Skip to content

A Will Eternal 195

บทที่ 195 ข้าเลือกเขาจงเฟิงของพี่หญิงซ่ง

ขณะที่ทุกคนกัดฟันก้มหน้าคารวะ ป๋ายเสี่ยวฉุนทั้งลำพองใจและฮึกเหิมเป็นกำลัง ทว่าสีหน้ากลับเคร่งขรึม หัวเราะเสียงเหี้ยม สายตากวาดมองไปบนร่างของคนเหล่านี้

“ผู้พิทักษ์เย่…ศิษย์…ศิษย์ยินดีใช้การสะสมทุกอย่างมาแลกโอสถสร้างฐานรากหนึ่งเม็ด…” จ้าวอู๋ฉางกัดฟัน รีบเอ่ยปาก

เขาพูดเช่นนี้ ทุกคนที่อยู่รอบด้านจึงทยอยพูดขึ้นมาในทำนองเดียวกัน ในเมื่อไม่สามารถแย่งชิงเอามาได้ ตอนนี้พวกเขาจึงคิดประจบป๋ายเสี่ยวฉุนเพื่อแลกกับโอสถสร้างฐานราก

โดยเฉพาะตอนนี้ขอแค่ได้โอสถสร้างฐานรากมาหนึ่งเม็ด พวกเขาก็จะมีโอกาสได้ก้าวขึ้นฟ้าอีกหนึ่งก้าว นี่จึงยิ่งทำให้ใจของทุกคนร้อนรน

ดวงตาจ้าวอู๋ฉางเผยแววเด็ดเดี่ยว เส้นเลือดฝอยปรากฏเต็มดวงตา เขานึกถึงตระกูลที่ตกต่ำของตัวเอง นึกถึงศัตรูคู่แค้นเหล่านั้นของตัวเอง และตอนนี้ ศัตรูของเขาก็มีหลายคนที่สร้างฐานรากสำเร็จแล้ว

หากตัวเองไม่สามารถสร้างฐานรากได้ในระยะเวลาอันสั้น ถ้าเช่นนั้นสิ่งที่รอเขาอยู่ก็คือการล่มสลายของตระกูล หรือแม้แต่ตัวเขาเอง หากไม่ระวังเพียงนิด ก็อาจจะถูกสังหารได้โดยตรง!

คิดมาถึงตรงนี้ จ้าวอู๋ฉางก็กัดฟันกรอด เดินขึ้นหน้าไปคุกเข่าลงตรงหน้าของป๋ายเสี่ยวฉุน มือขวายกขึ้นมาชี้ตรงหว่างคิ้ว เมื่อหว่างคิ้วของเขามีแสงสีเลือดกะพริบวาบขึ้น เลือดสดหนึ่งหยดก็ปรากฏออกมา เลือดหยดนี้รวมวิญญาณของเขาที่ถูกแบ่งออกมาเส้นหนึ่งเอาไว้ด้วย

วิชาเช่นนี้คือเวทคาถาลับที่เขาได้รับมาโดยไม่ได้ตั้งใจหลายปีก่อน ใช้การโคจรของตบะในปัจจุบัน พลังโจมตีกลับรุนแรงถึงที่สุด วินาทีที่เลือดวิญญาณหยดนั้นปรากฏขึ้น สีหน้าเขาพลันซีดขาว กระอักเลือดออกมาคำใหญ่ เงยหน้ามองป๋ายเสี่ยวฉุน น้ำเสียงแหบแห้งแฝงไว้ด้วยความคลุ้มคลั่ง

“ผู้พิทักษ์เย่ หากท่านให้ข้าสร้างฐานราก ข้าผู้แซ่จ้าวยินดีเป็นทาสท่านหกสิบปี!”

น้ำเสียงของจ้าวอู๋ฉางแหลมคม ดังไปสี่ทิศ ลูกศิษย์คนอื่นที่อยู่รอบด้านต่างสำลักลมหายใจ หันไปมองจ้าวอู๋ฉางอย่างพร้อมเพรียง แต่ละคนสีหน้าซับซ้อน แม้ว่าพวกเขาคาดหวังอย่างยิ่งว่าจะได้โอสถสร้างฐานรากมาครอง ทว่าเมื่อเปรียบเทียบกับอิสระแล้ว การตัดสินใจเช่นนี้ยากที่จะทำได้

ยามนี้ทุกคนเงียบงัน อย่าว่าแต่ที่พวกเขาไม่มีวิชาแบ่งเลือดวิญญาณเลย ต่อให้มีจริง…เมื่อลองชั่งน้ำหนักดูแล้วก็ยังต้องถอนหายใจ ไม่ยินดีที่จะเอาอิสระไปแลกด้วย

แม้ว่าโอสถสร้างฐานรากจะได้มาครองยาก แต่ก็ใช่ว่าต่อไปจะไม่มีโอกาสได้มาครองอีกเลย

ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็แสดงอารมณ์ออกมาทางสีหน้าเช่นกัน มองจ้าวอู๋ฉางหนึ่งครั้ง โดยเฉพาะเลือดวิญญาณหยดนั้น เขาไม่ได้เพิ่งเข้ามาอยู่ในโลกแห่งการบำเพ็ญเพียร ความรู้ทั่วไปบางอย่างก็เคยได้ยินผ่านหูมาบ้าง หลังจากเงียบไปครู่เล็กๆ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยกมือขวาขึ้นมาชี้ เลือดวิญญาณหยดนั้นลอยมาอยู่เบื้องหน้า เมื่อสัมผัสเข้ากับปลายนิ้วของเขาก็พลันหายไป

ความรู้สึกมหัศจรรย์อย่างหนึ่งไหลเข้าไปยังหัวใจของป๋ายเสี่ยวฉุน นั่นคือการควบคุมที่เพียงแค่คิดก็สามารถทำให้จ้าวอู๋ฉางตายได้ การควบคุมนี้ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนใจสั่น เขาไม่รู้ว่าทำไมถึงได้รู้สึกอย่างเลือนรางว่าการควบคุมเช่นนี้ มีส่วนคล้ายกับมหาเวทควบคุมคนที่ตนเองเสาะแสวงหาอยู่ไม่น้อย

“จ้าวอู๋ฉาง!” ป๋ายเสี่ยวฉุนเงียบงันไปครู่หนึ่ง เมื่อเงยหน้าขึ้นมาก็เอ่ยปากเชื่องช้า ยามนี้เขาเคร่งขรึมจริงจังมากขึ้น แม้แต่น้ำเสียงก็ยังแฝงไว้ด้วยความบีบเค้น ทำให้ลูกศิษย์ทุกคนรอบด้านใจหายวาบ

จ้าวอู๋ฉางเงยหน้ามองป๋ายเสี่ยวฉุน นัยน์ตาเผยแววเคารพนอบน้อม

“ข้าจะให้โอกาสในการสร้างฐานรากแก่เจ้า แต่เพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น!” ป๋ายเสี่ยวฉุนมีจุดยืนเป็นของตัวเอง โบกมือหนึ่งครั้งโอสถสร้างฐานรากก็บินออกไป ยาเม็ดนี้บินเข้าหาจ้าวอู๋ฉาง ท่ามกลางสายตาละโมบของคนรอบด้าน

ไม่มีใครกล้าลงมือแย่งชิงต่อหน้านักพรตสร้างฐานราก หลังจากที่จ้าวอู๋ฉางคว้ายาเม็ดนี้เอาไว้ได้ ร่างของเขาก็พลันสั่นเยือก ประสานมือคารวะป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยความตื่นเต้น จากนั้นก็ลุกขึ้นเดินเร็วๆ สองสามก้าวมาหยุดอยู่ข้างกายป๋ายเสี่ยวฉุน นั่งขัดสมาธิแล้วกลืนยาลงไป เลือกสร้างฐานรากตรงนี้ทันที

เมื่อกลืนยาลงไป จ้าวอู๋ฉางก็สั่นเทาไปทั้งร่าง ในกายคล้ายมีภูเขาไฟแตกปะทุออกมา

ป๋ายเสี่ยวฉุนมองหนึ่งครั้งก็ถอนสายตากลับ ในใจให้ปลดปลง หากอยู่ที่สำนักธาราเทพ แม้ว่าโอสถสร้างฐานรากจะมีน้อยเหมือนกัน ทว่าค่าตอบแทนไม่ได้มากมายเช่นสำนักธาราโลหิต

ยามนี้ เขาก็พลันตระหนักบางอย่างขึ้นมาได้ โลกแห่งการบำเพ็ญเพียร…บางทีอาจจะเป็นเช่นนี้จริงๆ

นี่ก็เป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้สำนักธาราโลหิตผงาดและแข็งแกร่งขึ้นมาได้ ลูกศิษย์ที่เติบโตขึ้นมาภายใต้สภาพแวดล้อมเช่นนี้ ระดับความแกร่งกร้าวของตัวพวกเขา เห็นได้ชัดว่าลูกศิษย์ของสำนักอื่นไม่สามารถเปรียบเทียบได้

ส่วนความรู้สึกสวามิภักดิ์…ขอเพียงสำนักธาราโลหิตยังคงรุ่งโรจน์ ขอเพียงยังคงสอดคล้องกับผลประโยชน์ของคนส่วนใหญ่ ถ้าเช่นนั้นมันก็ยังคงเป็นเหมือนวงล้อขนาดยักษ์วงหนึ่งที่พร้อมบดขยี้ทุกสิ่งอย่างที่คิดท้าทายกฎของมัน

เช่นเดียวกัน ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่สามารถท้าทายได้ การเลือกที่ดีที่สุดก็คือปรับตัวเข้าหามัน กลายเป็นส่วนหนึ่งที่ได้รับผลประโยชน์!

เวลาผ่านพ้น เมื่อกำหนดเวลาหนึ่งเดือนใกล้จะมาถึง ตลอดร่างของจ้าวอู๋ฉางเกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว ระเบิดปราณสร้างฐานรากระลอกหนึ่งออกมา ดวงตาทั้งคู่ของเขาพลันเบิกโพลง ประกายตาคมกล้า ตบะตลอดร่างกลายเป็นมหาสมุทรวิญญาณในกาย แม้จะสู้สร้างฐานรากวิถีดินไม่ได้ ทว่าก็มีรากฐานที่ค่อนข้างแน่นหนาสำหรับวิถีมนุษย์

“ขอบพระคุณนายท่าน!” จ้าวอู๋ฉางสูดลมหายใจเข้าลึก เขาลุกขึ้นยืน ประสานมือโค้งตัวต่ำให้กับป๋ายเสี่ยวฉุน ภายใต้การจับตามองด้วยสายตาซับซ้อนของทุกคนรอบด้าน

ป๋ายเสี่ยวฉุนพยักหน้า และเวลานี้เอง ทันใดนั้นมีลำแสงหลายเส้นร่วงลงมาจากท้องฟ้า ปกคลุมลงบนร่างของนักพรตทุกคนที่อยู่แห่งนั้นอย่างแม่นยำ กลายเป็นแรงดึงดูดขนาดยักษ์ระลอกหนึ่งกระชากทุกคนออกไปอย่างแรง

ตู้ม!

ร่างของทุกคนลอยขึ้นกลางท้องฟ้าอย่างควบคุมไม่ได้ ลอดทะลุผ่านหมอกสีเลือดของหุบเหวไปตลอดทาง ไม่นานเมื่อเบื้องหน้ากลับมาชัดเจนอีกครั้ง ลำแสงบนร่างของพวกเขาหายไป ตบะของทุกคนล้วนระเบิดออก พุ่งทะยานออกมาจากในหุบเหว ตกลงบนหน้าผาหมื่นโลหิต

ผู้อาวุโสใหญ่ของทั้งสี่ยอดเขา ยามนี้ยืนอยู่บนหน้าผาหมื่นโลหิต ชั่วขณะที่พวกลูกศิษย์ปรากฏตัว หลังจากกวาดสายตามองไป สายตาก็ไปตกลงบนร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนและจ้าวอู๋ฉางทันที

และตำแหน่งที่จ้าวอู๋ฉางยืนอยู่กลับเป็นด้านหลังของป๋ายเสี่ยวฉุน ค้อมร่างน้อยๆ อย่างเห็นได้ชัด ความนบนอบเช่นนี้ทั้งแสดงต่อผู้อาวุโสใหญ่ทั้งสี่ ขณะเดียวกันก็แสดงต่อป๋ายเสี่ยวฉุนด้วย

ภาพนี้ทำให้ดวงตาทั้งคู่ของผู้อาวุโสใหญ่ทั้งสี่พลันแน่วนิ่ง พวกเขาก็มีตบะสร้างฐานรากเช่นกัน เพียงแต่ว่าต่างก็เหยียบย่างอยู่ในขั้นสูงสุดของสร้างฐานรากแล้ว ยามนี้แค่กวาดตามองไปจึงเข้าใจถึงต้นสายปลายเหตุทันที

“เย่จั้งผู้นี้ปราบสร้างฐานรากได้อีกคน?” ผู้อาวุโสใหญ่ทั้งสี่มองกันไปมา ยิ่งสนใจในตัวป๋ายเสี่ยวฉุนมากขึ้น เมื่อหนึ่งเดือนก่อนตอนที่พวกเขาจากไปก็จับตามองป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่แล้ว เวลานี้จึงมีความประทับใจลึกซึ้งมากกว่าเดิม

หากป๋ายเสี่ยวฉุนสร้างฐานรากได้เพียงคนเดียว แม้พวกเขาจะชื่นชม แต่ก็แค่ชื่นชมอย่างเดียวเท่านั้น ทว่าตอนนี้เขากลับปราบสร้างฐานรากคนหนึ่งได้อยู่หมัด นี่หมายความว่าถึงแม้ป๋ายเสี่ยวฉุนจะมีใจเห็นแก่ตัว แต่ใช่ว่าจะตายตัวเสมอไป เมื่ออยู่ภายใต้ผลประโยชน์แล้ว ไม่ว่าอะไรก็เกิดขึ้นได้

สภาพจิตใจเช่นนี้ การกระทำเช่นนี้ ทำให้ผู้อาวุโสใหญ่ทั้งสี่สัมผัสถึงลักษณะพิเศษเฉพาะตัวของสำนักธาราโลหิตได้อย่างเข้มข้น

“ผู้พิทักษ์เย่จั้ง เจ้ากินโอสถสร้างฐานรากไปกี่เม็ด?” คนแคระของยอดเขาอู๋หมิงเฟิงถามขึ้นกะทันหัน

“สองเม็ด!” ป๋ายเสี่ยวฉุนตอบรวดเร็วโดยไม่ลังเล

“โอสถสร้างฐานรากที่เหลือ เจ้าคิดจะจัดการอย่างไร?” ชายฉกรรจ์ร่างใหญ่ ผู้อาวุโสยอดเขาเส้าเจ๋อเฟิงที่ยืนอยู่ด้านข้าง นัยน์ตายิ่งมีแววชื่นชมมากขึ้น ถามออกมาหนึ่งประโยค

“เรื่องนี้…” ใจป๋ายเสี่ยวฉุนสั่นไหวน้อยๆ หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่งก็เงยหน้าตอบด้วยความสงบ

“ข้าผู้แซ่เย่มีความฝันอย่างหนึ่ง นั่นคือได้กลายเป็นปรมาจารย์โอสถผู้ยิ่งใหญ่ โอสถสร้างฐานรากที่เหลือข้าคิดจะนำไปศึกษา ดูว่าควรจะหลอมอย่างไร สักวันหนึ่งข้าจะต้องหลอมโอสถสร้างฐานรากออกมาให้ได้ ตอนนี้ข้าสามารถหลอมยาวิเศษระดับสองได้แล้ว” ป๋ายเสี่ยวฉุนกล่าวด้วยความภาคภูมิใจ

ลูกศิษย์ทุกคนรอบด้านรู้สึกขมขื่น ส่วนผู้อาวุโสใหญ่ทั้งสี่ต่างก็อึ้งกันไปหมด คำถามที่มองดูเหมือนธรรมดาของพวกเขา ในความเป็นจริงแล้วกลับแฝงไว้ด้วยความหมายลึกล้ำมากมาย และคิดจะใช้คำตอบของป๋ายเสี่ยวฉุนมายืนยันการตัดสินใจของตัวเอง แต่ไม่ว่าอย่างไรพวกเขาก็นึกไม่ถึงว่าจะได้รับคำตอบเช่นนี้ ทว่าจากนั้นผู้อาวุโสใหญ่ทั้งสี่ก็ต้องหัวใจเต้นดังโครมครามอย่างรวดเร็ว

ผู้พิทักษ์คนหนึ่งที่สามารถหลอมยาได้ สำหรับพวกเขาแล้ว ระดับความสำคัญสามารถเทียบเคียงกับผู้อาวุโสสร้างฐานรากชีพจรดินได้เลย หรืออาจจะสำคัญมากกว่าเล็กน้อยด้วยซ้ำ เพราะยังไงซะผู้อาวุโสสร้างฐานรากวิถีดินของแต่ละยอดเขาก็มีมาทุกรุ่น ทว่าคนที่หลอมยาได้จนถึงขั้นประสบความสำเร็จอย่างชัดเจน กลับนานทีถึงจะเจอสักครั้ง

ผู้อาวุโสใหญ่ยอดเขาซือเฟิงรู้สึกเสียใจเล็กน้อยที่ก่อนหน้านี้ตัวเองปากไวเกินไป เวลาเดียวกันนั้นซ่งจวินหว่านแห่งยอดเขาจงเฟิงเองก็ใจเต้นรุนแรงเช่นกัน ตอนที่มองไปยังป๋ายเสี่ยวฉุน รอยยิ้มจึงหวานหยาดเยิ้มมากขึ้น

“ดี ศพเขียวของเย่จั้งก่อนหน้านี้ก็พิสูจน์ให้เห็นถึงความสามารถด้านวิถีโอสถของเจ้าแล้ว มาที่ยอดเขาซือเฟิงของข้าเถอะ ยอดเขาซือเฟิงมีวาสนากับเจ้า!” ผู้อาวุโสใหญ่ยอดเขาซือเฟิงรีบพูด นัยน์ตาเผยประกายร้อนแรง ก่อนหน้านี้เขาก็รู้สึกสนใจป๋ายเสี่ยวฉุนอยาแล้ว ตอนนี้เห็นว่าป๋ายเสี่ยวฉุนสร้างฐานรากสำเร็จจึงยิ่งต้องการตัวเขามากขึ้น

“เหลวไหล ตอนรวมลมปราณเย่จั้งก็สามารถต่อต้านการโจมตีจากคนมากมายได้แล้ว เห็นได้ชัดว่ามีความสามารถด้านการหลอมร่างกาย เย่จั้ง เจ้ามาที่ยอดเขาเส้าเจ๋อเฟิงของข้า ยอดเขาเส้าเจ๋อเฟิงของข้าคือเลือดปีศาจหลอมร่างกาย นับแต่นี้ไปต้องยิ่งทำให้เจ้าเดินไปบนทางของผู้แข็งแกร่งได้แน่นอน!” ชายฉกรรจ์ร่างใหญ่ของยอดเขาเส้าเจ๋อเฟิงน้ำเสียงดังกังวานราวระฆัง รับคำพูดต่อ

“อย่ามาแย่งข้า ก่อนหน้านั้นข้าก็บอกไว้แล้ว เย่จั้งผู้นี้ต้องอยู่ที่เขาอู๋หมิงเฟิงของข้า!” ขณะที่ชายแคระของยอดเขาอู๋หมิงเฟิงชิงกล่าวเสียงแหลมดัง ซ่งจวินหว่านของยอดเขาจงเฟิงรวบเส้นผมที่ถูกลมพัดเบาๆ ดวงตาสุกใสดั่งสายน้ำจ้องมองนิ่งมายังป๋ายเสี่ยวฉุน

“ศิษย์น้องเย่ มาที่เขาจงเฟิงของข้าเถอะ…”

มองเห็นว่าผู้อาวุโสใหญ่ทั้งสี่ล้วนแย่งชิงป๋ายเสี่ยวฉุน ลูกศิษย์รอบด้านยิ่งรู้สึกขมปร่า ความรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเพียงไม้ประดับทำให้พวกเขาต้องก้มหน้าถอนหายใจ

ในใจป๋ายเสี่ยวฉุนก็ปลงอนิจจังเช่นกัน เขารู้สึกว่าตัวเองยอดเยี่ยมเกินไป ไม่ว่าจะอยู่สำนักธาราเทพหรือสำนักธาราโลหิต คิดจะเจียมตัวอยู่อย่างสงบเสงี่ยมช่างเป็นเรื่องที่ยากลำบากยิ่งนัก ไม่ว่าจะเดินไปทางไหนก็มีแต่คนไล่ตามยกย่องสรรเสริญ

ท่ามกลางความกลัดกลุ้มที่น่าภาคภูมิใจนี้ นัยน์ตาป๋ายเสี่ยวฉุนฉายแววลุ่มหลง วางสีหน้าทึ่มทื่อ มองไปยังซ่งจวินหว่านด้วยท่าทางคล้ายคนคลั่งไคล้หลงใหล แม้แต่ใบหน้าก็ยังแดงก่ำ

“ข้า…ข้าเลือกยอดเขาจงเฟิงของพี่หญิงซ่ง”

——

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version