บทที่ 196 โลกลึกลับ
คำพูดของป๋ายเสี่ยวฉุนดังออกไป จ้าวอู๋ฉางที่อยู่ด้านหลังเขาใจหายวาบ รู้สึกว่าเจ้านายของตัวเองช่างพูดจาได้น่าตกใจนัก…
พวกลูกศิษย์ที่อยู่รอบด้านก็สำลักลมหายใจเช่นกัน สำหรับคำพูดเกี้ยวพาราสีโจ่งครึ่มที่มีต่อผู้อาวุโสใหญ่เขาจงเฟิงเช่นนี้ ทุกคนได้แต่แสร้งทำเป็นหูทวนลม
ซ่งจวินหว่านเองก็อึ้งงัน ความคิดแรกของนางคือเจ้าเย่จั้งที่อยู่เบื้องหน้าผู้นี้จงใจแทะโลมตัวเอง ทว่าเมื่อมองป๋ายเสี่ยวฉุนกลับเห็นท่าทางหลงใหลของเขา จึงยิ้มหวานออกมา รู้สึกว่าเย่จั้งผู้นี้น่ารักมาก
“พี่หญิง?!” ผู้อาวุโสใหญ่ของยอดเขาทั้งสามที่เหลือ ยามนี้แต่ละคนก็มีสีหน้าปูเลี่ยน มองป๋ายเสี่ยวฉุน แล้วก็มองซ่งจวินหว่านอีกที ได้แต่ส่ายหัว ต่างคนต่างจากไป ส่วนจ้าวอู๋ฉาง เขาเลือกยอดเขาเส้าเจ๋อเฟิง
ก่อนที่ผู้อาวุโสใหญ่เหล่านี้จะจากไป ในใจผู้อาวุโสใหญ่ของยอดเขาซือเฟิงถอนหายใจยาว ดวงตาฉายแววเสียดาย
คล้ายรู้สึกว่าหากป๋ายเสี่ยวฉุนเลือกยอดเขาจงเฟิงแล้วต้องเสียใจในภายหลังอย่างแน่นอน หรือไม่ในใจก็ไม่ยินยอมที่จะให้หยกเนื้อดีชิ้นนี้ไร้วาสนากับยอดเขาซือเฟิง ก่อนที่ผู้อาวุโสใหญ่เขาซือเฟิงจะจากไปจึงได้หยิบแผ่นหยกหนึ่งแผ่นส่งมอบให้กับป๋ายเสี่ยวฉุน
“เย่จั้ง นี่คือป้ายคำสั่งของตัวข้า เมื่อใดก็ตามที่เจ้าเปลี่ยนความคิดก็สามารถเอาป้ายคำสั่งนี้มาที่ยอดเขาซือเฟิงของข้าได้ตลอดเวลา ตำแหน่งผู้พิทักษ์ยอดเขาซือเฟิงของข้าจะเก็บไว้ให้เจ้าเสมอ!”
ป๋ายเสี่ยวฉุนรับเอาป้ายคำสั่งมา เขารู้สึกว่าสำนักธาราโลหิตช่างดีกับตนยิ่งนัก แม้ว่าคนที่นี่จะดุร้าย ทว่ากลับดีกับตนมากๆ
“ข้าก่อเรื่อง สำนักไม่ลงโทษ ทั้งยังให้ของรางวัล ตอนนี้ทั้งสี่ยอดเขาต่างก็แย่งตัวข้า แถมผู้อาวุโสใหญ่เขาซือเฟิงก็ยิ่งดึงดันอยากได้ตัวข้าถึงเพียงนี้” ป๋ายเสี่ยวฉุนซาบซึ้งใจอยู่กับตัวเอง
หลังจากที่ทุกคนพากันจากไป ซ่งจวินหว่านแห่งยอดเขาจงเฟิงมองป๋ายเสี่ยวฉุนอีกครั้ง บนใบหน้ายังคงมีรอยยิ้มประดับ ยามนี้เนื่องจากนางก้าวเดินมาด้านหน้า เรือนร่างเย้ายวนจึงเผยให้เห็นต้นขาขาวราวหิมะ เต็มไปด้วยเสน่ห์ชวนหลงใหล ต่อให้เป็นป๋ายเสี่ยวฉุนที่รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนควบคุมตัวเองได้ดีมาตลอดก็ยังอดที่จะเหล่มองอยู่หลายครั้งไม่ได้ หัวใจเต้นโครมครามดังสนั่น
ซ่งจวินหว่านผู้มีเรือนกายเร่าร้อนเดินยิ้มยวนใจมาหยุดอยู่ด้านหน้าป๋ายเสี่ยวฉุน นิ้วชี้ของมือขวาที่ขาวราวหยวกกล้วยเชยคางของป๋ายเสี่ยวฉุนขึ้นมา ริมฝีปากแดงสดเอ่ยเบาๆ
“เด็กน้อย เมื่อครู่เจ้าเรียกข้าว่าอะไรนะ?”
“พี่หญิงซ่ง…” ป๋ายเสี่ยวฉุนหน้าแดงก่ำ ได้กลิ่นหอมเย็นที่ลอยออกมาเมื่ออีกฝ่ายเข้ามาใกล้ เอ่ยปากอย่างเหนียมอาย
เห็นท่าทางเช่นนี้ของป๋ายเสี่ยวฉุน เสียงหัวเราะของซ่งจวินหว่านก็ยิ่งดังมากขึ้น ทิ้งสายตาให้กับป๋ายเสี่ยวฉุน วางแผ่นหยกหนึ่งแผ่นลงบนมือของเขา บิดเอวเล็กเพรียวบางน่าตื่นตาตื่นใจนั้นลอยจากไปพร้อมเสียงหัวเราะ
ป๋ายเสี่ยวฉุนถือแผ่นหยกเอาไว้ ยืนอยู่บนหน้าผาหมื่นโลหิต ถอนหายใจยาวเหยียดอยู่ในใจ เขารู้สึกว่าเพื่อได้ครอบครองวัตถุนิจนิรันดร์มิดับสูญแล้ว ตัวเองต้องยอมทุ่มเทถึงระดับนี้ ก็อดที่จะนับถือตัวเองไม่ได้ แล้วก็คิดอีกว่าตนเรียกซ่งจวินหว่านว่าพี่หญิง ถ้าเช่นนั้นต่อไปพอเจอกับซ่งเชวีย ก็ไม่เท่ากับว่าตนศักดิ์สูงกว่าซ่งเชวียระดับหนึ่งหรอกหรือ
คิดมาถึงตรงนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ฮึกเหิมทันควัน ก้าวยาวๆ จากไปด้วยความลำพองใจ ตอนที่กลับมาถึงถ้ำสถิตก็เป็นเวลาพลบค่ำแล้ว เขาจัดระเบียบสัมภาระเล็กน้อย เตรียมไปรายงานตัวที่ยอดเขาจงเฟิงวันพรุ่งนี้
กลางดึก ป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังนั่งสมาธิ แสงจันทร์สาดส่องเข้ามาทางหน้าต่าง ส่องสะท้อนลงบนร่างของเขา ทำให้บนพื้นดินเกิดเป็นเงาทอดยาว ทันใดนั้น จิตของป๋ายเสี่ยวฉุนสั่นสะท้าน ความรู้สึกบางอย่างที่บอกไม่ถูกระลอกหนึ่งแผ่ซ่านออกมาจากในแสงจันทร์ ราวกับถูกสายตาที่มองไม่เห็นสายตาหนึ่งจ้องนิ่งมา
ดวงตาของป๋ายเสี่ยวฉุนเบิกกว้าง ภาพเหตุการณ์ที่ทำให้หนังหัวเขาชาหนึบพลันเกิดขึ้น เงาของเขาบิดเบือนรุนแรง กระจัดกระจายออกราวกับเมฆหมอก พริบตาเดียวก็แผ่วงกว้างไปทั่วถ้ำ ทำให้ตลอดทั้งถ้ำมืดสนิท แม้แต่แสงจันทร์จากด้านนอกก็คล้ายถูกอาบย้อม ดั่งว่าวินาทีนี้ สถานที่แห่งนี้ได้ถูกแบ่งแยกออกจากโลกแห่งความจริง!
การเปลี่ยนแปลงแปลกประหลาดนี้ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนนึกถึงสำนักลึกลับที่เย่จั้งตัวปลอมเคยหลุดพูดถึงตอนที่เขาสอบถาม สำหรับสำนักลึกลับแห่งนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนได้จดจำไว้ในใจเสมอมา ยามนี้ดวงตาจึงแน่วนิ่ง พยายามทำสีหน้าให้เป็นปกติ ทว่าความตื่นเต้นในใจกลับยากที่จะกำจัดออกไปได้ในระยะเวลาอันสั้น จึงลุกขึ้นยืน มองไปรอบด้านด้วยความระมัดระวัง
“เย่จั้งตัวปลอมเคยบอกว่าหลายสิบปีมานี้ สำนักแห่งนี้เคยปรากฏตัวแค่สามครั้ง ตอนนี้เพิ่งผ่านไปได้ไม่นาน ทำไมถึงได้ปรากฏตัวอีกแล้วล่ะ…” ป๋ายเสี่ยวฉุนตื่นเต้น เขากังวลว่าอีกฝ่ายจะจับสังเกตเห็นใบหน้าที่แท้จริงของตัวเองใต้หน้ากาก จึงรู้สึกร้อนใจ
และยามนี้เอง ถ้ำสถิตที่ถูกเงาปกคลุม พื้นดินปรากฏคลื่นเคลื่อนไหวราวกับกลายมาเป็นผิวน้ำ ผ่านไปครู่ใหญ่ก็กลายมาเป็นโปร่งใส ตอนที่ป๋ายเสี่ยวฉุนก้มหน้าลงไปมองก็เห็นทันทีว่าเบื้องใต้พื้นดินปรากฏโลกมายาแห่งหนึ่งขึ้นมา
มองไปแวบแรกเหมือนโลกใต้ดิน ทว่าพอสังเกตอย่างละเอียด ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ตระหนักอย่างแตกตื่นว่านี่คือโลกใบหนึ่งที่ถูกสะท้อนออกมา เหมือนคนที่อยู่นอกกระจกมองเข้าไปในกระจก
โลกใบนี้มีภูเขามีน้ำ ทั้งยังเป็นเวลากลางวัน ขณะที่เมฆหมอกลอยวนขึ้นเป็นเกลียว เงาของผู้ที่สวมชุดคลุมยาวสีขาวก็ค่อยๆ ประกอบขึ้นมาเป็นรูปเป็นร่าง ปราณของการดำรงอยู่อย่างยาวนานโชกโชนระลอกหนึ่งที่แม้จะมีผืนดินกางกั้น ทว่าป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยังคงสัมผัสได้อย่างชัดเจน นั่นยิ่งทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนเข้าใจในความแข็งแกร่งของสำนักลึกลับแห่งนี้มากขึ้น
“เย่จั้ง!” น้ำเสียงของร่างชุดขาวแยกไม่ออกว่าเป็นหญิงหรือชายดังสะท้อนอยู่ในสมองของป๋ายเสี่ยวฉุน ต่อให้สัมผัสได้ถึงความตื่นเต้นของป๋ายเสี่ยวฉุน แต่ก็เหมือนว่าร่างชุดขาวนี้จะไม่รู้สึกแปลกใจ เพราะเขาไม่สนใจไต่ถาม แค่สะบัดปลายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง ขวดยาซึ่งมีสัญลักษณ์เป็นรูปพระจันทร์สามขวดก็ปรากฏออกมาทันที ทำท่าคล้ายต้องการลอดทะลุผืนดินมาโผล่อยู่ในถ้ำ
ผืนดินพลันเกิดการสั่นสะเทือน บิดเบือนรุนแรงมากขึ้นกว่าเดิม ขณะที่ขวดยาทั้งสามนี้ค่อยๆ โผล่ขึ้น เสียงของร่างชุดขาวก็ดังก้องเนิบช้า
“ข้าสัมผัสได้ถึงคลื่นสร้างฐานรากของเจ้า ดูท่าเจ้าคงจะทำสำเร็จแล้ว ดีมาก นี่ก็คือยาที่ก่อนหน้านี้เจ้าวอนขออยู่หลายครั้ง มากพอที่จะทำให้ตบะของเจ้าไต่ไปถึงสร้างฐานรากช่วงกลาง การส่งยาวิเศษเหล่านี้มาให้เจ้าต้องจ่ายค่าตอบแทนสูงมาก สูงเกินกว่าต้นทุนของยาวิเศษมากมายนัก”
“เจ้าต้องจำเอาไว้ว่า วัตถุนิจนิรันดร์มิดับสูญชิ้นนั้นอยู่บนนิ้วกลางของสำนักธาราโลหิต ด้านล่างถ้ำสถิตของผู้อาวุโสใหญ่เขาจงเฟิง ไม่ว่าจะใช้เวลามากเพียงใดไม่สำคัญ เจ้าคิดหาวิธีเอามันมาครองให้ได้ก็แล้วกัน” เสียงดังขาดๆ หายๆ จนกระทั่งพื้นดินบิดเบือนรุนแรง ยาสามขวดนั้นโผล่ขึ้นมาได้สำเร็จทั้งหมด ร่างชุดขาวถึงได้ค่อยๆ สลายวับไป พื้นดินก็ค่อยๆ กลับคืนสู่สภาพปกติ เงาดำหายไป แสงจันทร์จากด้านนอกสาดส่องเข้ามาใหม่อีกครั้ง
ในระยะเวลาสั้นๆ นี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ได้พูดอะไรสักคำ ทว่าร่างของเขากลับพราวไปด้วยเหงื่อเย็นๆ ยามนี้สูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง กดความสะท้านสะเทือนในใจลงไป การปรากฏตัวของอีกฝ่าย แปลกประหลาดเกินกว่าที่ป๋ายเสี่ยวฉุนคาดเดาเอาไว้มากนัก
“นี่เป็นสำนักอย่างไรกันแน่?” ลมหายใจป๋ายเสี่ยวฉุนถี่กระชั้น เขาไม่สงสัยในความแข็งแกร่งของสำนักนั้นเลยสักนิด แน่นอนว่าสำนักธาราโลหิตย่อมเทียบไม่ติด สำนักใหญ่โตมหึมาเช่นนั้น เห็นได้ชัดว่าอยู่ห่างจากที่แห่งนี้ไกลลิบลับ
“ไม่นึกเลยว่าทางฝ่ายพวกเขาจะเป็นเวลากลางวัน…” ป๋ายเสี่ยวฉุนเงียบงัน ขณะที่กำลังครุ่นคิดก็ลูบคลำหน้ากากบนหน้าไปด้วย ค่อนข้างวางใจที่ไม่ถูกจับได้
“ดูเหมือนว่าร่างชุดขาวนั่นจะจับไม่ได้ว่าข้าเปลี่ยนตัวมาแทนแล้ว? หรือว่าจับได้แต่ไม่เปิดโปงกันแน่?” ป๋ายเสี่ยวฉุนลังเลเล็กน้อย รู้สึกไม่แน่ใจจึงหยิบเอาวิญญาณเย่จั้งตัวปลอมออกมา ถามอยู่นาน ในใจของเย่จั้งตัวปลอมขมปร่า ทั้งมากด้วยความซับซ้อน ยาเหล่านั้นเขาเคยวิงวอนร้องขอครั้งแล้วครั้งเล่า ทุ่มเทความคิดและสติปัญญาไปมากมาย ครั้งนี้ถึงได้เอามาส่งให้
แต่ตอนนี้มันกลับกลายเป็นของป๋ายเสี่ยวฉุนไปแล้ว ใจของเขากำลังหลั่งเลือด ผ่านไปครู่ใหญ่ถึงได้ถอนหายใจ ไม่กล้าบ่น จึงรีบตอบคำถามมากมายที่ป๋ายเสี่ยวฉุนยกขึ้นมา
ถามอยู่นานมาก หัวคิ้วป๋ายเสี่ยวฉุนขมวดมุ่น เขายังไม่สามารถตัดสินได้ว่าอีกฝ่ายจับได้หรือไม่ว่าตัวเองไม่ใช่เย่จั้งตัวปลอมคนก่อนหน้านี้อีกแล้ว
“ช่างเถอะ คิดมากไปก็ไม่มีประโยชน์ ต่อให้พวกเขาจับได้จริง แต่เมื่อครู่ก็ไม่ได้พูดแฉข้า ซึ่งก็หมายความว่าไม่ต้องการเปิดโปง ตามที่ข้าเคยวิเคราะห์เอาไว้ ความเป็นไปได้ที่อีกฝ่ายกระทำการเพียงลวกๆ มีสูงมาก อีกทั้งไม่แน่ว่าพวกเขาอาจจะยังจับไม่ได้ก็ได้” ป๋ายเสี่ยวฉุนส่ายหัว หยิบขวดยาทั้งสามขึ้นมา หลังจากมองสัญลักษณ์รูปพระจันทร์บนนั้นแล้วก็เปิดออกดูทีละขวด
ในขวดยาทั้งสามนี้ ด้านในมียาทั้งหมดสามสิบเม็ด ป๋ายเสี่ยวฉุนมองอย่างละเอียดก็ต้องเบิกตากว้างทันที หายใจติดขัด
“เป็นของระดับดีหมดเลย!! ยาวิเศษระดับสี่!”
“นี่คือสำนักอะไร น่ากลัวเกินไปแล้ว!”
“ยาวิเศษนี้ ข้าไม่รู้จักเลยสักอย่าง อีกทั้งพืชหญ้าด้านในนี้ก็…” หลังจากป๋ายเสี่ยวฉุนพิจารณาอย่างละเอียดแล้วจึงยกขึ้นมาดม วิเคราะห์อยู่ในสมองพักหนึ่ง พบว่าพืชหญ้าที่ใช้หลอมมีหลายสิบชนิด และครึ่งหนึ่งเป็นพืชหญ้าที่เขาไม่รู้จัก
แต่กลับมองออกว่าสรรพคุณของมันเป็นอย่างที่อีกฝ่ายพูดไว้จริง ยาสามขวดนี้มากพอที่จะทำให้สร้างฐานรากวิถีมนุษย์คนหนึ่งเลื่อนระดับจากช่วงต้นมาถึงช่วงกลาง ทว่าสำหรับป๋ายเสี่ยวฉุนแล้ว นี่ยังไม่พอ
เขาคือสร้างฐานรากวิถีฟ้า นอกจากยาแล้ว ยังจำเป็นต้องชุบหลอมน้ำจากแม่น้ำทงเทียน แต่ว่าหากมียาพวกนี้ช่วย ความเร็วในการชุบหลอมของเขาต้องเพิ่มขึ้นมาเยอะมากแน่นอน
คืนนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนใช้เวลาขบคิดทั้งคืน จนกระทั่งฟ้าสาง เขาถึงได้สูดลมหายใจเขาลึก ฝังกลบทุกอย่างไว้ในก้นบึ้งของหัวใจ ตอนที่เดินออกจากถ้ำก็หันกลับไปมองพื้นดินในถ้ำด้านหลัง เขาเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วจึงหยิบแผ่นหยกของยอดเขาจงเฟิงออกมา หมุนกายตรงดิ่งไปยังยอดเขาจงเฟิง
อีกนิดเดียวก็จะเข้าไปใกล้ มองเขาจงเฟิงที่เอียงทะลุเข้าสู่ท้องฟ้า เมฆหมอกลอยวนปกคลุมไปเสียครึ่ง ในใจป๋ายเสี่ยวฉุนทอดถอนใจให้กับมือของคนร่างยักษ์นี้อีกครั้ง
แทบจะวินาทีเดียวกันกับที่เขาเหยียบลงบนเขาจงเฟิง ระลอกคลื่นที่มองไม่เห็นเส้นหนึ่งพลันแผ่กระจายไปทั่ว คล้ายสัมผัสได้ถึงแผ่นหยกที่อยู่ในมือของป๋ายเสี่ยวฉุน ระลอกคลื่นจึงหายไป ยอมให้ป๋ายเสี่ยวฉุนเข้าไปด้านในเขาจงเฟิง
หากไม่มีแผ่นหยกนี้แล้วยังบุกเข้ามาบนเขา จะถูกค่ายกลลงโทษโดยตรง การแบ่งระดับขั้นของตลอดทั้งสำนักธาราโลหิตเข้มงวด ผู้ที่มีคุณสมบัติได้อาศัยอยู่บนยอดเขาทั้งสี่มีเพียงนักพรตสร้างฐานรากของแต่ละยอดเขาเท่านั้น
เดินอยู่บนเขาจงเฟิง ป๋ายเสี่ยวฉุนสัมผัสได้ถึงความกว้างขวางของยอดเขาแห่งนี้ พืชหญ้ารอบด้านเป็นสีชาด ทั้งยังสามารถมองเห็นธารน้ำสีเลือดบางส่วนไหลรินผ่านไปด้วย และวิชาอมตะมิวางวายในร่างของเขาก็ยิ่งลิงโลด โดยเฉพาะตอนที่ป๋ายเสี่ยวฉุนเข้าไปใกล้น้ำตกสีเลือด ความรู้สึกเรียกหาที่ส่งมาจากมือใหญ่พลันดุเดือดขึ้นมาทันที
การเรียกหานี้รุนแรงจนกระตุ้นไปถึงวิชาอมตะมิวางวายในร่างของป๋ายเสี่ยวฉุน ทำให้ลมหายใจของเขาถี่ระรัว มีความรู้สึกราวกับตัวเองจะกลายร่างเป็นคนร่างยักษ์
——