บทที่ 342 ยาวัชระมิวางวาย!
ไม่เพียงเด็กชายเท่านั้นที่เป็นเช่นนี้ ผู้เฒ่าที่อยู่ข้างกายของเขา เวลานี้นัยน์ตาก็ฉายประกายประหลาดใจ ลมหายใจถี่กระชั้น หรือแม้แต่คนสามคนที่มาจากอีกสามสำนักซึ่งอยู่นอกสำนักธารฟ้าก็ยังหน้าเปลี่ยนสีฉับพลัน ดวงตาฉายแววตะลึงระคนหวาดหวั่น
“นี่คือใคร ปราณของนาง…ปราณนี้…”
“ต่อให้เผชิญหน้ากับบุรพาจารย์คนฟ้า ข้าก็ยังไม่เคยตัวสั่นเช่นนี้…”
“ไม่คิดเลยว่าสำนักสยบธารจะมีพลังแฝงแบบนี้ได้!!”
คนทั้งสามร้องอุทานเสียงหลง ในความเป็นจริงแล้วไม่ใช่แค่คนนอกเท่านั้นที่ตะลึงลาน แม้แต่อีกสามสายของสำนักสยบธารเองก็ยังเผยความเหลือเชื่อ
เฟิงเสินจื่อสายธาราโลหิตเบิกตาค้าง เขาพลันตระหนักได้ว่าความถนัดในการซุกซ่อนอำพรางของสายธาราเทพช่างลึกล้ำจนมิอาจคาดเดา คนอื่นไม่มีทางรู้เลยว่าสายธาราเทพยังซุกซ่อนอะไรเอาไว้อีกกันแน่…
ป๋ายเสี่ยวฉุนอุทานด้วยความตะลึง เขามองทารกหญิงผู้นั้น ความเข้าใจที่เขามีต่อนาง เขาไม่พูดว่าตัวเองรู้ชัดเจนมากที่สุด แต่คนที่รู้ชัดยิ่งกว่าเขา ย่อมมีไม่มากอย่างแน่นอน
อีกทั้งตอนที่เขาได้เห็นทารกหญิงนี้เป็นครั้งแรก เขายังได้ยินเสียงของอีกฝ่ายด้วย…
ตอนนี้ได้เห็นกับตาตัวเองว่าทารกหญิงเดินออกมาจากในโลง สัมผัสได้ถึงคลื่นน่าหวาดกลัวที่มิอาจหาถ้อยคำใดมาพรรณนาได้จากร่างของอีกฝ่าย ป๋ายเสี่ยวฉุนก็เริ่มรอคอยด้วยความตื่นเต้น
ทุกอย่างนี้พูดแล้วยาว ทว่าในความเป็นจริงนับตั้งแต่ที่ทารกหญิงลืมตาจนกระทั่งนางมาปรากฏตัวอยู่กลางอากาศ เวลาทั้งหมดนี้รวมเข้าด้วยกันก็แค่หนึ่งชั่วลมหายใจเท่านั้น
ยังไม่ทันรอให้ทุกคนมีปฎิกิริยาตอบสนองกลับมา ทารกหญิงถอนสายตาคืนมาจากท้องฟ้า ราวกับว่าในโลกของนาง ไม่มีใครคู่ควรให้นางมองแม้แต่หางตา ต่อให้เป็นแมลงยักษ์ตัวนั้นก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น
นางแค่ยกมือขวาชี้ไปที่แมลงยักษ์หนึ่งครั้ง!
ภายใต้การชี้ครั้งนี้ คนนอกมองไม่เห็นคลื่นของเวทคาถาใดๆ ทว่าแมลงแห่งความตายกลับตัวสั่นเยือกอย่างรุนแรง คล้ายหมดสิ้นซึ่งพลังในการต่อต้าน…
สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าว่าร่างของมัน…ค่อยๆ กลายเป็นฝุ่นผง…ที่สลายหายไประหว่างฟ้าดิน ประหนึ่งว่าแค่การชี้ครั้งเดียวของทารกหญิงก็ได้สั่นคลอนกฏกติกาทั้งหมด ลบเลือนมันออกไป…โดยตรง!
ภาพนี้ทำให้ทุกคนที่อยู่รอบด้านเงียบกริบกันไปอีกครั้ง…
ทุกคนของสำนักสยบธารตะลึงงัน นักพรตสำนักธารฟ้าเกิดเสียงดังอื้ออึงขึ้นในสมอง ลนลานทำอะไรไม่ถูก
ป๋ายเสี่ยวฉุนที่ยืนอยู่กลางอากาศมองตาค้าง ด้วยพลังของยาอายุวัฒนะวิถีฟ้า ทำให้เขามองเห็นภาพนี้แตกต่างไปจากคนอื่นเล็กน้อย เขามองเห็นได้รำไรว่าการชี้ของทารกหญิง คล้ายได้ไปขยับเคลื่อนเส้นใยเส้นหนึ่งที่ผลุบๆ โผล่ๆ …
และคลื่นของเส้นใยที่ว่านี้ก็ได้ชักนำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงชุดหนึ่งที่เขาไม่เข้าใจ จากนั้นก็…ลบการดำรงอยู่ของแมลงแห่งความตายทิ้งไปโดยตรง
วิธีการเช่นนี้ไม่ใช่สิ่งที่วิชาอภินิหารของเวทคาถาจะอธิบายได้
เวลานี้คนสามคนจากสามสำนักที่อยู่บนยอดเขาห่างไปไกลล้วนหนังหัวชาหนึบ ตัวสั่นเทา พวกเขาจินตนาการไม่ออกเลยว่านี่เป็นพละกำลังแบบใดกันแน่ แค่ชี้ทีเดียว แมลงแห่งความตายที่เทียบได้กับอาวุธศักดิ์สิทธิ์ชั้นดินถึงได้…หายวับไปทันทีแบบนี้
พอจะนึกภาพออกว่าหากนิ้วนี้ชี้ลงมาที่ร่างของพวกเขา ถ้าเช่นนั้นจุดจบของพวกเขาก็ต้องกลายเป็นเถ้าธุลีไม่ต่างกัน…
“คนประหลาด…คิดไม่ถึงเลยว่าในสำนักธาราเทพจะมีคนประหลาดอยู่หนึ่งตน” ในสำนักธารฟ้า เด็กชายนอกกระท่อมสูดลมหายใจเข้าลึก พึมพำเสียงเบา สายตาที่มองไปยังทารกหญิงเคร่งขรึมอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
“คนประหลาดไม่เป็นมงคล…นี่คือความเห็นพ้องต้องกันของโลกทงเทียนใบนี้ ไม่ว่าสำนักใดก็ตามที่มีคนประหลาด สุดท้ายล้วนต้องพินาศย่อยยับ และหากใครได้สัมผัสกับคนประหลาดก็จะยิ่งพบเจอกับความอัปมงคลไปด้วย…”
ผู้เฒ่าที่อยู่ข้างกันพลันยิ้มขึ้นมา เพียงแต่ว่าจุดลึกในดวงตาของเขากลับมีความคาดหวังและความฮึกเหิมวาบผ่านไปอย่างรวดเร็ว
เด็กชายเงียบงัน ตัวเขาเป็นหนึ่งในคนฟ้าทั้งห้าของสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราจึงเข้าใจโลกใบนี้อย่างลึกล้ำ เขารู้ดีว่าคนประหลาดนั้นเต็มไปด้วยความอัปมงคล ขณะเดียวกันเขาก็รู้ถึงท่าทีที่สำนักอันตมรรคาฟ้าดารามีต่อคนประหลาดด้วยว่าไม่เข้าร่วม ไม่สนใจ
“เกรงว่าในสำนักธาราเทพคงมียอดฝีมืออยู่…ที่ครั้งนี้เอาคนประหลาดตนนี้ออกมา เป้าหมายไม่ใช่เพื่อทำลายแมลงแห่งความตาย แต่ต้องการให้ข้าเห็น…ถ้าเช่นนั้น ข้าก็จะลองหยั่งเชิงดูสักหน่อย!”
เด็กชายทำท่าครุ่นคิด กวาดสายตามองไปรอบด้าน เงียบไปครู่แล้วพลันยกมือขวาขึ้นทำมุทรากดลงไปบนลำต้นของต้นไม้ที่อยู่ข้างกาย
ผู้เฒ่าที่อยู่ข้างกันหน้าเปลี่ยนสีทันใด คิดจะขัดขวางทว่ากลับทำไม่ได้ แทบจะวินาทีเดียวกันกับที่เด็กชายกดนิ้วลงไป ต้นไม้ปีศาจมะเดื่อฟ้าต้นใหญ่ที่เป็นประตูสำนักธารฟ้าก็คล้ายได้รับพลังชีวิตหนึ่งเส้น มันดิ้นรนอย่างรุนแรงขึ้นมากะทันหัน ทั้งยังเปล่งเสียงคำราบแหบกร้าวดังสะท้านฟ้า
เมื่อเสียงคำรามดังก้อง กิ่งไม้จำนวนนับไม่ถ้วนพลันตวัดบินออกมา พริบตาเดียวก็เข้าไปรัดพันร่างนักพรตทุกคนของสำนักธารฟ้า ต่อให้เป็นเจินเหรินก่อกำเนิดก็ยังไม่เว้น ทุกคนถูกกิ่งไม้พันร่างแล้วโดนจับเหวี่ยงเข้าไปในปากต้นไม้ปีศาจมะเดื่อฟ้าอย่างแรง
ต้นไม้ปีศาจเขมือบกลืนลงไปในคำเดียว นักพรตทุกคนของสำนักธารฟ้ากลายมาเป็นสารบำรุงให้กับมัน เมื่อดูดซับสารเหล่านั้นมา ต้นไม้ปีศาจมะเดื่อฟ้าจึงมีชีวิตชีวากลับคืนมาอีกครั้ง
เมื่อพลังชีวิตปรากฏ รอยฝ่ามือบนลำต้นจึงประสานปิดเข้าหากัน กิ่งไม้จำนวนนับไม่ถ้วนแตกกิ่งก้านสาขา ใบไม้ปริมาณมากได้รับการหล่อเลี้ยง หลังจากเสียงคำรามฟังไม่ได้ศัพท์ดังลอยออกมาจากในลำต้น ต้นไม้ปีศาจมะเดื่อฟ้าขนาดมหึมาต้นนี้ก็พลันสั่นไหวอย่างรุนแรง มันตัดรากหลักสองเส้นของตัวเองที่ถูกร่างของบรรพบุรุษโลหิตกักเอาไว้ทิ้ง แล้วลุกพรวดขึ้นยืนบนแม่น้ำทงเทียน
วินาทีที่ต้นไม้ยักษ์สูงเสียดฟ้าลุกยืน มันก็แผดเสียงเดือดดาลเขย่าคลอนนภากาศ และบนลำต้นของมันก็มีดวงตาสองข้างปรากฏขึ้น นั่นคือดวงตาที่แดงฉาน ซึ่งจ้องเขม็งมายังทารกหญิงที่ยืนอยู่กลางอากาศผู้นั้น
ทารกหญิงมีเวลาในการฟื้นตื่นเพียงแค่สิบชั่วลมหายใจ ตอนนี้ทุกอย่างมองดูเหมือนเชื่องช้า ทว่าในความเป็นจริงล้วนเกิดขึ้นในชั่วระยะเวลาสิบลมหายใจ และตอนนี้เวลา…ก็ได้ผ่านไปแปดเก้าลมหายใจแล้ว
จนร่างของทารกหญิงเริ่มแห้งเหี่ยว ประกายสายตาของนางค่อยๆ สลัวรางลง ต่อให้เผชิญหน้ากับเสียงร้องคำรามยั่วยุจากต้นไม้ยักษ์ นางก็ไม่คิดจะหันไปมองแม้แต่หางตา แต่ใช้เวลาชั่วลมหายใจสุดท้ายหันหน้าไปมอง…ผู้ที่ยืนตะลึงค้างอยู่กลางอากาศอย่าง…ป๋ายเสี่ยวฉุน!
เมื่อสายตาของนางหันมามอง หัวสมองของป๋ายเสี่ยวฉุนพลันดังอึงอล เขาได้ยินเสียงแผ่วเบาที่ดังขึ้นในจิตวิญญาณของตัวเอง
“ข้าจะมอบเลือดลมให้เจ้าหนึ่งเส้น หวังว่าเจ้า…จะหลอมยาทวนธาราออกมาได้ในเร็ววัน”
เสียงนั้นดังก้องอยู่ในจิตใจของป๋ายเสี่ยวฉุน ทารกหญิงยกมือขวาชี้มาที่เขา
การชี้ครั้งนี้มีเลือดหนึ่งหยดปรากฏขึ้นที่ปลายนิ้วนางแล้วพุ่งเข้าหาหว่างคิ้วของป๋ายเสี่ยวฉุนรวดราวสายฟ้าแลบ!
หลังจากทำสิ่งเหล่านี้เสร็จ ร่างของทารกหญิงก็หายวับไปกลางอากาศ…
มาปรากฏตัวอีกครั้งอยู่ในโลงศพบนเรือทงเทียนตามเดิม ตาทั้งคู่ปิดสนิท กลับมาเป็นซากศพอีกครั้ง…
ป๋ายเสี่ยวฉุนสั่นเยือกไปทั้งร่าง เมื่อเลือดหยดนั้นหลอมรวมเข้าไป เวลานี้พลังกล้ามเนื้อของจึงระเบิดออกโครมคราม เลือดลมพลุ่งพล่านซัดตลบ เลือดหยดนั้นคล้ายแฝงเร้นไว้ด้วยพลังไร้ที่สิ้นสุดซึ่งแผ่ขยายออกมาอย่างต่อเนื่อง หลอมรวมเข้าด้วยกันอย่างต่อเนื่อง ป๋ายเสี่ยวฉุนตะเบ็งเสียงคำรามที่เกิดจากการข่มกลั้นความเจ็บปวด ร่างอสูรเก้าตนทยอยกันปรากฏตัวที่ด้านหลังของเขา อีกทั้งเมื่อถูกเลือดหยดนี้กระตุ้น เงาอสูรตนที่สิบ…ก็พลันก่อตัวเข้าด้วยกัน
เมื่ออสูรร่างที่สิบเผยกายออกมา ดวงตาทั้งคู่ของป๋ายเสี่ยวฉุนแดงฉาน หงายหน้าตะโกนก้องอีกครั้ง เสียงดังสะท้านฟ้าสะเทือนดิน ทำให้นักพรตสำนักสยบธารใจสั่นรัว
พลังกล้ามเนื้อของเขาระเบิดออกอย่างไม่หยุดยั้ง ความรู้สึกที่ได้สัมผัสกับพันธนาการขั้นที่สองยิ่งแจ่มชัด คล้ายว่าขาดอีกแค่เสี้ยวเดียวก็จะฝ่าทะลุมันไปได้!
“ร่างวัชระมิวางวาย!!” เส้นเอ็นสีเขียวปูดโปนขึ้นบนใบหน้าของป๋ายเสี่ยวฉุน หลังเสียงคำราม พลังโจมตีระลอกหนึ่งแผ่ครั่นครืนออกไปรอบด้านโดยมีเขาเป็นจุดกลาง ขณะเดียวกันอสูรสิบตนด้านหลังเขาก็เริ่มทับซ้อนเข้าด้วยกัน!!
ครั้นอสูรทั้งสิบตนรวมร่างกันกลายมาเป็นหนึ่งเดียว พลังกล้ามเนื้อที่บ้าคลั่งดุเดือดมากกว่าเดิมก็ระเบิดตูมจากร่างของป๋ายเสี่ยวฉุน
แสงสีทองแผ่ซ่านออกมาจากบนร่างของอสูรที่รวมเป็นหนึ่ง และท่ามกลางแสงที่สาดส่องนี้ ร่างของอสูรก็คล้ายถูกสวมเกราะสีทองลงไป รูปร่างเปลี่ยนไปจากเดิมอย่างฉับพลัน!
ไม่ได้มีสามเศียรหกกรอีกต่อไป แต่กลายมาเป็นวัชระนักรบพระโพธิสัตว์หน้าตาดุร้าย เรือนกายใหญ่มหึมาพอหลายร้อยจั้ง ที่เรียกว่า…วัชระมิวางวาย!
และบัดนี้ พันธนาการขั้นที่สองของชีวิตป๋ายเสี่ยวฉุนก็ถูกบุกฝ่าทะลวงไปพร้อมการปรากฏตัวของร่างวัชระมิวางวาย!
ป๋ายเสี่ยวฉุนแหงนหน้าคำรามเสียงทุ้มลึก ความรู้สึกที่อยู่ๆ ร่างกายก็โล่งโปร่งสบายทำให้พลังกล้ามเนื้อของเขาทะยานพรวดขึ้นสูงอีกครั้ง ไม่นานในร่างมายาของวัชระมิวางวายก็ค่อยๆ ปรากฏให้เห็น…ยาสีทองหนึ่งเม็ด!
นั่นก็คือ…ยาวัชระมิวางวาย!!
ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมเข้ามาเฮือกใหญ่ เงามายาของร่างวัชระมิวางวายและ
ยาวัชระมิวางวายที่อยู่ในร่างนั้นก็ตรงดิ่งเข้าหาป๋ายเสี่ยวฉุนทันที หลังจากผสานรวมกับร่างกายของเขาแล้ว พลังอำนาจน่าหวาดกลัวที่ชวนครั่นคร้ามกว่าก่อนหน้านี้จึงระเบิดตูมออกมาจากร่างของป๋ายเสี่ยวฉุน
นี่คือพลังของ…โอสถคู่!
นอกจากนี้แล้ว เมื่อได้รับเลือดสดหนึ่งหยดของทารกหญิงมา ในสมองของ
ป๋ายเสี่ยวฉุนจึงเริ่มเข้าใจยาทวนธาราได้ดียิ่งขึ้น เมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้ที่ไม่รู้ต้นสายปลายเหตุอะไรสักอย่าง มาตอนนี้เขามีความมั่นใจแล้วว่าตัวเองต้องหลอมยาทวนธาราออกมาได้อย่างแน่นอน!
และเวลานี้เอง พอต้นไม้ปีศาจมะเดื่อฟ้าพลุ่งพล่านเดือดดาลขึ้นมา นักพรตจำนวนมากของสำนักสยบธารจึงถอยกรูดออกไปอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะนักพรตสายธาราโลหิตที่เฟิงเสินจื่อนำพาให้ตรงดิ่งเข้าหาเรือนกายของบรรพบุรุษโลหิต
หลังจากที่พวกเขามองเห็นการเปลี่ยนแปลงของป๋ายเสี่ยวฉุน ทุกคนก็สูดลมหายใจเฮือกใหญ่อีกครั้ง แต่กลับไม่มีเวลามามัวตื่นตะลึง เฟิงเสินจื่อคำรามก้องทันใด
“จั้งเอ๋อร์ ควบคุมบรรพบุรุษโลหิต สังหารต้นไม้ปีศาจต้นนี้!!”
*เจินเหริน(真人) คือคำเรียกขานของเต้าหยินที่บรรลุมรรคผล ตัวอย่างเช่น อู๋จี๋เจินเหริน หันจงเจินเหริน เจินเหรินก่อกำเนิด
*เจินหลิง (真灵)แปลว่าจิตวิญญาณที่แท้จริง เป็นคำเรียกไม่ต่างจากเจินเหรินที่หมายถึงเต๋าผู้บรรลุมรรคผล หรือหมายถึงคนที่กลายเป็นเซียน ในเรื่องที่ใช้เรียกเจินหลิงถึงตอนปัจจุบันมีเพียงทารกหญิงอันเป็นพลังแฝงของสายธาราเทพเท่านั้น
