Skip to content

A Will Eternal 181

บทที่ 181 ไม่มีใครกำราบได้…

“ไม่คิดแล้ว ข้ารู้สึกว่าตอนนี้อยู่ในสำนักธาราเทพก็ดีมากอยู่แล้ว…” เนิ่นนาน ป๋ายเสี่ยวฉุนถึงได้ข่มความเสียดาย เก็บยาเอาไว้ในถุงเก็บของ ผ่อนลมหายใจยาว

เขาตัดใจไปจากสำนักธาราเทพไม่ได้นี่นา โดยเฉพาะตอนนี้ได้กลายมาเป็นสร้างฐานรากวิถีฟ้า เบื้องบนสูงสุดถึงบุรพาจารย์ เบื้องล่างต่ำสุดยันนักการ ทำให้เขารู้สึกได้ถึงความอบอุ่นของครอบครัวใหญ่

อีกอย่างที่สำคัญที่สุดคือเขายังไม่ได้ให้ลูกศิษย์ฝ่ายนอกที่เพิ่งเข้าสำนักมาใหม่ทั้งหมดรู้จักตัวเอง เขายังไม่ได้ไปเบ่งบารมีที่ชายฝั่งทิศเหนือดีๆ สักครั้ง เขารู้สึกว่าหากตัวเองจากไปทั้งอย่างนี้ ช่างขาดทุนยิ่งนัก

ดังนั้นช่วงเวลาต่อมา ทุกวันป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ลืมที่จะบำเพ็ญตบะ แต่พอบำเพ็ญตบะเสร็จสิ้น เขาก็มักจะเดินเอามือไพล่หลัง แย้มรอยยิ้มของผู้อาวุโส เดินไปทั่วชายฝั่งเหนือใต้ตลอดทั้งสำนักธาราเทพ…

โดยเฉพาะสถานที่ที่มีลูกศิษย์ฝ่ายนอกอยู่ เงาร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยิ่งปรากฎกายลึกลับจนคนอื่นคาดเดาไม่ได้…ตอนเริ่มต้นยังเรียกความฮือฮาและความกระตือรือร้นอย่างบ้าคลั่งได้จากทุกคน ทว่าไม่นานลูกศิษย์ฝ่ายนอกก็เริ่มแปลกใจ พวกเขาพบว่าแทบทุกวันจะต้องได้เห็นป๋ายเสี่ยวฉุนเกินสิบครั้ง

ราวกับว่าไม่ว่าจะกำลังทำอะไรอยู่ เพียงแค่เงยหน้าขึ้นก็จะต้องมองเห็นร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนที่กำลังยิ้มน้อยๆ อย่างชื่นชมมาให้พวกเขา ไม่นานคนเหล่านี้ก็เริ่มอึ้งงัน…หลังจากอึ้งงันก็พากันทำหน้าเหยเก

ไม่เพียงแต่ลูกศิษย์ฝ่ายนอกเท่านั้นที่เป็นเช่นนี้ แม้แต่ลูกศิษย์ฝ่ายในรวมไปถึงผู้อาวุโสก็ยังปวดหัวกันถ้วนทั่ว มองป๋ายเสี่ยวฉุนที่เดินเตร่ไปทั่วไม่เป็นอันทำการทำงาน ได้ยินเสียงเรียกอาจารย์อาป๋ายแต่ละครั้งก็ราวกับไปปลุกความทรงจำของปีนั้นขึ้นมา สุดท้ายแต่ละคนก็พากันถอนหายใจเฮือกๆ

ยังดีที่ครั้งนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนสำรวมขึ้นมาเยอะมาก หลังจากดื่มด่ำไปกับการใช้ชีวิตที่ไม่ว่าจะเดินไปทางไหนก็เป็นที่จับตามองจากคนนับไม่ถ้วนแล้ว ในที่สุดเขาก็ไม่ออกมาข้างนอกบ่อยๆ อีก แต่เลือกที่จะอยู่ในถ้ำสถิตบนเขาจ้งเต้า เพื่อ…หลอมยา

“เพื่อฝึกวิชาเนื้อคงกระพันให้สำเร็จ ข้าจำเป็นต้องใช้พลังชีวิต ข้าจำเป็นต้องหลอมยา ข้าป๋ายเสี่ยวฉุนจะหลอมยาวิเศษ…ระดับสี่!” ความฝันที่จะได้กลายเป็นปรมาจารย์โอสถผู้ยิ่งใหญ่ของป๋ายเสี่ยวฉุนช่วยประคับประคองให้เขายึดมั่นจมจ่อมอยู่กับการหลอมยา

โดยเฉพาะ…เขาจำได้ว่าหลี่ชิงโหวเคยพูดว่า เมื่อตนสร้างฐานรากแล้วก็จะสามารถทดลองมหาเวทสายฟ้าชะล้างโอสถได้ ดังนั้นช่วงเวลาต่อมา บนเขาจ้งเต้าจึงเต็มไปด้วยสายฟ้าซัดสาดไล่หลังกัน แต่ละเส้นผ่าเปรี้ยงๆๆ ต่อเนื่อง ทำให้ผู้อาวุโสสร้างฐานรากจำนวนมากที่อยู่บนเขาแห่งนี้ตื่นตกใจ

ลูกศิษย์ของยอดเขาอื่นมองเห็นสายฟ้าจำนวนนับไม่ถ้วนบนเขาจ้งเต้าก็แตกตื่น ขณะเดียวกันก็สืบข่าวไปทั่ว แล้วก็ไม่รู้ว่าเป็นคนใจกล้าคนไหนที่เล่าเรื่องซึ่งป๋ายเสี่ยวฉุนเคยทำไว้ในอดีตออกมา ยิ่งเล่าก็ยิ่งแพร่ออกไปเป็นวงกว้าง ไม่นานก็แทบไม่มีใครไม่รู้เรื่อง ทุกคนสำลักลมหายใจ สีหน้าเผยความสะท้านสะเทือน

“อาจารย์อาป๋ายกล้าทำเรื่องแบบนี้ด้วยหรือ? ข้าไม่เชื่อหรอก!”

“สวรรค์ นี่มันเรื่องจริงหรือ?”

ขณะที่ลูกศิษย์หลายคนซึ่งไม่รู้จักป๋ายเสี่ยวฉุนดีนักกำลังตะลึงและสงสัยนั้น สายฟ้าไม่เพียงแต่ไม่ลดน้อยลง กลับยิ่งเพิ่มมากขึ้น ถึงขั้นที่ว่าในช่วงเวลาเดียวกันในถ้ำของป๋ายเสี่ยวฉุนยังมีควันดำลอยพุ่งขึ้นมาด้วย ไม่นาน…ฝนกรดที่น่ากลัวในตำนานก็มาเยือนอีกครั้ง

ฝนกรดนั่นตกลงมาห่าใหญ่ พร่างพรมลงบนพื้นที่เกินครึ่งของเขาจ้งเต้า เนื่องจากครั้งนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนหลอมยาวิเศษระดับสี่ ซึ่งห่างไกลจากยาระดับสามจนไม่อาจเทียบกันได้ ทำให้เวลาที่เขาหลอมยา ฝนกรดจึงยิ่งขยายอาณาบริเวณออกไปกว้างขึ้น กระจายไปทั่วชายฝั่งเหนือใต้ ไม่นานก็ปกคลุมไปทั่วทั้งเจ็ดยอดเขา…

ฝันร้ายของชายฝั่งทิศใต้มาเยือนอีกครั้ง ขณะที่ลูกศิษย์จำนวนนับไม่ถ้วนมองตาค้างอ้าปากหวอ อาภรณ์บนร่างก็ละลายหายไปอย่างรวดเร็ว…

“ป๋ายเสี่ยวฉุนหลอมยาอีกแล้ว!!”

“นี่จะให้คนใช้ชีวิตกันได้อีกไหม!!!” ยังดีที่ชายฝั่งทิศใต้มีประสบการณ์มาก่อน พอเห็นฝนกรดก็เตรียมป้องกันทันที ดังนั้นถึงแม้จะเกิดความชุลมุนอยู่บ้าง แต่กลับควบคุมสถานการณ์เอาไว้ได้

ทว่า…ทุกคนของชายฝั่งทิศเหนือ ก่อนหน้านี้พวกเขาไม่เคยมีประสบการณ์กับเรื่องนี้มาก่อน พริบตาเดียว เสียงคำรามแหบแห้งเศร้ากำสรดจากยอดเขาทั้งสี่ของชายฝั่งทิศเหนือก็ดังออกมาเป็นระลอกอย่างต่อเนื่อง ทุกคนบ้าคลั่งกันไปหมด

“นี่มันเรื่องอะไร นี่มันเรื่องอะไรกัน!”

“สวรรค์ มีฝนกรดตกลงมาได้ยังไง ทำไมข้าถึงรู้สึกเหมือนว่าเคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน…”

ชายฝั่งทิศเหนือคลุ้มคลั่ง เสียงกรีดร้องมากมาย เสียงคำรามฟังไม่ได้ศัพท์ ผู้นำและผู้อาวุโสของทั้งสี่เขาเองก็เดือดพล่านเป็นไฟ แต่ละคนกัดฟันกรอด ตามหาตัวการของเรื่องนี้จนได้รู้ว่าผู้ที่สร้างทุกสิ่งทุกอย่างนี้ขึ้นมา ก็คือป๋ายเสี่ยวฉุน!

หากเปลี่ยนเป็นตอนที่ป๋ายเสี่ยวฉุนยังไม่สร้างฐานราก ถ้าเช่นนั้นยามนี้ลูกศิษย์ทุกคนของชายฝั่งเหนือใต้ย่อมพากันถือก้อนหินบุกเข้าไปหา ปรารถนาจะขว้างใส่ให้ป๋ายเสี่ยวฉุนถูกฝังกลบอยู่ในกองหินอย่างแน่นอน

ทว่าตอนนี้…คนเหล่านี้ต่างเจ้ามองข้า ข้ามองเจ้า โกรธเคืองเจ็บใจ…ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ใช่ป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างในอดีตอีกแล้ว ตอนนี้เขาคือสร้างฐานรากวิถีฟ้า คือลำดับผู้สืบทอดที่แน่นอน คือผู้อาวุโสสร้างฐานราก บุคคลเช่นนี้ อย่าว่าแต่ลูกศิษย์เหล่านี้เลยที่ไม่กล้าหาเรื่อง ต่อให้เป็นผู้อาวุโสคนอื่นก็ยังปวดหัว ไม่มีสิทธิ์ไปจัดการ ส่วนผู้นำเหล่านั้นต่างก็นึกพวกผู้อาวุโสไท่ซ่างที่ให้ความสำคัญกับป๋ายเสี่ยวฉุน จึงทำได้เพียงไปปรึกษากับเจ้าสำนัก

เจ้าสำนักเจิ้งหย่วนตงเองก็ทำได้เพียงยิ้มเฝื่อนๆ สำหรับลำดับผู้สืบทอดที่แน่นอนคนหนึ่งแล้ว เขาเองก็ทำอะไรไม่ได้เหมือนกัน อีกทั้งหลี่ชิงโหวก็อยู่ในช่วงปิดด่าน มิเช่นนั้นหากมีหลี่ชิงโหวออกหน้าให้ ป๋ายเสี่ยวฉุนย่อมว่านอนสอนง่ายกว่านี้แน่นอน

อีกทั้งเขาเองก็ยังถึงขั้นไปหาป๋ายเสี่ยวฉุน บอกป๋ายเสี่ยวฉุนว่าชีวิตของนักพรต บำเพ็ญตบะเป็นเพียงแค่ด้านหนึ่งเท่านั้น ยังจำเป็นต้องใช้ประสบการณ์อีกบางส่วน หากไม่เคยผ่านการขัดเกลา ต่อให้เป็นเหล็กของเซียนก็ยังยากที่จะกลายมาเป็นกระบี่เซียนที่แหลมคมได้

อยากจะให้ป๋ายเสี่ยวฉุนออกไปหาประสบการณ์ในเกาะตงหลินดูสักครั้ง ขอแค่ไม่ออกไปจากเกาะตงหลิน ระดับความอันตรายก็จะลดน้อยลง อีกทั้งยังสอดคล้องกับความต้องการในการหาประสบการณ์ด้วย

ทว่าพอป๋ายเสี่ยวฉุนได้ยินเช่นนั้นก็รีบส่ายหัวทันที เขารู้สึกว่าอยู่ในสำนักก็ดีมากอยู่แล้ว…

เขาจมจ่อมอยู่กับการศึกษาอย่างสมบูรณ์แบบ เหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นกับชายฝั่งทิศใต้ในครั้งอดีต ค่อยๆ เริ่มเปิดฉากการแสดงขึ้นมาอีกครั้ง ขณะที่คนทั่วทั้งสำนักธาราเทพใกล้จะเป็นบ้า ใกล้จะทนรับไม่ไหวเต็มที อยู่ๆ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็หยุดหลอมยากะทันหัน

เขาถอนหายใจ หลายวันมานี้ การหลอมยาวิเศษระดับสี่ของเขาล้มเหลวต่อเนื่อง ไม่ประสบความสำเร็จสักครั้ง ต่อให้ป๋ายเสี่ยวฉุนจะไม่อยากยอมแพ้แค่ไหน แต่เขาเองก็ค่อยๆ เริ่มมองออกถึงปัญหา

“เป็นเพราะความรู้ด้านวิถีโอสถของข้ามีไม่มากพอ ฝืนหลอมไปก็ไม่ทำให้สำเร็จขึ้นมาได้ คิดจะหลอมยาวิเศษระดับสี่ จำเป็นต้องให้ความรู้ด้านวิถีโอสถของข้าเพิ่มพูนขึ้นมาเสียก่อน” ป๋ายเสี่ยวฉุนเริ่มกระจ่างแจ้งขึ้นมา คิดจะไปขอความรู้จากหลี่ชิงโหว แต่กลับพบว่าหลี่ชิงโหวกำลังปิดด่านฝ่าทะลุขั้นยาอายุวัฒนะ เขาจึงทำได้แค่กลับมามือเปล่า

หยิบเอาคัมภีร์โอสถหันเหมินออกมา แต่ไม่ว่าจะอ่านอย่างไรก็ไม่เข้าใจ มีความรู้สึกคล้ายว่าเขาล้วนรู้จักอักษรเหล่านั้น แต่พอเอาพวกมันมารวมเข้าด้วยกัน เขากลับไม่เข้าใจ

“หากมองความรู้วิถีโอสถของข้าเป็นขั้นต้น ถ้าเช่นนั้นคัมภีร์โอสถหันเหมินก็เป็นขั้นสูง…ตรงกลางระหว่างนี้ยังขาดความรู้วิถีโอสถที่เชื่อมโยงกันไปท่อนหนึ่ง” ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนหน้านิ่วคิ้วขมวด ถอนหายใจเฮือกๆ ลูกศิษย์ชายฝั่งเหนือใต้ ผู้อาวุโส ผู้นำเขา และยังมีผู้อาวุโสสร้างฐานรากบนเขาจ้งเต้าต่างก็พากันคลายใจลง

ทว่าพวกเขาประเมินป๋ายเสี่ยวฉุนต่ำเกินไป…

แม้ว่าต้องพักหลอมยาวิเศษระดับสี่เอาไว้ชั่วคราว แต่ความสนใจที่ป๋ายเสี่ยวฉุนมีต่อการฝึกคาถาลมปราณม่วงทงเทียนกลับยิ่งมีมากขึ้น โดยเฉพาะหลังจากเขาค้นพบว่า มหาเวทควบคุมคนที่ตัวเองฝันเอาไว้เริ่มเห็นแรงบันดาลใจรำไรได้จากคาถาลมปราณม่วงทงเทียน รวมไปถึงแรงผลักแรงดูดของพลังแม่เหล็ก เขาก็ตื่นเต้นขึ้นมาทันที

“ข้านี่โง่จริง!”

“มหาเวทควบคุมคนไม่จำเป็นต้องควบคุมอีกฝ่ายได้ทั้งหมด ข้าสามารถใช้วิธีการอื่นมาแทนที่ได้นี่นา ยกตัวอย่างเช่น…ข้าควบคุมเสื้อผ้าของอีกฝ่าย แล้วค่อยควบคุมร่างกายของอีกฝ่าย!”

“และทุกอย่างนี้ นอกจากพลังควบคุมแล้ว แรงผลักแรงดูดของพลังแม่เหล็กก็สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้มากเช่นกัน” ป๋าเยสี่ยวฉุนยิ่งคิดยิ่งคึกคัก ดวงตาทั้งคู่เปล่งประกาย รีบเดินออกไปนอกถ้ำ

ออกมานอกถ้ำ ป๋ายเสี่ยวฉุนเห็นคนผ่านไปผ่านมาไม่น้อย แต่กลับรู้สึกไม่ดีที่จะลงมือด้วย เขาไม่รู้ว่าแรงบันดาลใจในครั้งนี้ของตัวเองจะถูกต้องหรือไม่ ดังนั้นจึงออกไปจากเขาจ้งเต้า ตอนที่เดินผ่านเขาชิงเฟิง พลันมองเห็นคนคนหนึ่งที่เขารู้จักเป็นอย่างดี

“เฉินเฟย?” ดวงตาป๋ายเสี่ยวฉุนเปล่งแสงวาบ

เวลานี้เฉินเฟยกำลังเดินอยู่บนเขาชิงซานด้วยความลำพองใจ เบื้องหลังมีชายร่างใหญ่สองคนที่นัยน์ตาเผยความอิจฉาและประจบสอพลอเดินตาม กำลังป้อยอเฉินเฟย

“ยินดีด้วยศิษย์พี่เฉิน ประลองฝ่ายในเสร็จสิ้น เลื่อนขั้นเป็นลูกศิษย์ฝ่ายในแล้ว!”

“ฮ่าๆ นับแต่นี้ไปศิษย์พี่เฉิยเฟยก็คือลูกศิษย์ฝ่ายในของเขาชิงเฟิงเราแล้ว อนาคตกว้างไกล แค่บินก็ทะยานขึ้นฟ้า!”

เฉินเฟยเชิดคาง ในใจเบิกบาน หลายปีมานี้ในที่สุดเขาก็เปลี่ยนจากฝ่ายนอกกลายมาเป็นฝ่ายใน เวลานี้กำลังเห่อเหิม ขณะที่กำลังจะเอ่ยปาก พลันได้ยินเสียงคนตะโกนเรียกชื่อตัวเอง

“คนของเขาชิงเฟิงใครเห็นข้าก็ล้วนต้องเรียกว่าศิษย์พี่เฉินด้วยความเคารพ ไอ้นี่มันคือคนไม่ดูตาม้าตาเรือที่ไหน ถึงได้กล้าเรียกชื่อข้าออกมาโดยตรง!” เฉินเฟยไม่สบอารมณ์อยู่ในใจ แค่นเสียงเย็นกวาดตามองไป รอบด้านไม่มีคน เขาจึงเงยหน้าขึ้นมองด้านบน ทันใดนั้น…ก็มองเห็นผู้ที่บินมาแต่ไกลอย่าง…ป๋ายเสี่ยวฉุน

“ป๋ายเสี่ยวฉุน!! ไม่…อาจารย์อาป๋าย!!” วินาทีที่เฉินเฟยมองเห็นชัดว่าเป็นป๋ายเสี่ยวฉุน หนังหัวของเขาก็แทบจะระเบิดออก กรีดร้องเสียงแหลม ร่างสั่นเทิ้ม ความฮึกเหิมทั้งหมดพังทลายลงมาในพริบตาเดียว ชายร่างใหญ่สองคนที่อยู่ข้างกันก็ตัวสั่นเทา สีหน้าตึงเครียดและหวาดกลัว

คนทั้งสองนี้ก็คือลูกศิษย์ที่มาซุ่มโจมตีป๋ายเสี่ยวฉุนพร้อมเฉินเฟยในวันนั้น แม้ว่าภายหลังทั้งสามคนจะถูกป๋ายเสี่ยวฉุนสั่งสอนไปแล้ว แต่เนื่องจากตำแหน่งของป๋ายเสี่ยวฉุนที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ความหวาดกลัวของพวกเขาจึงยิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ

โดยเฉพาะปีนั้นที่เฉียนต้าจินออกไปทำภารกิจภายนอกจนหลายปีก็ยังไม่ได้กลับมา พอพวกเขาแอบได้ยินว่าเฉียนต้าจินตายอยู่ข้างนอกนานแล้ว ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นฝีมือของป๋ายเสี่ยวฉุน จึงยิ่งหวาดกลัวลนลานเข้าไปใหญ่

ยังดีที่ป๋ายเสี่ยวฉุนลืมพวกเขาไปแล้ว ไม่มีปัญหาอะไรตามมามากนัก พวกเขาสามคนถึงได้ค่อยๆ วางใจลง ทว่าตอนนี้พอเห็นป๋ายเสี่ยวฉุนเป็นฝ่ายตรงเข้ามาหาก่อนเอง ทั้งสามคนก็กลัวจนตัวสั่น

“ศิษย์เฉินเฟย คารวะอาจารย์อาป๋าย อาจารย์อาป๋ายคุณความดีสูงส่งสยบฟ้าดิน อายุยืนนานนับพันนับหมื่นปีดุจเทพเทวดา ใต้หล้าไร้ศัตรู!” เฉินเฟยตัวสั่น รีบประสานมือคารวะ

ชายร่างใหญ่สองคนด้านหลังเขาก็ร้องเรียกเสียงดัง ทุ่มเทอย่างสุดความสามารถ ตะโกนดังจนคอแหบคอแห้งไปหมด

ป๋ายเสี่ยวฉุนตะลึง ได้ยินคำพูดของเฉินเฟยพลันรู้สึกว่าเจ้าเฉินเฟยผู้นี้ช่างเข้าใจพูดเสียจริง ดังนั้นจึงรีบทำหน้าเคร่งขรึม พูดเนิบนาบ

“พูดเหลวไหลอะไรกัน ข้าป๋ายเสี่ยวฉุนใช่คนที่ชอบให้คนพูดประจบสอพลอเสียที่ไหน!” ปากป๋ายเสี่ยวฉุนพูดอย่างนี้ ทว่านัยน์ตากลับเผยแววชื่นชมและให้กำลังใจ

———————————————————–

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version