวฉุนจึงพึงพอใจอย่างยิ่ง ถึงได้ยอมยุติการบำเพ็ญตบะในวันนี้

เที่ยงวันที่สอง…คนหลายร้อยคนยังคงบินไปบนท้องฟ้า เขตแนวหน้าของสนามรบแห่งนี้กว้างใหญ่มาก บวกกับชื่อเสียงอันเลื่องลือของพวกป๋ายเสี่ยวฉุน ทำให้พวกเขาไม่ได้เจอกับนักพรตสำนักธาราทมิฬมาหลายวันแล้ว

ป๋ายเสี่ยวฉุนเบื่อหน่าย ได้ยินสวีเสี่ยวซานกับเป่ยหันเลี่ยกำลังคุยโม้เรื่องผลการต่อสู้ในอดีตของใครของมัน ใจเขาอยากจะเข้าไปร่วมวงพูดด้วย แต่กลับพบว่าทั้งสองคนนี้ต่างก็เหล่มองตัวเองหนึ่งครั้ง แต่ไม่ได้ให้ความสนใจเท่าไหร่นัก

ป๋ายเสี่ยวฉุนอารมณ์เสียเล็กน้อย แค่นเสียงหึหนึ่งครั้ง ครุ่นคิดว่าต่อไปจะลดลูกแสงควันพิษของสองคนนี้สักเจ็ดส่วนเสียเลย จากนั้นจึงหยิบเอาเต่าน้อยออกมาอีกครั้ง เขย่าไปเขย่ามาอยู่ในมือ ทว่าเพิ่งจะเขย่า ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ต้องขมวดคิ้วฉับ

“เป็นอะไรไป ทำไมเสียงผิดปกติอีกแล้วล่ะ?” ป๋ายเสี่ยวฉุนมองเจ้าเต่าน้อยหนึ่งครั้ง มือขวาก็ดึงแขนขาทั้งสี่ของเต่าให้ยืดออก แล้วก็พบว่ามันแข็งทื่ออีกครั้ง

“เจ้าเต่านี่ไม่รู้ว่าตายมากี่ปีแล้ว น่าสงสารจังเลย ตอนนี้ร่างกายเริ่มแข็งค้างแล้วด้วย” หลังจากป๋ายเสี่ยวฉุนครุ่นคิดแล้วก็รู้สึกว่าตัวเองจำเป็นต้องช่วยอีกฝ่ายเสียหน่อย ต่อให้นี่จะเป็นแค่เต่าที่ตายไปแล้วตัวหนึ่ง แต่ยังไงซะครึ่งปีมานี้ก็เคยช่วยในการฝึกบำเพ็ญตบะของตน

ดังนั้น…เขาจึงจับกระดองเต่าเอาไว้ให้มั่น หลังจากสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้งแล้วจึงใช้พละกำลังที่มากที่สุดเท่าที่ตัวเองมี ออกแรงเขย่าอย่างรุนแรง ความถี่ในการเขย่าครั้งนี้มากเกินกว่าก่อนหน้านั้นมากมายหลายเท่านัก เพียงเวลาแค่ไม่กี่ชั่วลมหายใจก็มีกลิ่นหอมลอยออกมา กระตุ้นปราณวิญญาณฟ้าดินที่อยู่รอบด้าน

ทว่าป๋ายเสี่ยวฉุนยังไม่หยุด ยังคงเขย่าๆๆ อยู่เช่นเดิม…เขาตั้งใจมั่นแล้วว่าจะต้องทำให้ร่างกายที่ตายไปแล้วของเต่าน้อยกลับมาอ่อนนุ่มอีกครั้ง

ขั้นตอนนี้นานติดต่อกันพอสามก้านธูป…จนกระทั่งในที่สุดร่างกายของเต่าน้อยก็อ่อนปวกเปียกอีกครั้ง ป๋ายเสี่ยวฉุนถึงได้เผยรอยยิ้มด้วยความพึงพอใจออกมาเต็มใบหน้า มองแขนขาและหัวของเต่าน้อยที่ห้อยรุ่งริ่ง ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ปลงอนิจจัง

“หากเจ้ามีวิญญาณอยู่บนสวรรค์ ก็ไม่ต้องขอบคุณข้ามากมายอะไรหรอกนะ ยังไงข้าก็จะช่วยให้เจ้ารักษาความอ่อนนุ่มของร่างกายเอาไว้ตลอดไป ให้เนื้อหนังของเจ้าไม่เน่าเปื่อย สามารถ…” ป๋ายเสี่ยวฉุนยังไม่ทันพูดจบก็ต้องเบิกตากว้างกะทันหัน เห็นเพียงว่าหัวของเต่าน้อยที่ลู่ลง เวลานี้กลับลืมตาโพลง ทั้งยังเงยหน้าขึ้นพรวด นัยน์ตาคล้ายมีวงกลมจำนวนนับไม่ถ้วนหมุนติ้วอยู่ด้านใน แต่กลับยังคงแฝงไว้ด้วยความเกลียดแค้น ความบ้าคลั่ง อยู่ๆ มันก็อ้าปากหันไปทางมือของป๋ายเสี่ยวฉุนแล้วกัดกร้วมอย่างแรง!

ป๋ายเสี่ยวฉุนตกใจจนสะดุ้งโหยง รีบปล่อยมือ หลบพ้นการกัดของเต่าน้อยไปได้

การกัดครั้งนี้รุนแรงเกินไป คล้ายแฝงเร้นไว้ด้วยความเคียดแค้นไร้คำบรรยาย เสมือนเป็นศัตรูที่ไม่อาจอยู่ร่วมโลกกันได้ แม้ว่าจะกัดลงไปบนอากาศ ทว่าแม้แต่ความว่างเปล่าก็ยังคล้ายถูกกัดขาดจนมีเสียงกร๊อบดังลั่น ทำให้นักพรตรอบด้านที่ได้ยินสยดสยอง

ป๋ายเสี่ยวฉุนหนังหัวแทบระเบิด เขาแน่ใจว่าหากปากนี้กัดลงบนนิ้วของตน ต้องทำให้กระดูกแตกละเอียดอย่างแน่นอน ต่อให้ตนมีร่างปีศาจฟ้า เกรงว่าก็คงมิอาจต้านทานได้

“เจ้าๆๆ …เจ้ามีชีวิต!! เจ้าตายไปแล้วไม่ใช่หรือ!!” ป๋ายเสี่ยวฉุนถอยกรูดทันที ใบหน้าเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ เต่าน้อยตัวนี้เขาศึกษามานานมาก แน่ใจสุดๆ ว่ามันไม่มีพลังชีวิตใดๆ หลงเหลืออยู่แม้แต่เส้นเดียว เป็นแค่ซากศพชิ้นหนึ่งเท่านั้น ทว่าตอนนี้ ซากศพที่ว่ากลับมีชีวิตขึ้นมา

สมองของป๋ายเสี่ยวฉุนเกิดเสียงดังอึงอล ดวงตาเบิกถลน รู้สึกไม่อยากเชื่อ

“เจ้าน่ะสิที่ตาย ทั้งตระกูลของเจ้านั่นแหละตาย ทั้งสำนักของเจ้าก็ตาย ทุกคนที่แซ่ป๋ายมันต้องตายกันหมด เจ้าคนสารเลว ข้าเกลียดเจ้า!!” เจ้าเต่าน้อยที่โงนเงนกลับบินขึ้นมาลอยอยู่ด้านหน้าป๋ายเสี่ยวฉุน เวลานี้แขนขาทั้งสี่ยังคงสั่นระริก ดวงตาแดงก่ำ พยายามจะยกหัวขึ้น แต่คล้ายว่ายังคงเวียนหัวตาลาย จึงทำได้เพียงฝืนคำรามเสียงดังใกล้เคียงกับคำว่าบ้าคลั่งใส่ป๋ายเสี่ยวฉุน

เสียงนี้ดังก้องไปสี่ทิศ ทำให้นักพรตหลายร้อยคนของสองสำนักตะลึงงันกันหมด พร้อมใจกันหันมามองเจ้าเต่าน้อยด้านหน้าป๋ายเสี่ยวฉุนที่พวกเขาคุ้นเคยกันดี ในความทรงจำของพวกเขา หลายเดือนมานี้ป๋ายเสี่ยวฉุนมักจะเขย่าเจ้าเต่าน้อยอยู่เป็นประจำเพื่อดึงเอาพลังฟ้าดินมาให้ทุกคนได้บำเพ็ญตบะไปด้วยกัน

ทว่าตอนนี้ เจ้าเต่าน้อยนี่กลับมีชีวิตขึ้นมาได้!!

ป๋ายเสี่ยวฉุนสำลักลมหายใจ ขณะที่กำลังจะเอ่ยปาก ดวงตาเจ้าเต่าน้อยกลับมีน้ำตาขึ้นมาคลอหน่วย ลักษณะของมันเดิมทีก็น่ารักอยู่แล้ว ดวงตากลมโต เวลานี้ท่ามกลางน้ำตาคลอนั้น มันคำรามเสียงแหบแห้งคลุ้มคลั่งใส่ป๋ายเสี่ยวฉุนต่ออย่างควบคุมอารมณ์ไม่อยู่

“นายท่านเต่าของเจ้า เดิมทีเมื่อห้าเดือนก่อนก็ตื่นขึ้นมาได้แล้ว แต่เจ้าดันเขย่าอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน แถมมีวันหนึ่งเจ้ายังทำตัวน่าโมโหเขย่าข้ามากถึงพันกว่าครั้ง เจ้าไม่เหนื่อยหรือไง นายท่านเต่าของเจ้าถูกเขย่าจนแทบจะอ้วกเลยเป็นลมสลบไปอีกรอบ” เจ้าเต่าน้อยสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง เห็นได้ชัดว่าไฟโทสะของมันพวยพุ่งเทียมฟ้า ทั้งยังเห็นได้รำไรด้วยว่าบนกระดองของมันมีไอร้อนลอยขึ้นมาเป็นเส้นๆ ราวกับว่าโมโหจนร่างแทบจะระเบิด

“หา…ข้า…ข้าก็ไม่ได้ตั้งใจสักหน่อย ข้านึกว่าเจ้าตายไปแล้วนี่นา ถ้าเจ้ายังไม่ตายก็บอกกับข้าตั้งแต่แรกสิ อีกอย่างเป็นเพราะว่าบนร่างของเจ้ามีกลิ่นหอม…” ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจเฮือกๆ ติดต่อกัน ในใจเริ่มรู้สึกผิดจึงรีบอธิบาย

“เจ้ายังจะพูดถึงกลิ่นหอมอีกรึ!! ฮือๆๆ นั่นมันปราณวิญญาณที่นายท่านเต่าของเจ้าสะสมมาหลายปีนี้ ถูกเจ้าเขย่าจนไหลออกไปไม่น้อย ปราณที่ข้าสะสม ปราณที่ข้าสะสมมาหลายแสนปี…ข้าเกลียดเจ้า ข้าไม่ขออยู่ร่วมโลกกับเจ้า!” เจ้าเต่าน้อยยิ่งคำรามเดือดดาล พลันพุ่งเข้าใส่ป๋ายเสี่ยวฉุน แล้วกัดอย่างแรงหนึ่งครั้ง

“ข้าจะกัดเจ้าให้ตาย!”

ป๋ายเสี่ยวฉุนหนังหัวชาดิก รีบเบี่ยงหลบอย่างรวดเร็ว เจ้าเต่าน้อยนั่นไล่ตามมาด้านหลังไม่หยุด แต่ละคำที่กัดลงมาล้วนมีเสียงกร๊อบดังสนั่นไปทั่วด้าน ทำเอาพวกเป่ยหันเลี่ยและสวีเสี่ยวซานสี่คน รวมไปถึงนักพรตหลายร้อยมองตาค้างอ้าปากกว้าง

“พอได้แล้ว!” ป๋ายเสี่ยวฉุนอกสั่นขวัญแขวน หวิดจะโดนกัดอยู่หลายครั้ง หน้าเผือดสีไปหมด ตอนนี้อยู่ๆ ก็หันตัวขวับกลับมา ปราณดุร้ายตลอดร่างระเบิดตูมตาม ตวาดเสียงดัง

“ไม่พอ สมควรตายเอ๊ย นายท่านเต่าอยากจะตบผลั๊วะให้เจ้ากระเด็นไปติดกำแพง ไม่ว่าจะแงะยังไงก็แงะไม่ออกจริงๆ!”

ป๋ายเสี่ยวฉุนอึ้งค้าง แอบรู้สึกว่าคำพูดของเจ้าเต่าน้อยนี่ไม่เหมือนใคร พอเห็นว่าอีกฝ่ายยังไม่ยอมเลิกรา จึงถอยกรูด รีบเอ่ยปาก

“เจ้าฟังข้าอธิบายก่อน!” คำพูดของป๋ายเสี่ยวฉุนเพิ่งจบลง เต่าน้อยนั่นก็กวาดตามองป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยความเหยียดหยามหนึ่งครั้ง พูดขึ้นอย่างดูถูก

“โปรดอย่าพูดอะไรกับข้าอีก ข้ามีนิสัยรักความสะอาด!”

“หา? รักความสะอาด?” ป๋ายเสี่ยวฉุนงุงงงอีกครั้ง ทุกคนที่อยู่รอบด้านก็ยืนบื้อเช่นกัน บางคนที่หัวไวหน่อยพลันหน้าเปลี่ยนสี ตอนที่มองมายังเจ้าเต่าน้อย นัยน์ตาเผยความเคารพยำเกรง สามารถพูดคำที่มีความหมายลึกล้ำทั้งยังไม่มีคำหยาบหลุดออกมาสักคำแบบนี้ได้ ระดับนี้ เรียกได้ว่าทิ้งห่างจากพวกป๋ายเสี่ยวฉุนไปไกลโขยิ่งนัก

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version