บทที่ 189 การเปลี่ยนขนครั้งยิ่งใหญ่
“หลายปีข้างหน้าข้าสามารถพูดกับคนรุ่นหลังของข้าได้อย่างภาคภูมิใจว่า ข้าผู้อาวุโสป๋ายเสี่ยวฉุน ชีวิตผ่านอะไรมาโชกโชน อยู่สำนักธาราเทพเคยเลี้ยงสัตว์ อยู่สำนักธาราโลหิตเคยเลี้ยงศพ!” ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกภาคภูมิใจในตัวเองเป็นอย่างมาก รู้สึกว่าตัวเองขยันหมั่นเพียรถึงขนาดนี้ วันหน้าหากไม่ได้เป็นปรมาจารย์โอสถ หลอมยาอายุวัฒนะออกมาไม่ได้ ก็ดูไม่ค่อยยุติธรรมเท่าไหร่นัก
“แต่ข้าก็ต้องระวังหน่อย เพราะยังไงซะที่นี่ก็ไม่ใช่สำนักธาราเทพ คนที่นี่โหดเหี้ยมกันมาก หากตอนที่ข้าหลอมยาแล้วไปสร้างความเดือดร้อนให้พวกเขาเข้า เกรงว่าคงไม่ใช่แค่โยนก้อนหิน คงจะเป็นโยนอาวุธใส่เสียมากกว่า” พอป๋ายเสี่ยวฉุนคิดมาถึงตรงนี้ ในใจก็สั่นสะท้านอยู่หลายที เริ่มลังเลขึ้นมา
ผ่านไปครู่ใหญ่เขาถึงได้กัดฟัน ดวงตาฉายแววเด็ดเดี่ยว
“ข้าต้องการเป็นปรมาจารย์ชายด้านโอสถที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลกใบนี้ และยิ่งต้องอยู่เป็นอมตะ ไฉนเลยจะยอมให้สำนักจิ๊บจ๊อยอย่างสำนักธาราโลหิตมาขัดขวางให้ข้าละทิ้งการหลอมยาไปได้!”
“เข้ามาเลย บนเส้นทางแห่งวิถีโอสถของข้าป๋ายเสี่ยวฉุน ข้าไม่กลัวใครทั้งนั้น!” สีหน้าป๋ายเสี่ยวฉุนมองดูแล้วเย็นชาดุร้าย ทว่าใบหน้าแท้จริงใต้หน้ากาก เวลานี้กำลังกัดฟันกรอด ทำท่าพร้อมทุ่มหมดหน้าตัก
เขาไม่ต้องการอยู่ที่นี่นานเกินไปนัก มองดูศพร่างนั้น ในใจเขายากที่จะเกิดความสนใจใดๆ ขึ้นมา ยามนี้กำลังคิดว่าจะอาศัยยาวิเศษ ลดเวลาลง ทำภารกิจนี้ให้สำเร็จโดยเร็วจะได้ออกไปจากเขาซือเฟิงนี่ให้เร็วที่สุด
“ก็แค่ให้ศพมีขนสีขาวงอกขึ้นมาไม่ใช่หรือ ง่ายจะตายไป ขอแค่ข้าหลอมธูปหอมที่ทำให้มีขนงอกขึ้นมาได้ก็แก้ปัญหาได้แล้ว” ป๋ายเสี่ยวฉุนหยิบเอาแผ่นหยกภารกิจออกมาศึกษาอย่างละเอียด หลังจากนั้นก็หัวเราะหึหึ เงื่อนไขสำคัญของภารกิจในแผ่นหยกนี้ก็คือทำให้ศพมีขนสีขาวงอกออกมา
เพราะยังไงซะในสำนักธาราโลหิต การที่ศพมีขนสีขาวงอกออกมาได้ก็คือศพขาว นี่ถือเป็นความรู้ทั่วไป ไม่เคยมีเรื่องที่ศพธรรมดาจะมีขนสีขาวงอกออกมาได้…
ป๋ายเสี่ยวฉุนลูบคาง มองน้ำสีเลือดที่อยู่ในบ่อน้ำ แล้วก็มองศพนั้นอีกที นั่งขัดสมาธิอยู่ด้านข้าง ในสมองเริ่มใคร่ครวญถึงตำรับยา
เห็นได้ชัดว่ายากที่จะใช้ยามาแก้ปัญหาศพนี้ จำเป็นต้องใช้ธูปหอม ควันที่ลอยออกมาหลังจากถูกจุดจะหลอมรวมเข้าไปในศพ ไปกระตุ้นให้เกิดพัฒนาการเร็วขึ้น
หลายวันต่อมา ป๋ายเสี่ยวฉุนเงยหน้าขึ้นกะทันหัน ดวงตาทั้งคู่เริ่มเป็นสีแดง เขาลุกขึ้นเดินไปเดินมาอยู่ในถ้ำเก็บศพ ในสมองมีความคิดมากมายลอยขึ้นมาต่อเนื่อง หลังจากประกอบเข้าด้วยกันแล้ว บางความคิดก็ถูกเขาสลัดทิ้งไป บางความคิดก็ถูกเขาเอามาวิเคราะห์ต่อ
ทั้งยังถามเรื่องวัตถุดิบในการหลอมยาของสำนักธาราโลหิตจากเย่จั้งตัวปลอมด้วย นั่นทำให้เขาได้รู้จักวัตถุมากมายที่ไม่มีบันทึกเอาไว้ในสำนักธาราเทพ จากนั้นเขาก็ใช้คะแนนคุณความดีที่มีอยู่ไม่มากของเย่จั้งไปแลกเอามาหลายส่วน ตอนที่ไปแลกเอาพืชหญ้าซึ่งมีเฉพาะในสำนักธาราโลหิตมานั้น ป๋ายเสี่ยวฉุนพบว่าราคาของพืชหญ้าที่นี่ต่ำมาก
คล้ายว่าสำนักธาราโลหิตเองก็สนับสนุนให้ลูกศิษย์หลอมยาเช่นกัน แต่เห็นได้ชัดว่าไม่ได้ผลนัก สำหรับลูกศิษย์สำนักธาราโลหิตที่ทุกวันต้องคอยป้องกันตัวเองและแก่งแย่งกับคนอื่นแล้ว การหลอมยาสิ้นเปลืองทั้งกำลังกายและเวลา มากกว่านั้นคือสิ้นเปลืองทรัพยากร จะให้มัวไปเสียเวลากับสิ่งเหล่านี้ สู้แย่งเอามาง่ายกว่า
ผ่านไปอีกเจ็ดวัน ภายใต้การศึกษาของป๋ายเสี่ยวฉุน เขาสรุปพืชหญ้าของสำนักธาราเทพและสำนักธาราโลหิตเสร็จสรรพ ในที่สุดในสมองของเขาก็วาดเค้าโครงตำรับยาพิเศษตำรับหนึ่งออกมาได้
สรรพคุณของตำรับยานี้มีเพียงอย่างเดียว…ทำให้ขนงอก!
ความคิดของป๋ายเสี่ยวฉุนง่ายมาก ไม่สนใจว่าศพนี้จะแข็งแกร่งหรืออ่อนแอ เพราะยังไงซะเงื่อนไขของภารกิจก็แค่ให้มีขนสีขาวเท่านั้น ส่วนข้อที่ว่าเมื่อมีขนงอกออกมาแล้วศพนี้จะแข็งแกร่งหรือไม่ เรื่องนี้ไม่อยู่ในขอบเขตความคิดของป๋ายเสี่ยวฉุน
เวลาผ่านไปอีกสองวัน ในสมองของเขากำลังปรับสูตรยาให้ออกมาสมบูรณ์แบบ จนกระทั่งกลางดึกคืนนี้ ดวงตาของป๋ายเสี่ยวฉุนพลันเบิกโพลง สีแดงในดวงตามีมากขึ้น ทว่าจิตใจของเขากลับคึกคักกระปรี้ประเป่า หยิบเอาเตาหลอมยาและผลึกอัคคีที่จำเป็นสำหรับการหลอมยาของสำนักธาราโลหิตออกมา เริ่มหลอมธูปหอมระดับสามอยู่ในถ้ำแห่งนี้
ไม่นานเวลาก็ผ่านไปแล้วสองเดือน ขณะที่การหลอมศพของคนอื่นกำลังมีพัฒนาการไปอย่างเชื่องช้า ทว่าการหลอมศพของป๋ายเสี่ยวฉุนยังคงไร้ซึ่งการเปลี่ยนแปลงใด ศพนอนแน่นิ่งไม่ขยับ ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็ไม่ได้สนใจ จดจ่ออยู่กับการหลอมยาอย่างเดียวเท่านั้น
อีกทั้งระหว่างลูกศิษย์ของสำนักธาราโลหิตด้วยกันเดิมทีก็มีการสื่อสารพูดคุยกันน้อยมากอยู่แล้ว เวลาสองเดือนกว่าที่ป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่ในถ้ำเก็บศพแห่งนี้จึงไม่มีใครเคยเข้ามาด้านในสักคน เขาเองก็รู้สึกว่าเป็นแบบนี้ดีมากแล้ว เพียงแต่ว่าการหลอมธูปหอมระดับสามของเขากลับล้มเหลวหลายครั้ง ทุกครั้งที่ล้มเหลวป๋ายเสี่ยวฉุนจะต้องสรุปออกมาหนึ่งรอบ จากนั้นก็หลอมใหม่
บางครั้งมีเสียงดังสนั่นดังออกมา ยังดีที่ตอนนี้ความรู้วิถีโอสถด้านการหลอมยาวิเศษระดับสามของป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่ในขั้นชำนาญมากแล้ว แม้จะล้มเหลว ทว่าเสียงกลับไม่ดังมากนัก แล้วก็ไม่มีการเปลี่ยนแปลงมั่วซั่วอะไรเกิดขึ้นด้วย
ในที่สุดก็ผ่านไปอีกสามวัน ป๋ายเสี่ยวฉุนตบลงบนเตาหลอมด้วยความตื่นเต้น เสียงตูมดังหนึ่งครั้ง เตาหลอมเปิดออก ด้านในมีธูปหอมสีดำขนาดเท่าฝ่ามืออยู่หนึ่งก้อน เขาค่อยๆ แคะออกมา ตอนที่ถืออยู่ในมือแล้วสังเกตดู สีหน้าของเขาก็ค่อยๆ เปลี่ยนมาเป็นลังเล
ธูปก้อนนี้เป็นสีดำสนิท ไม่มีกลิ่นหอมใดๆ ลอยออกมา มองดูแล้วไม่สะดุดตา ป๋ายเสี่ยวฉุนเกาหัว จากการปรับเปลี่ยนตำรับยาไปทีละน้อย ตอนนี้ถึงแม้จะหลอมสำเร็จแล้ว ทว่าป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองหลอมธูปอะไรออกมากันแน่
“น่าจะใช้ได้แหละมั้ง…แถมข้ายังเพิ่มดอกซากศพเข้าไปเยอะมากด้วย รวมไปถึงหญ้ารากเน่า สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นพืชหญ้าที่กระตุ้นให้ซากศพมีการพัฒนาเลื่อนขั้นไปได้” ป๋ายเสี่ยวฉุนมองธูปหอมในมือ แล้วก็เหล่ตามองศพที่อยู่ในบ่อเลือดนั้นอีกที หากอยู่ในสำนักธาราเทพ เขาไม่กล้าทดลองแน่ ทว่าศพที่อยู่ตรงหน้านี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกว่าตัวเองไม่จำเป็นต้องพิจารณามากมายนัก
“ต้องใช้ได้แน่นอน!” ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจเข้าลึก ถูมือทั้งสองข้างเข้าหากัน พลังวิญญาณในร่างแผ่ซ่านตรงเข้าไปหลอมรวมในธูปหอม กลายเป็นไฟที่มองไม่เห็น เมื่อมันถูกจุดขึ้น ป๋ายเสี่ยวฉุนก็รีบโยนธูปหอมก้อนนี้ลงไปบนร่างของศพทันที มองเห็นว่าธูปหอมก้อนนี้เผาละลายอย่างรวดเร็ว หลังจากที่มันปล่อยควันเข้มข้นปกคลุมทั้งศพและบ่อน้ำแล้ว ป๋ายเสี่ยวฉุนจึงรีบวิ่งออกไปทันที
เขาไม่กล้าอยู่ที่นี่หรอก หากสูดดมเข้าไปโดยไม่ระวัง ป๋ายเสี่ยวฉุนกังวลว่าอาจเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นได้
เดินเตร่อยู่ข้างนอกตลอดทั้งวัน ป๋ายเสี่ยวฉุนใคร่ครวญว่าน่าจะพอประมาณแล้วถึงได้ฉวยโอกาสตอนฟ้ามืด กลับเข้าไปในถ้ำเก็บศพด้วยความระมัดระวัง เดินรุดหน้าไปช้าๆ จนกระทั่งแน่ใจแล้วว่าไม่มีควันเหลืออยู่ถึงได้วางใจเดินเข้าไป
กวาดสายตามองไปก็เห็นว่าควันบนบ่อน้ำหายไปหมดแล้ว บ่อน้ำที่เคยเป็นสีแดง ตอนนี้กลับจางลงเล็กน้อย ส่วนศพนั้นที่นอนอยู่กลางบ่อน้ำ ยามนี้บนร่างก็มีขนสีแดงงอกออกมา ขนสีแดงเหล่านั้นขึ้นถี่ยิบ มองดูแล้วน่าตกใจไม่น้อย ทั้งยังมีไอดุร้ายลอยกระจายออกมาจากในศพนี้ด้วย
“ขนสีแดง?” พอเข้าไปใกล้ได้ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ต้องตะลึง และวินาทีที่เขากำลังตื่นตะลึงนั่นเอง คล้ายสัมผัสได้ว่าข้างกายมีคนยืนอยู่ ศพร่างนี้พลันเบิกตาโพลง ดวงตาแดงเลือดนั้นไม่มีแววของชีวิตอยู่แม้แต่น้อย เต็มไปด้วยความเย็นเยียบ สายตานั้นตกลงบนร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนโดยตรง ไอดุร้ายตลอดร่างซัดตลบอบอวล ทำท่าคล้ายจะลุกขึ้นยืน
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกะทันหันนี้ทำเอาป๋ายเสี่ยวฉุนตกใจจนหนังหัวระเบิด ถอยหลังกรูด มือขวารีบหยิบเอาแผ่นหยกที่ใช้ควบคุมศพขึ้นมารวดเร็ว พอบีบลงไป ซากศพขนแดงตนนี้ถึงได้ค่อยๆ สงบลง
ผ่านไปครู่ใหญ่ ป๋ายเสี่ยวฉุนแน่ใจแล้วว่าไม่มีปัญหาจริงๆ ถึงได้เข้าไปใกล้อีกครั้ง มองขนสีแดงที่อยู่บนร่างของศพนั้น เขาหน้านิ่วคิ้วขมวด ถอนหายใจเฮือกๆ
“ในคำแนะนำของสวีเสี่ยวซาน มีขนขาว ขนดำ แต่ไม่เห็นบอกว่ามีขนแดงเลยนี่นา…ขนแดงหมายถึงอะไร?” ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกปวดหัวเล็กน้อย กัดฟันกรอด
“ไม่เป็นไร ต้องเป็นเพราะตำรับยาของข้ามีปัญหาบางอย่างแน่นอน แก้ไขอีกสักหน่อย ข้าต้องทำให้ขนของซากศพนี่เปลี่ยนเป็นสีขาวให้จงได้!” ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ยอมแพ้ หลังจากนั่งขัดสมาธิก็เริ่มครุ่นคิดอีกครั้ง หลายวันต่อมาสีหน้าเขายิ่งเหนื่อยล้า แต่กลับตบขาตัวเองป้าบใหญ่
“ปัญหาอยู่ที่บ่อน้ำ สีของมันจางลง สีแดงพวกนั้นเข้าไปอยู่ในซากศพจนหมด!” ป๋ายเสี่ยวฉุนยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่ามีเหตุผล ดังนั้นจึงรีบเปิดเตาหลอม หลอมยาอีกครั้ง
ครั้งนี้เขาเปลี่ยนตำรับตา ทั้งยังเพิ่มพืชหญ้าเข้าไปไม่น้อย ไม่เพียงแต่หลอมธูปหอมอย่างเดียว ยังหลอมยาออกมาหนึ่งเม็ดด้วย ผ่านไปหลายวันถึงได้หลอมสำเร็จ เขาทั้งฮึกเหิมและรอคอย โยนยาเข้าไปในบ่อเลือดก่อน
เมื่อยาเข้าไปในบ่อก็จมลงไปทันที ตามมาติดๆ ด้วยบ่อน้ำในบ่อที่เดือดพล่าน ในน้ำมีฟองปูดนูนขึ้นมาจำนวนนับไม่ถ้วน ขณะที่มันเดือดปะทุต่อเนื่อง ป๋ายเสี่ยวฉุนก็โยนธูปหอมลงไปบนร่างศพขนแดงนั่นอีก
ครั้งนี้เขาไม่ได้ออกจากถ้ำ แต่ถอยหลังไปเล็กน้อย เบิกตากว้างสังเกตอย่างละเอียด ไม่นานควันก็ขโมงไปรอบบ่อน้ำ มีเสียงคำรามอุดอู้ดังออกมาจากกลุ่มควันช้าๆ ป๋ายเสี่ยวฉุนได้ยินเข้าก็ใจหายวาบ เสียงคำรามนี้ไม่เหมือนเสียงของคน ฟังเหมือนวิญญาณพยาบาทเสียมากกว่า ทั้งเสียงยังสามารถทะลุทะลวงเข้าไปในจิตใจ แทรกซึมไปยันจิตวิญญาณ
หลายชั่วยามต่อมา ขณะที่ควันค่อยๆ บางเบาลง ป๋ายเสี่ยวฉุนก็จ้องศพตาไม่กะพริบด้วยความตึงเครียด
“เปลี่ยนเป็นสีขาว! เปลี่ยน เปลี่ยน เปลี่ยนให้ข้าเดี๋ยวนี้!”
และขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนตะโกนร้องยุยงอยู่นั้น ควันก็หายไปหมด เขารีบวิ่งเข้าไปใกล้ ทว่าพอมองเห็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้ากลับยืนเซ่อทันที
“ขนม่วง?”
ขนตลอดร่างซากศพที่อยู่ในบ่อน้ำเปลี่ยนไปจริง ไม่ได้เป็นสีแดงอีกแล้ว แต่เปลี่ยนมาเป็นสีม่วง ไอดุร้ายบนร่างยิ่งเข้มข้น น้ำในบ่อหายไปเกินครึ่ง ยามนี้ขอบบ่อสี่ด้านกำลังมีน้ำสีเลือดพุ่งเข้ามาใหม่
แต่ที่น่าตกใจยิ่งกว่านั้นคือขนสีม่วงที่อยู่บนซากศพกลับยาวถึงสามชุ่นกว่า ยาวกว่าขนสีแดงก่อนหน้านี้หลายเท่าตัว อีกทั้งมือทั้งสองข้างของซากศพยังมีเล็บงอกยาวขึ้นมาด้วย…
“นี่มันอะไรกัน?” ป๋ายเสี่ยวฉุนเบิกตากว้าง รู้สึกเหมือนว่าศพของตัวเองเกิดการเปลี่ยนแปลงจนกลายมามีลักษณะร้ายกาจอย่างมาก แต่ไม่แน่ใจนัก ดังนั้นจึงถามเย่จั้งตัวปลอม ทว่าเย่จั้งตัวปลอมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน เขาไม่เคยเห็นซากศพแบบนี้มาก่อน
ป๋ายเสี่ยวฉุนลังเลเล็กน้อย ใจคิดจะไปถามสวีเสี่ยวซานให้รู้เรื่อง แต่พอนึกขึ้นได้ว่าก่อนหน้านี้เวลาตัวเองหลอมยามักจะมียาประหลาดเกิดขึ้นเป็นประจำ หน้าจึงเปลี่ยนสี
“ธูปหอมก็คงไม่ใช่ธูปหอมประหลาดเหมือนกันหรอกนะ?” นึกถึงตอนที่สัตว์เล็กสัตว์น้อยแปลกประหลาดวิ่งพล่านไปทั่วสำนักธาราเทพ ใจป๋ายเสี่ยวฉุนก็สั่นเยือก
“ต้องเปลี่ยนเป็นขนสีขาวได้แน่นอน!” เขาสูดลมหายใจเข้าลึก กัดฟันหลอมยาอีกครั้ง
ไม่นาน จากการที่ป๋ายเสี่ยวฉุนหลอมธูปหอมครั้งแล้วครั้งเล่า ขนของศพร่างนี้ก็เปลี่ยนจากสีม่วงมาเป็นสีชมพู แล้วก็เปลี่ยนจากสีชมพูมาเป็นสีส้ม สุดท้ายเปลี่ยนมาเป็นสีฟ้า ทว่าจะยังไงก็ไม่เป็นสีขาว จากการที่ขนเหล่านั้นเปลี่ยนแปลงไป ความยาวของมันก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน สุดท้ายตอนที่กลายมาเป็นสีฟ้า ขนนั้นก็ยาวพอหนึ่งฉื่อกว่า…
เวลาเดียวกันนี้ ไอดุร้ายที่อยู่บนร่างของศพก็ยิ่งเข้มข้นมากขึ้นเรื่อยๆ เล็บไม่เพียงแต่ยิ่งคมกริบ แม้แต่เขี้ยวสองข้างที่โผล่ออกมาก็แหลมเปี๊ยบ ทั้งผิวหนังตลอดร่างยังเปลี่ยนไปตามสีของขนด้วย ส่วนน้ำเลือดพิเศษที่อยู่ในบ่อน้ำหลังจากถูกสูบจนแห้งเหือดแล้วก็ถูกเติมเข้าใหม่เองครั้งแล้วครั้งเล่า
เวลาครึ่งปี ศพร่างนี้ก็เปลี่ยนสภาพไปอย่างสิ้นเชิง…ป๋ายเสี่ยวฉุนยืนอยู่ข้างบ่อน้ำ เหม่อมองซากศพด้วยความอึ้งงัน ผ่านไปครู่ใหญ่สีหน้าเขาก็บูดเบี้ยว ตลอดร่างราวกับคนบ้าที่คลุ้มคลั่งขึ้นมา
“ข้าไม่เชื่อหรอก!
—————