Skip to content

A Will Eternal 311


บทที่ 311 รอยแผลเป็น…เส้นนั้น!!

เวลานี้พระจันทร์ลอยสูงเด่น แสงจันทร์สาดส่องไปทั่วพื้นดิน ทำให้บนพื้นถูกปกคลุมไปด้วยแสงจันทร์ที่ราวกับลูกคลื่นหนึ่งชั้น ท่ามกลางความสงบเรียบเย็นแฝงไว้ด้วยความอ่อนโยน ก่อเกิดเป็นท่วงทำนองที่แตกต่าง

ภายใต้แสงจันทร์ หน้าที่พักวิเศษ เงาร่างของเซวี่ยเหมยมองดูแล้วโปร่งบางผอมสูงอย่างมาก แม้ว่าอาภรณ์จะหนาใหญ่ ทว่ายังพอมองเห็นส่วนเว้าส่วนโค้งได้รำไร งดงามอ่อนช้อยอย่างมาก

โดยเฉพาะเสียงของนางที่แฝงไว้ด้วยความนุ่มนวล ขณะเดียวกันก็แหบพร่าน้อยๆ ทำเอาป๋ายเสี่ยวฉุนที่ได้ยินรู้สึกคันยิบๆ ในหัวใจ…

เห็นว่าเซวี่ยเหมยยอมออกมาพบตัวเอง ไม่ได้เหมือนคราวก่อนที่ปล่อยให้เขารออยู่นอกถ้ำ ไม่ว่าป๋ายเสี่ยวฉุนจะเอ่ยปากอย่างไรก็ไม่ยอมออกมาพบหน้า นี่จึงทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนยิ้มได้

“คราวก่อนตอนอยู่หน้าถ้ำ เจ้าไม่ยอมออกมาพบข้า คราวนี้เจ้าหนีไม่พ้นแล้วสินะ”

น้ำเสียงที่สนิทสนมเป็นกันเองกับตนมากเช่นนี้ ทำให้เซวี่ยเหมยมองป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยสายตาลึกล้ำหนึ่งครั้ง นัยน์ตาเผยประกายแปลกประหลาด แม้ว่านางจะสวมหน้ากาก มองไม่เห็นใบหน้าที่แท้จริง ทว่าความรู้สึกที่มอบให้คนมองเวลานี้กลับยิ่งดูเปราะบาง เอ่ยปากด้วยเสียงแผ่วเบา

“ขอบคุณบุตรโลหิตที่ช่วยชีวิต ครั้งก่อนนอกถ้ำ เนื่องด้วยเซวี่ยเหมยได้รับบาดเจ็บ ทั้งยังสูญเสียสิทธิ์ในการเป็นบุตรโลหิตไป ในใจสับสน ไม่อยากพบเจ้า โปรดอภัยด้วย” เซวี่ยเหมยพูดจบก็ประสานมือก้มลงคารวะป๋ายเสี่ยวฉุนหนึ่งครั้ง การก้มคารวะของนางครั้งนี้เผยให้เห็นรอยแผลเป็นหนึ่งเส้นที่คล้ายจะดำรงอยู่มาชั่วระยะเวลาหนึ่ง และก็เผยให้เห็นความโค้งกลมมนตรงสะโพกที่อยู่ใต้อาภรณ์ท่ามกลางแสงจันทร์ จนป๋ายเสี่ยวฉุนต้องเหลือบตามองอย่างอดไม่ได้

“ตู้ตู้น้อย เจ้าจะเกรงใจข้าแบบนี้ทำไม มาเถอะ ถอดหน้ากากออก ข้าไม่ได้เห็นหน้าเจ้ามานานเหลือเกินแล้ว” ป๋ายเสี่ยวฉุนไอแห้งๆ หนึ่งครั้ง ในใจมีความสุข รีบเดินขึ้นหน้าข้ามค่ายกลอย่างไม่สนใจสิ่งใด ตรงเข้ามาหยุดอยู่ข้างประตูใหญ่ของที่พักวิเศษทันที

เซวี่ยเหมยตะลึง คล้ายนึกไม่ถึงว่าป๋ายเสี่ยวฉุนจะพูดจาเช่นนี้ ทั้งยังคาดไม่ถึงว่าเขาจะพุ่งดิ่งเข้ามาหาตน จึงก้าวถอยหลังโดยไม่รู้ตัว

“ขอบุตรโลหิตโปรดสำรวมตน แม้ว่าเจ้าจะมีบุญคุณเคยช่วยชีวิตข้า ทว่าก็ไม่ควรหยามเกียรติข้า ข้าคือเซวี่ยเหมย ไม่ใช่ตู้ตู้น้อยอะไรนั่น” ขณะที่เซวี่ยเหมยก้าวถอยหลัง สภาพร่างกายที่อ่อนแอก็ยิ่งแสดงออกให้เห็นเด่นชัด ฝีเท้าของนางโซซัดโซเซ ดวงตาทั้งคู่แฝงไว้ด้วยความโกรธน้อยๆ

“อย่าดื้อน่า!” ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่สบอารมณ์เสียแล้ว ถลาพรวดออกไป ตบะพลันแผ่ออก เดิมทีเขาก็เร็วมากอยู่แล้ว เวลานี้หลังจากที่ตบะแผ่ออก เพียงก้าวเดียวจึงลอดทะลุผ่านระยะห่างระหว่างตนกับเซวี่ยเหมย มาปรากฏอยู่ด้านหน้าเซวี่ยเหมยโดยตรง

หากเปลี่ยนเป็นเวลาอื่น ด้วยตบะของเซวี่ยเหมย ไม่ว่าอย่างไรนางก็ต้องขัดขวางบ้าง ทว่าตอนนี้นางบาดเจ็บสาหัสยังไม่หายดี ใช่คู่ต่อสู้ของป๋ายเสี่ยวฉุนเสียเมื่อไหร่ เพียงแค่พริบตาเดียว มือขวาของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยกขึ้นมาสัมผัสกับหน้ากากของเซวี่ยเหมย แล้ว…ถอดออกทันที!

เส้นผมสีดำที่เมื่อหน้ากากถูกถอดออกก็สะบัดพลิ้วดุจน้ำตก เผยให้เห็นดวงหน้างดงามที่ซีดขาว ให้ความรู้สึกน่าสงสาร แม้จะแฝงไว้ด้วยความโกรธ ทว่าเพราะดวงหน้านี้บอบบางเกินไป ทำให้ความโกรธถูกหลอมละลายจนเจือจาง มองดูแล้วคล้ายขัดเขินเสียมากกว่า

แม้จะไม่ได้งดงามจนทำให้คนมองใจหายใจคว่ำ แต่ก็ถือว่างามล้ำไม่เป็นรองใคร เมื่อเทียบกับซ่งจวินหว่านแล้ว ก็เรียกได้ว่าสูสีจนกินกันไม่ลง!

เพียงแต่ว่า…ใบหน้านี้ ไม่ใช่ตู้หลิงเฟย!

“เย่จั้ง เจ้าทำเกินไปแล้ว!!” เซวี่ยเหมยพลันถอยกรูด สีหน้ายิ่งซีดขาว เส้นผมยุ่งเหยิง สั่นเทิ้มไปทั้งร่าง ชี้หน้าป๋ายเสี่ยวฉุน นัยน์ตาเผยประกายเย็นเยียบ เพียงแต่ว่าใบหน้านั้นเนื่องจากอ่อนแอบอบบางมาตั้งแต่กำเนิด จึงทำให้ประกายเย็นชามองดูเหมือนความเคอะเขินมากกว่า

หลังจากป๋ายเสี่ยวฉุนเห็นใบหน้าของเซวี่ยเหมย หน้าก็พลันเปลี่ยนสี ปราณดุร้ายบนร่างระเบิดตูมตาม ดวงตาทั้งคู่เต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอยทันที

“เจ้าไม่ใช่ตู้ตู้น้อย เจ้าเป็นใคร!!” ไอสังหารเปล่งวาบทั่วร่างป๋ายเสี่ยวฉุน บัดนี้สมองเกิดเสียงดังอึงอล ลมหายใจถี่กระชั้น

เซวี่ยเหมยสีหน้ามืดทะมึน ยิ่งโกรธเกรี้ยวมากกว่าเดิม รู้สึกว่าป๋ายเสี่ยวฉุนช่างประหลาดคนยิ่งนัก ที่ครั้งนี้นางยินดีออกมาพบหน้าอีกฝ่ายก็เพราะบุญคุณที่เขาเคยช่วยชีวิต ทว่าคนผู้นี้กลับบังอาจถอดหน้ากากของตนออก แถมยังพูดจาฟั่นเฟือน เวลานี้นางจึงถอยออกไปอีกหลายก้าว บนหน้าเผยความดุดัน

“เย่จั้ง เจ้าเป็นบ้าไปแล้วหรือไร ข้าจะพูดอีกครั้งว่าข้าไม่ใช่ตู้ตู้น้อยอะไรนั่น ข้าคือเซวี่ยเหมย!”

“เจ้าไม่ใช่เซวี่ยเหมย!!” ในใจป๋ายเสี่ยวฉุนว้าวุ่นอย่างมาก เวลานี้ตลอดทั้งร่างของเขาคล้ายคนบ้าอยู่หลายส่วน เขาจ้องเขม็งไปที่ใบหน้าของเซวี่ยเหมย สมองมีภาพของอีกใบหน้าหนึ่งที่เผยออกมาหลังจากที่ตนดึงหน้ากากของเซวี่ยเหมยออกตอนอยู่ในร่างบรรพบุรุษเลือด!

“ทำไมข้าจะไม่ใช่เซวี่ยเหมย เจ้าหมายความว่ายังไง!” เซวี่ยเหมยลมหายใจถี่กระชั้น ถอยหลังไปอีกหลายก้าว ป๋ายเสี่ยวฉุนในเวลานี้ทำให้นางรู้สึกถึงอันตรายอย่างมาก ราวกับว่าเขาคือสายฟ้าที่สามารถระเบิดออกได้ทุกเวลา

“เจ้าเป็นใครกันแน่ เหตุใดต้องปลอมตัวเป็นเซวี่ยเหมย เซวี่ยเหมยอยู่ที่ไหน!!” ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนคำรามกร้าวจึงมองเห็นว่าเซวี่ยเหมยถอยกรูดอย่างรวดเร็ว เขาร้อนใจขึ้นมาทันที เหตุการณ์ในวันนี้หากเขาไม่สะสางให้เข้าใจอย่างแน่ชัด เขาไม่มีทางยอมรับได้เด็ดขาด เวลานี้จึงสะบัดร่างกระโจนเข้าหาเซวี่ยเหมย ขณะที่เซวี่ยเหมยหน้าเปลี่ยนสี มือขวาของเขาก็ยกขึ้นหมายคว้าจับแขนของนาง

ทว่าเวลานี้เอง ทันใดนั้นเสียงกระแอมหนึ่งเสียงพลันดังออกมาจากในห้องด้านหลังที่พักวิเศษ เพียงแค่เสียงกระแอมก็ดังราวฟ้าผ่าที่มาระเบิดอยู่ข้างหูของป๋ายเสี่ยวฉุน

เสียงตูมดังหนึ่งครั้ง ป๋ายเสี่ยวฉุนตัวสั่นสะท้าน มือที่เอื้อมมาคว้าเซวี่ยเหมยหยุดชะงัก เซวี่ยเหมยรีบเบี่ยงตัวหลบ เมื่อมือทั้งคู่ทำมุทรา เบื้องหน้าของนางจึงปรากฏตรามายารูปดอกเหมยหนึ่งดอกที่ปล่อยไอสังหารเย็นเยียบออกมา ตอนนี้นางรู้สึกโกรธเคืองป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างถึงที่สุดแล้ว

ป๋ายเสี่ยวฉุนสะบัดหัวแรงๆ หนึ่งครั้ง ข้างหูยังคงมีเสียงดังอื้ออึง สีหน้าซีดขาว ฝีเท้าก็หยุดชะงักลงไปด้วย เมื่อเงยหน้าขึ้นจึงมองเห็นว่าด้านหลังเซวี่ยเหมย บัดนี้มีเงาร่างของชายวัยกลางคนผู้หนึ่งเดินออกมาจากในถ้ำ

ชายวัยกลางคนผู้นี้สายตาคมกริบ ตลอดร่างราวกับกระบี่แหลมคมที่พร้อมถูกดึงออกจากฝักทุกเมื่อ ตอนที่เดินออกมาก็ยิ่งมีพลานุภาพสยบน่าตะลึงแผ่ออกมาจากร่างของเขา ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนมิอาจเดินออกไปได้อีกแม้แต่ครึ่งก้าว

“บุรพาจารย์อู๋จี๋จื่อ!” ดวงตาทั้งคู่ของป๋ายเสี่ยวฉุนหดลง เอ่ยปากเนิบช้า หากเปลี่ยนเป็นเวลาอื่น เผชิญหน้ากับพลานุภาพสยบของบุรพาจารย์ก่อกำเนิดคนหนึ่ง เขาต้องกลัวจนตัวสั่นแน่นอน ทว่าตอนนี้กลับไม่ยี่หระแม้แต่นิด

อู๋จี๋จื่อสีหน้าเคร่งขรึม เดินเข้ามาใกล้ทีละก้าว ตบไหล่เซวี่ยเหมย เซวี่ยเหมยรู้สึกไม่ยินยอมเล็กน้อย แต่กลับไม่กล้าเผยไอสังหารออกมาต่อหน้าบิดาของตัวเองอีก

“ท่านพ่อ” เซวี่ยเหมยสูดลมหายใจเข้าลึก ข่มเลือดลมที่พลุ่งพล่านลง ดอกเหมยสีเลือดที่อยู่ด้านหน้าจึงค่อยๆ สลายหายไป

“บุรพาจารย์อู๋จี๋จื่อ ลูกสาวท่านล่ะ! นางไม่ใช่เซวี่ยเหมย!” ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจเข้าลึก เงยหน้าจ้องดวงตาทั้งคู่ของอู๋จี๋จื่อเขม็ง ต่อให้พลานุภาพสยบของอีกฝ่ายจะเป็นดั่งคลื่นพิโรธ ทว่าเขาก็ไม่คิดยอมถอย

อู๋จี๋จื่อมองป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยสายตาเย็นชา ไม่ได้พูดอะไร ยิ่งเขาไม่พูด พลานุภาพที่มาจากร่างของเขาก็ยิ่งดุเดือด ร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนค่อยๆ สั่นเทิ้ม เมื่อคำรามเสียงดังหนึ่งครั้ง บนร่างของเขาก็พลันปรากฏปราณเลือดเข้มข้นมากมายหลายระลอก ปราณเลือดนี้เป็นของบรรพบุรุษโลหิต หลังจากที่หลอมรวมเข้ากับร่างของเขาแล้ว ทำให้พลังอำนาจของป๋ายเสี่ยวฉุนเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนเกือบจะเทียบเคียงกับอู๋จี๋จื่อได้ในบางระดับด้วยซ้ำ!

ภาพนี้ทำให้เซวี่ยเหมยใจสั่น นางมองป๋ายเสี่ยวฉุน แล้วก็มองบิดาของตัวเอง เห็นได้ชัดว่าดวงตาของอู๋จี๋จื่อบิดานางเผยประกายแสงแปลกประหลาด นางรู้จักบิดาของตัวเองดียิ่ง นางรู้ว่าเมื่อใดที่ดวงตาทั้งคู่ของบิดาเผยประกายแสงเช่นนี้ หมายความว่าเขาใส่ใจบุคคลที่เขามองด้วยสายตาเช่นนี้อย่างยิ่งยวด

“ข้าผู้อาวุโสมีลูกสาวแค่คนเดียว ก็คือนาง!” อู๋จี๋จื่อสะบัดปลายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง พลังอำนาจบนร่างหายวับไปทันใด เอ่ยปากเนิบช้า

ได้ยินคำพูดของอู๋จี๋จื่อ ป๋ายเสี่ยวฉุนหน้าซีดเผือด ทว่ายังคงไม่ยอมแพ้ เอ่ยต่ออีกหนึ่งประโยค

“ใบหน้าของเซวี่ยเหมยที่ข้าเห็นในห้องหัวใจ ไม่ใช่นาง!”

“เจ้ามองหน้าข้าและหน้าลูกสาวข้าให้ละเอียดสิ” อู๋จี๋จื่อพูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง ในน้ำเสียงแฝงไว้ด้วยความหมายที่ไม่ยอมให้เกิดข้อกังขา ดังราวกับเสียงอสนีบาตที่ฟาดผ่าผ่านสมองของป๋ายเสี่ยวฉุน

ป๋ายเสี่ยวฉุนจิตใจสั่นสะท้าน หลังจากสูดลมหายใจเข้าลึกเขาก็มองใบหน้าของเซวี่ยเหมยอย่างละเอียด แล้วก็มองมาทางอู๋จี๋จื่ออีกครั้ง แล้วใบหน้าของเขาก็ยิ่งซีดขาว ร่างเซถอยไปหลายก้าวโดยไม่รู้ตัว ดวงตาเผยความเลื่อนลอย

ความเหมือนบนใบหน้าของอู๋จี๋จื่อและเซวี่ยเหมย หากเป็นคนธรรมดาอาจมองไม่ค่อยออกนัก ทว่าในฐานะที่เป็นนักพรตผู้ฝึกบำเพ็ญตบะ สายตาจึงเฉียบคม มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าสองคนนี้คือพ่อลูกกัน!

ท่ามกลางความเลื่อนลอยของป๋ายเสี่ยวฉุน ในสมองเขามีภาพใบหน้าของตู้หลิงเฟยลอยขึ้นมา เขาเอามาเปรียบเทียบกับอู๋จี๋จื่ออีกครั้ง เวลานี้จึงแน่ใจอย่างยิ่งว่าคนทั้งสองไม่มีจุดใดที่คล้ายคลึงกัน

“แล้ววันนั้นที่ข้าเห็นในห้องหัวใจ…คือใคร?” ป๋ายเสี่ยวฉุนคล้ายถูกโจมตีอย่างรุนแรง โซซัดโซเซถอยหลังไปอีกสองก้าว ความสับสนในดวงตายิ่งมีมาก เขามิอาจเชื่อทุกอย่างที่เผชิญอยู่ได้ ถึงขั้นที่ว่านาทีนี้ในความทรงจำของเขาก็ยังเกิดความสับสนยุ่งเหยิง เขาพลันค้นพบว่า ตัวเองแยกไม่ออกแล้วว่าอันคือไหนเรื่องจริงเรื่องไม่จริง…

หากเซวี่ยเหมยก็คือหญิงสาวที่เห็นอยู่เบื้องหน้า ถ้าเช่นนั้น…ที่ตนเห็นในห้องหัวใจวันนั้น…ทำไมถึงเป็นตู้หลิงเฟยไปได้ แล้วตู้หลิงเฟย…คือใครกันแน่!

ท่ามกลางความขมขื่น ป๋ายเสี่ยวฉุนย้อนนึกถึงภาพเหตุการณ์ต่างๆ ในการประลองบุตรโลหิต ไม่นานร่างของเขาก็พลันสั่นเยือก ดวงตาทั้งคู่เบิกกว้าง เขานึกถึงบนทะเลทรายสีเลือดที่มีเวลาเพียงแค่เจ็ดชั่วยาม หลังจากที่ถูกนำส่งออกไปในช่วงสุดท้าย เขาสังเกตเห็นว่าตอนนั้นบนหลังมือของเซวี่ยเหมยมีรอยแผลอยู่หนึ่งเส้น ใต้หน้ากากมีเลือดไหลริน คล้ายได้รับบาดเจ็บ!

ทว่าหลังจากปรากฏตัวอยู่บนเส้นทางดึกดำบรรพ์ เมื่อเขามองเห็นเซวี่ยเหมยอีกครั้ง รอยแผลบนหลังมือของอีกฝ่ายกลับหายไปแล้ว เลือดสดใต้หน้ากากก็หายไป บาดแผลตลอดร่างไม่หลงเหลืออยู่!

เวลานั้นป๋ายเสี่ยวฉุนนึกไปว่าอีกฝ่ายมิวิธีการพิเศษรักษาอาการบาดเจ็บ จึงไม่ได้ใส่ใจมากนัก ทว่าตอนนี้มาย้อนนึกดูจึงตระหนักได้ว่า…จุดนี้…ผิดปกติ!!

จิตใจของป๋ายเสี่ยวฉุนยิ่งสั่นคลอนอย่างรุนแรง เมื่อเงยหน้าขึ้นจึงไปมองยังหลังมือของเซวี่ยเหมยทันที การมองครั้งนี้ทำให้เขาตัวสั่นเทิ้ม เขามองเห็นว่าบนนั้นมีรอยแผลเป็นหนึ่งเส้นที่ยังไม่จางหายไป!!

รอยแผลเส้นนี้ทำให้ใจของป๋ายเสี่ยวฉุนเกิดคลื่นยักษ์ถาโถม!

และเวลานี้ อู๋จี๋จื่อก็เอ่ยปากเนิบช้าด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

“ดูท่า เจ้าคงได้เจอกับคนลึกลับผู้นั้น…”

ACAC

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version