บทที่ 197 เวทคาถาลับยอดเขาจงเฟิง!
“สถานที่ศักดิ์สิทธิ์!” ป๋ายเสี่ยวฉุนตื่นเต้น เดินมาหยุดอยู่ริมขอบของน้ำตกสีเลือดโดยไม่รู้ตัว สัมผัสถึงปราณเลือดที่เข้มข้นของที่นี่ สำหรับเขาแล้ว ปราณเลือดนี้ก็คือการบำรุงครั้งใหญ่
เมื่อสูดลมหายใจเข้าไป จิตใจของป๋ายเสี่ยวฉุนก็กระปรี้กระเปร่า ขณะที่กำลังคิดว่าจะดูดซับให้มากอีกหน่อย ทันใดนั้นความรู้สึกถึงวิกฤตก็ทำให้เขาถอยหลังกรูด แทบจะวินาทีเดียวกับที่เขาก้าวถอยไป เสียงกัมปนาทดังออกมาจากทิศเบื้องหน้าที่เขายืนอยู่
นั่นคือแสงสีเลือดโค้งงอเส้นหนึ่ง คล้ายปราณกระบี่ที่ตวัดฉับลงมา ก่อให้เกิดพลังโจมตี พัดพาให้พืชหญ้าส่ายไหว บนพื้นปริแตกออกเป็นร่องน้ำ
เขาร้องเอ๊ะเบาๆ หนึ่งครั้ง ในน้ำตกสีเลือดมีชายหนุ่มผู้หนึ่งเดินออกมา เขาเปลือยท่อนบน สีหน้าเย็นชาโอหัง มองป๋ายเสี่ยวฉุนหนึ่งครั้ง
“ไสหัวไป ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่เจ้าจะมาได้!”
ป๋ายเสี่ยวฉุนมองปราดเดียวก็จำอีกฝ่ายได้ คนผู้นี้ก็คือซ่งเชวีย พูดจบเขาก็ไม่มองป๋ายเสี่ยวฉุนอีก หมุนตัวเดินกลับเข้าไปในน้ำตก เริ่มนั่งสมาธิใหม่อีกครั้ง
“ไม่นึกว่าเจ้าคนเห็นแก่ตัวจะอยู่ที่นี่ หึหึ ทำเป็นอวดเก่ง ตอนอยู่ในโลกกระบี่อุกกาบาต โดนข้าซ้อมซะจนร้องหาพ่อหาแม่ รอให้ข้าโดดเด่นขึ้นมาในสำนักธาราโลหิตก่อนเถอะ จะให้เจ้าได้เห็นดีกัน หึ!” ในใจป๋ายเสี่ยวฉุนแค้นเคือง ครุ่นคิดว่าต่อไปหากได้เอ่ยเรียกพี่หญิงซ่งจวินหว่านต่อหน้าซ่งเชวีย คงจะทำให้เจ้าซ่งเชวียนี่กระอักได้ดีที่สุด!
ป๋ายเสี่ยวฉุนฮึดฮัดเสียงเย็นอยู่ในใจเสร็จถึงได้จากไป ระหว่างทางผ่านสถานที่ที่มีปราณเลือดเข้มข้นอีกเจ็ดแปดแห่ง ทว่าทุกครั้งที่เข้าไปใกล้ หากยืนอยู่นานหน่อยก็จะต้องมีคนท่าทางดุดันออกมาไล่ตะเพิดเขาทันที
คำพูดคำจาไร้ซึ่งความเกรงใจ ถึงขั้นที่ว่ามีครั้งหนึ่ง มีคนออกมาถึงสามคน ไอดุร้ายอบอวล ราวกับว่าหากป๋ายเสี่ยวฉุนหยุดอยู่นานอีกนิดพวกเขาก็จะลงมือสังหารจริงๆ
ป๋ายเสี่ยวฉุนยิ่งไม่สบอารมณ์ขึ้นเรื่อยๆ รู้สึกว่าคนพวกนี้เผด็จการเกินไปแล้ว ตัวเองก็แค่สูดปราณเลือดไปเล็กน้อยเท่านั้น ไม่ได้ไปแย่งที่ของพวกเขาสักหน่อย
ไม่นานนัก ป๋ายเสี่ยวฉุนก็มาถึงหอเรือนจงเฟิงที่รับผิดชอบด้านการเลื่อนขั้นเป็นผู้พิทักษ์ของเขาจงเฟิง ผู้ที่รับรองเขาอยู่ที่นี่คือผู้เฒ่าคนหนึ่ง ตบะบนร่างของผู้เฒ่าคนนี้คือสร้างฐานรากช่วงหลัง หลังจากกวาดตามองป๋ายเสี่ยวฉุนแล้วสัมผัสได้ว่าป๋ายเสี่ยวฉุนคือสร้างฐานรากวิถีมนุษย์ จึงทำท่าไม่แยแส หยิบแผ่นหยกออกมาให้เขาเปลี่ยนป้ายตัวตน แล้วก็ส่งแผ่นหยกสีเลือดให้เขาอีกหนึ่งแผ่น
“ในแผ่นหยกคือเวทคาถาลับของสำนักธาราโลหิต โลหิตปลิดโลกา เจ้าสามารถฝึกฝนด้วยตัวเองได้เลย หากมีตรงไหนไม่เข้าใจ ทุกๆ หนึ่งเดือนจะมีผู้อาวุโสไท่ซ่างคอยสอนให้ สามารถแลกเอาคะแนนคุณความดีเพื่อไปนั่งฟังสอนได้ หากคะแนนคุณความดีมีมากพอ ยังยื่นเรื่องขอให้ผู้อาวุโสไท่ซ่างสอนเป็นการส่วนตัวได้ด้วย
ส่วนถ้ำสถิตของเจ้า บนเขาจงเฟิงยังมีถ้ำว่างอีกสามสิบเจ็ดแห่ง เจ้าเลือกแห่งหนึ่งได้ตามใจชอบ หากรู้สึกว่ายังไม่ดีพอ คิดว่าตนเองมีฝีมือก็สามารถไปแย่งถ้ำสถิตจากคนอื่นได้ เอาล่ะ เจ้าไปได้แล้ว” ผู้เฒ่าโบกมือ นั่งหลับตาทำสมาธิใหม่อีกครั้ง
ป๋ายเสี่ยวฉุนหยิบแผ่นหยกทั้งสองนั้นมา รู้สึกว่าขั้นตอนช่างเรียบง่ายยิ่งนัก หลังจากหลอมรวมพลังวิญญาณเข้าไป ในสมองก็มีภาพแผนที่ภูมิศาสตร์ของเขาจงเฟิงลอยขึ้นมา ด้านในบอกตำแหน่งที่ตั้งของถ้ำสถิตเอาไว้
เขาเห็นว่าสีท้องฟ้ายังสว่างอยู่จึงถือโอกาสเดินสำรวจเสียหนึ่งรอบ จนกระทั่งยามสายัณห์มาถึง ในที่สุดก็เดินดูไปทั่วพื้นที่ของผู้พิทักษ์ช่วงล่างนิ้วครบหนึ่งรอบ หากมองผ่านๆ ทุกถ้ำถือว่าดูไม่เลว ทว่าหากเทียบกับของคนอื่น เห็นได้ชัดว่าปราณโลหิตมีน้อยกว่าเยอะมาก
ป๋ายเสี่ยวฉุนทำได้เพียงเลือกถ้ำที่ดูดีที่สุดในนั้นแล้วย้ายเข้าไป
มองเห็นถ้ำสถิตที่ดีกว่าถ้ำของศิษย์ฝ่ายในอยู่เยอะมาก ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยังรู้สึกว่าถ้ำแห่งนี้ยังไม่มีสง่าราศีเท่าถ้ำของตัวเองที่สำนักธาราเทพ เขารู้สึกไม่ยินยอมเล็กน้อย แต่กลับทำอะไรไม่ได้ ดังนั้นจึงถอนหายใจพรืด หยิบเอาแผ่นหยกสีเลือดแผ่นนั้นออกมา ใช้พลังวิญญาณกวาดไปครั้งหนึ่งก็ต้องร้องเอ๊ะเบาๆ
“ใช้ปราณโลหิตก่อตัวเป็นกระบี่ กลายเป็นปลิดโลกา? ไม่ว่าจะทำร้ายคนอื่นหรือตัวเองได้รับบาดเจ็บล้วนกระตุ้นปราณเลือดได้ทั้งสิ้น ทำให้กระบี่โลหิตยิ่งแข็งแกร่ง…นี่มันเวทคาถาลับอะไรกัน!” ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกตื่นตะลึงไม่น้อย ทว่าพออ่านอย่างละเอียดสีหน้าก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป จนถึงท้ายที่สุดก็ยิ่งแตกตื่น นึกถึงกระบี่โลหิตที่ซ่งเชวียนำมาใช้ในโลกกระบี่อุกกาบาตครั้งนั้น
“กระบี่โลหิตนี้คือเวทคาถาลับของยอดเขาจงเฟิง มีเพียงนักพรตสร้างฐานรากเท่านั้นถึงจะฝึกสำเร็จ…เขาซือเฟิงหลอมศพ เขาอู๋หมิงเฟิงหลอมกะโหลกปีศาจ เขาเส้าเจ๋อเฟิงเลือดปีศาจหลอมร่างกาย ส่วนเขาจงเฟิงแห่งนี้คือ…กระบี่โลหิตปลิดโลกา!” ป๋ายเสี่ยวฉุนมีสีหน้าประทับใจน้อยๆ เขาค้นพบว่าในด้านนี้ สำนักธาราโลหิตดีกว่าสำนักธาราเทพเล็กน้อย เพราะเปิดกว้างให้ลูกศิษย์ทุกคนสามารถฝึกเวทคาถาลับได้
อีกทั้งเห็นได้ชัดว่าวิชาโลหิตปลิดโลกานี้ไม่ธรรมดา ป๋ายเสี่ยวฉุนอ่านข้อมูลในแผ่นหยกพลางไตร่ตรองไปด้วย สุดท้ายก็พบประวัติความเป็นมาของกระบี่โลหิตนี้
“หลังจากบุรพาจารย์ท่านหนึ่งของสำนักธาราโลหิตศึกษามือใหญ่ข้างนี้แล้วได้รับแรงบันดาลใจ จึงสร้างโลหิตปลิดโลกานี้ขึ้นมา ผ่านการเพิ่มเติมและแก้ไขให้สมบูรณ์แบบจากคนรุ่นแล้วรุ่นเล่า สุดท้ายจึงกลายมาเป็นเวทคาถาลับของสำนักธาราโลหิต!”
ป๋ายเสี่ยวฉุนครุ่นคิด หลังจากลองศึกษาดูแล้วจึงยกมือขวาขึ้นทำมุทราโบกสะบัด กระแสเลือดตลอดร่างพลันหยุดชะงัก ผืนดินรอบด้านมีปราณเลือดระเหยขึ้นมาตลอดเวลา ทันใดนั้นมันก็มารวมตัวอยู่ที่นิ้วมือของป๋ายเสี่ยวฉุน ทว่ากลับไม่ราบรื่น ผ่านไปพักใหญ่ก็ยังไม่สามารถเกาะตัวกันได้มากนัก
ป๋ายเสี่ยวฉุนขมวดคิ้ว โบกมือหนึ่งครั้งปัดให้ปราณเลือดกระจายออกไป
เขาใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงศึกษาแผ่นหยกอย่างละเอียดอีกครั้ง ทดลองทำดูอีกที ทว่ากลับยังคงไม่สำเร็จ ราวกับว่ามีพื้นที่บางส่วนที่ไม่เปิดโล่ง ยากที่จะทำได้อย่างราบรื่น
“ตามที่บอกเอาไว้ในแผ่นหยก ขั้นแรกของกระบี่โลหิตคือปราณเลือดที่ถูกดึงออกมาจากร่างของตัวเอง ใช้สิ่งนี้มาเป็นตัวล่อเพื่อให้ปราณเลือดของคนอื่นมาเกาะตัวที่ปลายนิ้วได้มากขึ้น กลายมาเป็นปราณกระบี่ที่แผ่ออก นี่คือพื้นฐาน จากนั้นตามหลักของวิชาลับแล้ว ปราณเลือดจะค่อยๆ รวมตัวกันอยู่ด้านหลังกลายมาเป็นกระบี่เลือดเล่มหนึ่ง…” ป๋ายเสี่ยวฉุนทดลองอีกครั้ง ทว่าก็ยังคงทำไม่ได้อยู่ดี
“ไม่ถูกสิ” ป๋ายเสี่ยวฉุนแปลกใจ หลังจากคิดดูแล้ว ก็ล้มเลิกความคิดที่จะรวมปราณเลือดตามวิธีที่บอกไว้ในแผ่นหยก แต่เคลื่อนโคจรวิชาอมตะมิวางวายแทน ทำให้ปราณเลือดที่ลอยวนอยู่รอบกายเขา รวมไปถึงบนพื้นดินรอบด้านพลันลอยตัวสูงขึ้นมาคล้ายถูกดึงดูดอย่างรุนแรง ทันใดนั้นก็พุ่งเข้าซอกซอนไปในร่างกายของป๋ายเสี่ยวฉุน
ปราณเลือดเหล่านี้ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ได้ดูดซับเข้าไป แต่เอามาหมุนวนรอบกายของเขา จากนั้นจึงมาเกาะตัวกันอยู่ที่ปลายนิ้วกลางของขวา พริบตาเดียวปราณเลือดเข้มข้นระลอกหนึ่งก็ก่อตัวกันขึ้นมาเป็นปราณกระบี่ยาวหนึ่งฉื่อ
ตลอดทั้งขั้นตอนลื่นไหลราวกับสายน้ำ คล่องแคล่วเป็นธรรมชาติ ภาพนี้หากคนนอกมาเห็นเข้าย่อมมองตาค้างแน่นอน นับตั้งแต่ที่สำนักธาราโลหิตมีประวัติการณ์มา ศิษย์แห่งความภาคภูมิใจที่ทำให้ปราณเลือดล้อมวนปลายนิ้วจนก่อตัวขึ้นเป็นปราณกระบี่ได้รวดเร็วที่สุดก็ยังต้องใช้เวลาหนึ่งวัน ทว่าป๋ายเสี่ยวฉุน หากไม่นับก่อนหน้านี้ที่เดินผิดทาง ถ้าเช่นนั้นเขาก็ใช้เวลาแค่ไม่กี่ชั่วลมหายใจก็สามารถเรียนรู้ได้ตามสัญชาตญาณแล้ว
ป๋ายเสี่ยวฉุนมองปราณกระบี่บนปลายนิ้วอยู่หลายครั้ง รู้ว่าตัวเองใช้เล่ห์เหลี่ยมถูกทางแล้ว พลางขบคิดไปด้วย
“โลหิตปลิดโลกานี้ไม่ธรรมดา เห็นได้ชัดว่าเป็นวิชาการควบคุมอย่างหนึ่งของเลือดคงกระพัน เพียงแต่ว่าเนื่องจากในสำนักธาราโลหิตไม่มีคนที่มีเลือดคงกระพันอย่างแท้จริง ต้องอาศัยดูดซับเอาปราณเลือดมาฝืนบังคับให้เลือดสดในร่างกายตัวเองเปลี่ยนแปลงช้าๆ ดังนั้นเมื่อดึงปราณเลือดให้กระจายออกมาด้านนอกแน่นอนว่าย่อมไม่เป็นเนื้อเดียวกัน ด้วยเหตุนี้จึงจำเป็นต้องใช้ปราณเลือดอย่างอื่นมาหลอมรวมด้วย หากไม่ใช่ตัวเองบาดเจ็บ ก็ต้องทำให้คนอื่นบาดเจ็บ เพื่อเพิ่มพลานุภาพมากขึ้น”
“หากถึงในระดับหนึ่ง เลือดของตัวเองที่หลอมรวมอยู่ในปราณเลือดนานเข้าก็จะเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง บางทีวันหนึ่งอาจจะสามารถใช้วิธีการเช่นนี้มาครอบครองประสิทธิผลของขอบเขตที่เทียบเคียงได้กับบทมิวางวายขั้นสุดท้ายอย่างเลือดคงกระพันได้จริงๆ!”
“แต่เห็นได้ชัดว่านี่มันยากมากๆ…วิธีการที่ถูกต้องควรจะเป็นการกระตุ้นเลือดคงกระพันในร่างกายของตัวเอง ทำให้มันเกิดเป็นปราณเลือด แล้วรวมตัวกันเป็นปราณกระบี่ ใช้สิ่งนี้เป็นพื้นฐาน จากนั้นภายหลังก็ค่อยๆ เปลี่ยนแปลงจนมาเป็นกระบี่โลหิต หนึ่งกระบี่ตวัดลง สะท้านฟ้าสะเทือนดิน!”
“ดังนั้น วิธีการโกงเช่นนี้ของข้าในความเป็นจริงแล้วก็เป็นวิธีที่ผิดเหมือนกัน” หลังจากใคร่ครวญอยู่ครู่ใหญ่ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็สุดลมหายใจเข้าลึก ปราณกระบี่บนปลายนิ้วสลายไปทันควัน หลังจากกลายมาเป็นปราณเลือดก็ถูกดูดเข้าไปในร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างแรง ครั้งนี้เขาเลือกให้มันหลอมรวมเข้าไปในเลือดเนื้อ ทำให้ความรู้สึกเสียวปลาบจากการที่พลังเลือดเนื้อเพิ่มขึ้นเกิดขึ้นอีกครั้ง แต่หลังจากนั้นป๋ายเสี่ยวฉุนก็ไม่ได้โคจรวิชาเนื้อคงกระพันอย่างที่ทำในเวลาปกติ แต่ยกมือขวาขึ้นทำมุทราด้วยดวงตาเป็นประกาย ท่องสัจจคาถาของวิชาโลหิตปลิดโลกา บีบเค้นเอาปราณเลือดออกมาจากในร่างกาย
ยามนี้เลือดเนื้อทั้งหมดในร่างเขาพลันหดรัดตัวเข้าหากัน ท่ามกลางการหดตัวนี้ ในเลือดเนื้อตลอดร่างของเขาก็ค่อยๆ เกิดปราณเลือดออกมาหนึ่งเส้น!
นี่คือการรวมตัวกันหนังคงกระพัน เนื้อคงกระพันทั้งหมดของป๋ายเสี่ยวฉุน รวมไปถึงการบำรุงจากมือใหญ่นี้ถึงได้ถึงก่อตัวขึ้นมาเป็น…ปราณเลือดหนึ่งเส้นที่ถือเป็นเลือดคงกระพันของป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างแท้จริง
ด้วยตบะของป๋ายเสี่ยวฉุนในตอนนี้นั้นไม่สามารถสร้างเลือดคงกระพันของตัวเองขึ้นมาได้ ทว่าอาศัยเวทคาถาลับนี้กลับฝืนบีบเค้นปราณเลือดออกมาได้หนึ่งเส้น
แม้ปราณเลือดนี้จะมีน้อยมาก น้อยนิดจนไม่เพียงพอ ทว่าวินาทีที่มันปรากฏตัวขึ้น การเรียกหาจากมือยักษ์กลับรุนแรงอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ป๋ายเสี่ยวฉุนหายใจถี่กระชั้น ฝืนควบคุมปราณเลือดเส้นนี้ หลังจากมันหลุดออกมาจากปลายนิ้วก็โอบล้อมเข้าเป็นวงแล้วก่อตัวขึ้นเป็นปราณกระบี่หนึ่งเล่ม!
นี่ต่างหากถึงจะเป็น…โลหิตปลิดโลกาที่แท้จริง หรือจะพูดอีกอย่างก็คือ นี่คือ…กระบี่เลือดคงกระพัน!
แม้จะมีเพียงเส้นเดียว แม้ในด้านปริมาณจะไม่สามารถเปรียบเทียบกับนักพรตสร้างฐานรากคนอื่นได้ ทว่าเลือดคงกระพันเส้นนี้ ต่อให้ปราณเลือดธรรมดาจำนวนนับไม่ถ้วนมากมายรวมตัวกันขึ้นมาและผ่านการชุบหลอมมาแล้วก็ยังไม่แน่ว่าจะบรรลุได้ถึงขอบเขตนี้ มันสามารถบดขยี้ทำลายทุกอย่างให้พังพินาศย่อยยับได้อย่างง่ายดาย!
วินาทีที่ปราณกระบี่นี้ปรากฏตัวขึ้น ปราณเลือดทั้งหมดตลอดทั้งเขาจงเฟิงล้วนคึกคักขึ้นมา ทำให้นักพรตสร้างฐานรากจำนวนนับไม่ถ้วนพากันแปลกใจ ทว่ากลับหาสาเหตุไม่เจอ
ป๋ายเสี่ยวฉุนหายใจถี่รัว เขาไม่นึกว่าจะทำสำเร็จจริงๆ ยามนี้นัยน์ตาจึงเผยแววปิติยินดี
“นี่ไม่เพียงแต่เป็นไม้ตายอย่างหนึ่ง มากกว่านั้นคือ…มันยังเป็นวิธีที่ทำให้ข้ารวบรวมเลือดคงกระพันออกมาได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ต่อไป ข้าก็จะสัมผัสขอบเขตของ…เลือดคงกระพันได้ล่วงหน้า!!” ป๋ายเสี่ยวฉุนฮึกเหิมทันใด หลังจากสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้งก็ค่อยๆ ดึงปราณเลือดคงกระพันบนปราณนิ้วกลับมา หลังจากหลอมรวมเข้ากับในร่างกายแล้ว ช่วงเวลาหลังจากนั้นเขาก็ฝึกฝนเช่นนี้อย่างต่อเนื่อง
——