Skip to content

A Will Eternal 312

บทที่ 312 เรื่องนี้ ศิษย์พร้อมแบกรับโดยไม่ลังเล!

ป๋ายเสี่ยวฉุนเข้าใจ รอยแผลเป็นเส้นนั้นได้อธิบายทุกอย่างแล้ว ที่ตนเห็นตอนอยู่ในเส้นทางการประลองบุตรโลหิต…แท้จริงแล้วไม่ใช่เซวี่ยเหมย

“วันนั้นหลังจากที่เหมยเอ๋อร์เข้าไปในเส้นทางก็หมดสติ รอจนฟื้นขึ้นมาก็ถูกส่งออกมาด้านนอกแล้ว และก็เป็นเวลาเดียวกับที่เจ้ากลายเป็นบุตรโลหิต” อู๋จี๋จื่อเอ่ยปากเนิบช้า สีหน้าแฝงไว้ด้วยความเคร่งเครียด

“นางพบว่าตัวเองไม่หลงเหลือความทรงจำใดๆ เกี่ยวกับเส้นทางดึกดำบรรพ์ ในใจเคว้งคว้าง ทั้งยังมากด้วยความหวาดกลัว ถึงได้รีบมาหาข้าผู้อาวุโสเพื่อเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง ตอนที่ข้าผู้อาวุโสได้ยินก็ตกใจมากเช่นกัน จึงทำการตรวจสอบเต็มกำลังทันที ทว่าสืบหาทุกด้านแล้วก็ยังไม่ได้รับผลพวงใดๆ กลับมา ในเมื่อเจ้ารู้จักคนผู้นั้น ก็จงบอกข้าผู้อาวุโสมาว่าคนผู้นั้นคือใคร!”

ป๋ายเสี่ยวฉุนอ้าปากหมายจะพูดอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายกลับไม่ได้เอ่ยชื่อตู้หลิงเฟยออกมา เขาพลันพบว่าตัวเอง…ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตู้หลิงเฟยคือใคร หรือแม้แต่ชื่อตู้หลิงเฟยนี้ เขาก็ยังไม่รู้ว่าเป็นชื่อจริงหรือปลอม…

ทุกอย่างเกี่ยวกับตู้หลิงเฟยคล้ายปริศนาชิ้นใหญ่ยักษ์ ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนได้แต่เงียบงัน และเบาะแสที่เกี่ยวกับตู้หลิงเฟย บัดนี้ก็ได้…หายไปอีกครั้งแล้ว

ผ่านไปครู่ใหญ่ ป๋ายเสี่ยวฉุนส่ายหัว ค้อมตัวคารวะอู๋จี๋จื่อและเซวี่ยเหมยหนึ่งครั้ง หมุนกายจากไปอย่างเงียบเชียบ เซวี่ยเหมยถอนหายใจเบาๆ นางดูออกว่าป๋ายเสี่ยวฉุนกับคนที่เปลี่ยนตัวกับตนในเส้นทางนั้นมีความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดาต่อกัน แล้วก็มองออกถึงความเสียใจของป๋ายเสี่ยวฉุน

อู๋จี๋จื่อจ้องนิ่งไปยังแผ่นหลังของป๋ายเสี่ยวฉุน ไม่ได้ขัดขวาง ตอนนี้ฐานะของป๋ายเสี่ยวฉุนพิเศษอย่างถึงที่สุด หากเขาไม่ยินดีจะพูด ต่อให้เป็นอู๋จี๋จื่อเองก็ยังมิอาจบีบบังคับได้

เดินอยู่บนถนน ป๋ายเสี่ยวฉุนเลือกที่พักวิเศษแห่งหนึ่งอย่างไม่คิดมาก มองพระจันทร์ที่อยู่บนท้องฟ้า ในสมองของเขาย้อนคิดถึงภาพเหตุการณ์ตั้งแต่ที่ได้รู้จักกับตู้หลิงเฟยมาจนถึงตอนนี้ สุดท้ายจึงแน่ใจว่าคำพูดของอู๋จี๋จื่อพ่อลูกเป็นความจริง เนิ่นนานป๋ายเสี่ยวฉุนจึงถอนหายใจเบาๆ หนึ่งครั้ง

“ตู้หลิงเฟย เจ้าเป็นใครกันแน่…”

เวลาผันผ่าน หนึ่งเดือนผ่านไปอย่างรวดเร็ว ในหนึ่งเดือนนี้ เทพโลหิตสองสำนัก รวมไปถึงสำนักธาราทมิฬและสำนักธาราโอสถต่างก็เริ่มผสานรวมเข้าด้วยกันอย่างเชื่องช้า ใช้เมืองคูน้ำของสำนักธาราทมิฬเป็นที่ตั้งสำนักชั่วคราว ขณะเดียวกันในหนึ่งเดือนมานี้ เนื่องด้วยการประสานงานกัน นักพรตสำนักธาราเทพและสำนักธาราโลหิตจึงมีลูกศิษย์ไม่น้อยที่กลายมาเป็นเพื่อนกัน

แม้ว่าจะยังไม่ปรองดองกันอย่างสมบูรณ์แบบ แม้จะยังมีความขัดแย้งเกิดขึ้นไม่น้อย หรือบางครั้งยังถึงขั้นประลองคาถากัน ทว่าเมื่อมองจากภาพรวมแล้ว กลับดียิ่งกว่าตอนที่ฝืนรวมตัวกันก่อนหน้านี้มากมายนัก

คล้ายว่าทุกคนต่างก็กำลังหักห้ามตัวเอง เพราะยังไงซะ…สงครามยังไม่สิ้นสุด ต่อให้แม่น้ำตอนล่างจะไม่มีคู่ต่อสู้อีกแล้ว ทว่าเป้าหมายของทุกคนล้วนอยู่ที่แม่น้ำตอนกลาง!

มีเพียงได้กลายเป็นสำนักของแม่น้ำตอนกลาง ศึกครั้งนี้…ถึงจะเรียกได้ว่าสิ้นสุดลงอย่างแท้จริง!

มีเป้าหมายเช่นนี้อยู่ ระหว่างเทพโลหิตสองสำนักจึงเหมือนมีกาวประสานที่แน่นเหนียว ไม่ว่าจะเป็นบุรพาจารย์หรือนักพรตยาอายุวัฒนะ ต่างก็เข้าใจดีว่ารวมกันได้ประโยชน์ แยกกันดับพินาศ!

ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ทั้งยังมีการดำรงอยู่ของป๋ายเสี่ยวฉุน ทำให้ทั้งสองสำนักต่างก้าวย่างเข้าสู่ความผสมกลมเกลียวอันสมบูรณ์แบบอย่างต่อเนื่อง

ส่วนพวกบุรพาจารย์ชื่อหุนของสำนักธาราทมิฬก็ได้ทำข้อตกลงร่วมกับเทพโลหิตว่าจะให้ความร่วมมืออย่างเต็มกำลัง เพียงแค่หวังว่าในวันหน้าสำนักจะยังคงรักษาเส้นสายของธาราทมิฬเอาไว้

ครั้งนี้ก็ถือว่าสำนักธาราทมิฬซื่อสัตย์จริงใจอย่างแท้จริง เพราะยังไงซะพวกเขาก็รบแพ้แล้ว ตอนนี้หากสำนักใหม่ที่เกิดขึ้นจากการรวมตัวกันของเทพโลหิตสามารถเข้าไปอยู่ในแม่น้ำตอนกลางได้ ถ้าเช่นนั้นสำนักธาราทมิฬที่เข้ามารวมตัวด้วยในทางอ้อมก็ถือว่าได้เข้าสำนักตอนกลางเช่นกัน ทรัพยากรไร้ที่สิ้นสุดของที่นั่น หรือแม้แต่ความหวังที่จะได้ฝ่าทะลุขั้นก็ล้วนทำให้สำนักธาราทมิฬมิอาจปฏิเสธได้ กลับยังทุ่มเทกำลังเพื่อช่วยเหลืออย่างเต็มที่ด้วย

ส่วนสำนักธาราโอสถก็เป็นเช่นเดียวกัน นักพรตเหล่านั้นที่เคยทรยศสำนักธาราโอสถ มีส่วนหนึ่งรู้สึกละอายใจ หลังจากที่ได้รับการอภัยจากสำนักธาราโอสถจึงกลับคืนสู่สำนักดังเดิม

สองสำนักนี้เดิมทีก็ช่วงชิงกันเอาเป็นเอาตายอยู่แล้ว ทว่าตอนนี้เนื่องจากเห็นได้ชัดว่าในสำนักใหม่ เทพโลหิตมีอำนาจและอิทธิพลยิ่งใหญ่ พวกเขาอ่อนแอกว่า หากคิดจะมีสิทธิ์มีเสียงในสำนักวันหน้าก็จำเป็นต้องคลี่คลายความสัมพันธ์ระหว่างกัน มีเพียงวิธีนี้เท่านั้นถึงจะทำให้ด้านการแบ่งปันทรัพยากรของสำนักในอนาคต เส้นสายสำนักของตัวเองจึงจะไม่ถูกลดจำนวนมากเกินไปนัก

เรื่องเหล่านี้ป๋ายเสี่ยวฉุนแค่รับรู้เท่านั้น ไม่ได้ให้ความสนใจมากนัก เพราะบุรพาจารย์เทพโลหิตย่อมต้องเป็นผู้ช่างน้ำหนักกันเองอยู่แล้ว หลังจากที่เขาปิดด่านหนึ่งเดือน ในที่สุดก็ฝังกลบเรื่องราวของตู้หลิงเฟยไว้ในใจได้อย่างแท้จริง หลังจากที่ฟื้นตัวกลับคืนมาเป็นปกติแล้ว ยังไม่ทันที่เขาจะออกไปจากที่พักเพื่อไปหาพวกจางต้าพั่ง ก็ได้รับคำสั่งจากบุรพาจารย์รุ่นที่หนึ่งของสำนักธาราเทพให้ไปพบที่ตำหนักใหญ่กลางเมืองคูน้ำทันที

ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกไม่เต็มใจเล็กน้อย ทว่ากลับทำอะไรไม่ได้ จึงถอนหายใจหนึ่งครั้ง มุ่งหน้าไปยังตำหนักใหญ่ ตลอดทางที่ผ่าน ลูกศิษย์จำนวนไม่น้อยหลังจากที่เห็นป๋ายเสี่ยวฉุนต่างก็พากันคารวะด้วยความกระตือรือร้นและเคารพนบนอบ ในใจของป๋ายเสี่ยวฉุนจึงค่อยๆ ผ่อนคลายขึ้นมา

“ศิษย์หลานทั้งหลาย พวกเจ้าลำบากแล้ว!”

“ตั้งใจทำล่ะ สู้ๆ!”

“ข้าเป็นกำลังใจให้พวกเจ้าอยู่นะ!” ป๋ายเสี่ยวฉุนโบกมือ ในใจยิ่งปลอดโปร่ง หลังจากที่ได้พูดและโบกมืออยู่อย่างนี้ ความรู้สึกกลัดกลุ้มที่ปกคลุมบางๆ อยู่ในใจจึงได้สลายหายไปจนหมด โดยเฉพาะนอกตำหนักใหญ่มีลูกศิษย์สี่สำนักที่เฝ้าพิทักษ์ หลังจากทุกคนคารวะป๋ายเสี่ยวฉุนแล้ว ได้ยินเสียงร้องเรียกว่าบุรพาจารย์น้อยอย่างดังจากพวกเขา ตลอดร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนก็คล้ายจะลอยได้ราวกับเป็นเทพเซียน

“ตั้งใจเข้าล่ะ สักวันหนึ่งพวกเจ้าก็สามารถกลายเป็นบุรพาจารย์น้อยได้เหมือนกัน!” ป๋ายเสี่ยวฉุนรีบวางมาดของผู้อาวุโสออกมาทันที เอามือไพล่หลัง เหยียบย่างเข้าไปในตำหนักใหญ่พร้อมอมยิ้มน้อยๆ

เพิ่งจะเหยียบเข้ามา ป๋ายเสี่ยวฉุนก็สูดลมหายใจเฮือกใหญ่ พลานุภาพสยบในตำหนักใหญ่นี้หนาหนักอย่างถึงที่สุด ถึงกระทั่งที่ว่าแม้แต่ความว่างเปล่ารอบด้านก็ยังบิดเบือน มองปราดเดียวเขาก็เห็นว่าในตำหนักใหญ่ ผู้ที่นั่งตระหง่านอยู่เบื้องหน้าตนตอนนี้…คือบุรพาจารย์หนึ่งกลุ่ม!

สำนักธาราเทพนอกจากเถี่ยมู่เจินเหรินแล้ว บุรพาจารยก่อกำเนิดอีกสี่ท่านล้วนปรากฏตัวกันครบ สำนักธาราโลหิตเองก็ไม่ต่างกัน นอกจากบุรพาจารย์ตระกูลซ่งแล้ว คนที่เหลืออีกหกคนก็ล้วนนั่งอยู่ตรงนั้น

บุรพาจารย์สี่คนของสำนักธาราทมิฬ รวมชื่อหุนอยู่ด้วยก็เป็นเช่นเดียวกัน และยังมีบุรพาจารย์อีกสามคนของสำนักธาราโอสถ เมื่อเจินเหรินขั้นก่อกำเนิดทั้งหมดสิบเจ็ดคนมานั่งอยู่ในตำหนักใหญ่นี้ พลานุภาพสยบน่าอกสั่นขวัญแขวนระลอกหนึ่งจึงแผ่ไปทั่วทุกพื้นที่ในตำหนักใหญ่

แทบจะวินาทีเดียวกับที่ป๋ายเสี่ยวฉุนเดินเข้ามา สายตาของทั้งสิบเจ็ดคนนี้ก็พลันมารวมตัวกันอยู่บนร่างของเขา สายตาเหล่านี้แตกต่างกันออกไป สำนักธาราเทพและสำนักธาราโลหิตนิ่งสงบ สำนักธาราทมิฬกลับซับซ้อน โดยเฉพาะบุรพาจารย์ชื่อหุนที่ความรู้สึกหมดเรี่ยวแรงในใจยิ่งพุ่งขึ้นสูง

ส่วนนักพรตก่อกำเนิดสามคนของสำนักธาราโอสถต่างก็เผยประกายแปลกประหลาดออกมาทางดวงตา คล้ายรู้สึกสนใจในตัวป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างมาก

เพราะยังไงซะสถานการณ์ของโลกแห่งการบำเพ็ญเพียรแม่น้ำตะวันออกตอนล่างในตอนนี้ สามารถพูดได้ว่าทั้งหมดเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิงก็เพราะป๋ายเสี่ยวฉุนคนเดียว!

เผชิญกับสายตาของเจินเหรินก่อกำเนิดสิบเจ็ดคน ป๋ายเสี่ยวฉุนตัวสั่นเล็กน้อย สูดลมหายใจเข้าลึก ในสมองเต็มไปด้วยถ้อยคำที่ไม่ดีประเภทเมื่อนกตายหมดธนูก็ถูกเก็บ หรือการคิดบัญชีย้อนหลังอะไรเทือกนั้น หน้าของเขาจึงซีดขาว เบิกตากว้าง มองบุรพาจารย์เหล่านั้นด้วยความตื่นเต้น ทว่าในใจกลับรู้สึกว่าอาจไม่เป็นอย่างที่คิดก็ได้

“บุรพาจารย์ทุกท่าน อรุณสวัสดิ์…” ป๋ายเสี่ยวฉุนเอ่ยปากด้วยความระมัดระวัง คำพูดนี้ของเขาดังออกมา ในตำหนักใหญ่นอกจากคนของสำนักธาราเทพแล้ว นักพรตก่อกำเนิดคนอื่นๆ ล้วนอึ้งตะลึง แต่กลับไม่มีใครพูดอะไร เพียงแต่ว่าสายตาที่มองมายังป๋ายเสี่ยวฉุนยิ่งลึกล้ำ ทำให้คนมองไม่รู้ว่าพวกเขากำลังคิดอะไรอยู่

“ป๋ายเสี่ยวฉุน มีเรื่องหนึ่ง จำเป็นต้อง…” บุรพาจารย์รุ่นที่หนึ่งของสำนักธาราเทพมองป๋ายเสี่ยวฉุนหนึ่งครั้งแล้วจึงเอ่ยขึ้นเนิบช้า

ป๋ายเสี่ยวฉุนเห็นท่าทางแบบนี้ของคนพวกนี้ ใจก็สั่นระทึก แล้วยังมาได้ยินคำพูดนี้ของบุรพาจารย์รุ่นที่หนึ่งอีก ครุ่นคิดว่าตาแก่พวกนี้คงไม่มีเรื่องดีๆ อะไรรอตนอยู่แน่ ที่พวกเขาวางท่าแบบนี้ คงต้องการให้ตนไปปฏิบัติกิจธุระอะไรที่อันตรายผิดปกติแน่ๆ …พอคิดมาถึงตรงนี้ หน้าของป๋ายเสี่ยวฉุนจึงเปลี่ยนสีทันใด หัวใจเต้นตึกตักรัวเร็ว

ในใจเขาคิดว่าต้องไม่ให้อีกฝ่ายพูดจบเด็ดขาด มิฉะนั้นหากตัวเองคิดปฏิเสธก็ยากแล้ว ดังนั้นจึงกัดฟัน ไม่รอให้บุรพาจารย์รุ่นหนึ่งของสำนักธาราเทพพูดจบ เขาพลันยกมือขึ้นมากุมหน้าอก ร้องโหยหวนหนึ่งครั้งแล้วกระอักเลือดออกมาคำใหญ่ ถอยแถดๆ ไปข้างหลังหลายก้าว หน้าขาวเผือด พูดขึ้นด้วยเสียงแหบพร่า

“บุรพาจารย์ทุกท่าน ศึกครั้งนี้ ข้าบาดเจ็บหนักเกินไป โดยเฉพาะแผลเก่าแผลใหม่ปะทุขึ้นพร้อมกัน ข้าจะปิดด่าน ข้าจะกลับไปรักษาบาดแผล…เอ่อ งั้นข้าไม่รบกวนพวกท่านแล้ว” ระหว่างที่พูดป๋ายเสี่ยวฉุนก็รีบถอยกรูดหมายจะเผ่นหนี

ทว่าเขายังถอยไปได้ไม่กี่ก้าว บุรพาจารย์รุ่นที่หนึ่งของสำนักธาราเทพก็ถลึงตาใส่

“หยุดอยู่ตรงนั้น!”

ฝีเท้าของป๋ายเสี่ยวฉุนชะงักกึก หน้าม่อยคอตก แล้วก็เค้นเลือดสดออกมาเพิ่มอีกเล็กน้อย มองบุรพาจารย์รุ่นที่หนึ่งด้วยท่าทางน่าสงสาร

“บุรพาจารย์ ข้าบาดเจ็บจริงๆ นะขอรับ อาการหนักมากๆ เลยด้วย อีกอย่างชื่อเสียงของข้าก็ยิ่งใหญ่เกินไป หากออกไปข้างนอก มีคนมากมายอยากสังหารข้า…อีกอย่างลูกศิษย์คนอื่นๆ ก็เริ่มมีความเห็นกันแล้ว ควรจะให้โอกาสคนอื่นๆ บ้าง ข้าออกรบอีกไม่ได้แล้ว…”

บุรพาจารย์รุ่นที่หนึ่งของสำนักธาราเทพปวดหัวจี๊ด ขณะที่เขารู้สึกจะร้องไห้ก็ไม่ได้หัวเราะก็ไม่ออกอยู่นั้น บุรพาจารย์คนอื่นๆ ของสำนักธาราเทพที่อยู่ข้างกายเขาต่างก็พากันยิ้มเฝื่อน พวกเขาเองก็เคยได้ยินนิสัยแบบนี้ของป๋ายเสี่ยวฉุนมาเหมือนกัน ตอนนี้หลังจากได้เห็นกับตาจึงพากันพูดไม่ออก

ทุกคนของสำนักธาราโลหิตตะลึงงัน โดยเฉพาะอู๋จี่จื่อที่ยิ่งรู้สึกเหลือเชื่อ ปฐมาจารย์ของสำนักธาราโลหิตก็แปลกใจมากเช่นกัน พวกเขายังเป็นขนาดนี้ ก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสำนักธาราทมิฬและสำนักธาราโอสถเลย โดยเฉพาะบุรพาจารย์ชื่อหุนที่ยิ่งเบิกตากว้าง ใบหน้าเต็มไปด้วยความไม่อยากเชื่อ ราวกับเห็นผีตอนกลางวันแสกๆ เขามิอาจนำภาพของป๋ายเสี่ยวฉุนที่เห็นอยู่ตอนนี้มารวมเข้ากับคนที่ตัวเองเคยเห็นบนสนามรบก่อนหน้านั้นได้เลย

เขายังถึงขั้นรู้สึกว่าตัวเองต้องเกิดภาพหลอนแน่ๆ หรือไม่…ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ถูกเปลี่ยนตัว

บุรพาจารย์สามคนของสำนักธาราโอสถต่างก็อึ้งค้าง มองป๋ายเสี่ยวฉุน ได้ยินคำพูดของเขา เวลานี้ในสมองของพวกเขาก็เกิดเสียงดังอึงดล เหลือเชื่ออย่างมาก แอบรู้สึกว่า คนแบบนี้…ก็สามารถเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ของโลกแห่งการบำเพ็ญเพียรแม่น้ำตะวันออกตอนล่างได้ด้วยหรือ…รู้สึกรับไม่ได้จริงๆ

“ไม่ได้ให้เจ้าไปออกรบ!” หลังจากที่บุรพาจารย์รุ่นที่หนึ่งของสำนักธาราเทพส่ายหัวพูด ป๋ายเสี่ยวฉุนก็กะพริบตาปริบๆ ขอคำยืนยันซ้ำแล้วซ้ำเล่า

“ก็บอกแล้วไงว่าไม่ได้ให้เจ้าไปออกรบ หลังจากที่พวกเราปรึกษากันก็เตรียมจะทำอย่างที่เจ้าบอกในตอนนั้น ตั้งสำนักขึ้นมาใหม่ ชื่อของสำนักนี้ อยากจะถามความเห็นเจ้าสักหน่อย” บุรพาจารย์รุ่นที่หนึ่งของสำนักธาราเทพกวาดตามองป๋ายเสี่ยวฉุนหนึ่งครั้ง

“หา? ชื่อสำนัก…ถ้างั้น พวกท่านคิดว่าสำนักมิวางวายเป็นอย่างไร? หรือไม่ก็สำนักอมตะ? ไม่ถูกๆ พวกเราจะไปตอนกลาง ต้องมีคำว่าธาร…ไม่งั้นก็ สำนักสยบลำธาร? หรือไม่ก็สำนักธารเต่า ชื่อว่าสำนักธารเต่าก็ดีนะ ความหมายของมันลึกล้ำยาวไกล ขอข้าคิดแปบนะ สำนักตะพาบ[1]…” ป๋ายเสี่ยวฉุนยังคงตื่นเต้นเล็กน้อย จึงพูดด้วยความระมัดระวัง ยังไม่ทันพูดจบ ทุกคนก็พากันถลึงตาใส่ บุรพาจาย์รุ่นที่หนึ่งของสำนักธาราเทพปวดหัวอย่างมาก รีบตัดบทคำพูดของป๋ายเสี่ยวฉุนทันที

“ชื่อว่าสำนักสยบลำธารก็แล้วกัน ขณะเดียวกันในงานพิธีก็จะแต่งตั้งเจ้าเป็นบุรพาจารย์น้อยของสำนักสยบลำธารอย่างเป็นทางการ ประกาศให้ใต้หล้ารับรู้ ครั้งนี้ที่เรียกเจ้ามา นอกจากชื่อสำนักแล้ว ยังจะถามความเห็นของเจ้าเรื่องบุรพาจารย์น้อยนี่ด้วย!” บุรพาจารย์รุ่นที่หนึ่งของสำนักธาราเทพรีบพูดให้จบทีเดียว กลัวว่าหากยังมัวยึกยัก เดี๋ยวป๋ายเสี่ยวฉุนจะระเบิดคำพูดที่ไม่เหมาะไม่ควร เสนอชื่อสำนักที่ยิ่งทำให้ทุกคนหมดคำพูดมากไปกว่านี้…

“แต่งตั้งข้าเป็นบุรพาจารย์น้อยอย่างเป็นทางการ?” ป๋ายเสี่ยวฉุนอึ้งไปครู่หนึ่งแล้วจึงรู้สึกคลายใจได้อย่างแท้จริง เมื่อแน่ใจแล้วว่าตัวเองไม่ต้องไปทำภารกิจอันตรายใดๆ จึงแอบผ่อนลมหายใจอยู่ในใจ หลังจากนั้นเขาก็รีบเปลี่ยนสีหน้ามาเป็นนิ่งขรึม เลือดตรงมุมปากหายวับไปในพริบตา สีหน้าก็ยิ่งเปลี่ยนจากซีดขาวมาเป็นเคร่งเครียด รีบเชิดหน้ายืดอกตั้งตระหง่านดุจขุนเขา พลังอำนาจระเบิดออก ทำให้เขาสุขุมนุ่มลึกอย่างถึงที่สุด ราวกับกลายร่างมาเป็นวีรบุรุษผู้หนึ่ง

“เรื่องนี้ ศิษย์พร้อมแบกรับโดยไม่ลังเล!” ป๋ายเสี่ยวฉุนพูดด้วยเสียงทุ้มหนัก ปณิธานของชายเลือดเหล็กไร้ความเกรงกลัวเผยออกมาทางสีหน้าในพริบตาเดียว สายตาก็ยิ่งเฉียบคมมีประกายวับวาวดุจสายฟ้า

——

[1] คำในภาษาจีนที่แปลว่าตะพาบน้ำ(王八)นอกจากความหมายนี้แล้ว ยังมีอีกความหมายหนึ่งว่าชายที่ภรรยามีชู้ (เป็นคำที่ใช้ด่าคน)

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version