Skip to content

A Will Eternal 341


บทที่ 341 เจินหลิงฟื้นตื่น

การดำเนินของสงครามยิ่งอำมหิตโหดร้ายมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเทียบกับการบาดเจ็บและล้มตายของสำนักสยบธารแล้ว สำนักธารฟ้าก็ยิ่งสาหัสรุนแรงมากกว่า มองเห็นลูกศิษย์แต่ละคนตายไป มองเห็นว่ามีคนบาดเจ็บอยู่ทุกเวลานาที ในสำนักธารฟ้าจึงมีแต่ความเงียบงัน

ผู้เฒ่าสวมชุดสีขาวคนหนึ่งยืนอยู่บนตำแหน่งศูนย์กลางของสำนักธารฟ้า ที่นั่นมีต้นไม้หนึ่งต้นที่ขึ้นเหนือต้นไม้อีกต้น บนยอดสุดของต้นไม้แห่งนี้มีกระท่อมไม้อยู่หนึ่งหลัง เวลานี้ผู้เฒ่ายืนอยู่นอกกระท่อมไม้ มองการต่อสู้ที่เกิดขึ้นรอบด้าน ฟังเสียงกัมปนาทและเสียงคร่ำครวญโหยหวนที่ดังมาจากแปดทิศ

ใบหน้าของเขาเผยความเหนื่อยล้า หากมองอย่างละเอียดจะเห็นได้ว่าบนร่างของเขามีปราณแห่งความตายเข้มข้นอวลอลอยู่ ราวกับว่าพยายามดิ้นรนเฮือกสุดท้ายไม่ให้ตัวเองต้องสิ้นชีพ แต่เห็นได้ชัดว่า…เขาคงยืนหยัดได้อีกไม่นานเท่าไหร่แล้ว

ข้างกายผู้เฒ่ามีเด็กชายคนหนึ่ง เด็กชายผู้นี้ริมฝีปากแดงฟันขาว รูปโฉมงดงามอย่างมาก บนร่างมีกลิ่นหอมสะอาดลอยกำจาย อาภรณ์สะอาดสะอ้านราวกับเซียนเด็ก เวลานี้กำลังยืนเอามือไพล่หลัง มองสนามรบด้วยความสนอกสนใจเป็นอย่างยิ่ง บางครั้งเมื่อสายตาตกไปอยู่บนร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนที่อยู่กลางอากาศห่างไปไม่ไกล ความสนใจในดวงตาก็ยิ่งเข้มข้น

“สหายนักพรตหลี่ พอหรือยัง?” เนิ่นนาน ผู้เฒ่าถึงได้เอ่ยปากด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง ความเหนื่อยล้ายิ่งเพิ่มพูน

“ยังไม่พอ” เด็กชายได้ยินอย่างนั้นก็หัวเราะ ผินหน้าหันไปมองผู้เฒ่า มองไปมองมากลับถอนหายใจพรืด

“สหายนักพรตเฉิน รู้ว่าต้องเป็นอย่างนี้ตั้งแต่แรก เคยคิดเสียใจไหม?”

“เท่าไหร่ถึงจะพอ คนตายไปมากเหลือเกินแล้ว” ผู้เฒ่าเงียบงัน ผ่านไปครู่ใหญ่ดวงตาเขาฉายแสงมืดมัว เอ่ยปากเนิบช้า

“เอาเถอะ ในเมื่อเป็นเช่นนี้เจ้าก็เอาพลังแฝงของสำนักธารฟ้าออกมาเถอะ ทำลายเสียแต่เนิ่นๆ การลงโทษครั้งนี้จะได้สิ้นสุดลงเร็วหน่อย” เด็กชายคิดไปคิดมาก็เอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม

ความอ่อนล้าของผู้เฒ่ายิ่งมีมาก หลายคนล้วนคิดว่าเขาตายไปแล้ว ทว่าในความเป็นจริง ในฐานะที่เป็นบุรพาจารย์ที่แท้จริงของสำนักธารฟ้า เป็นผู้อยู่ในขอบเขตคนฟ้าคนหนึ่ง เขามีวิธีการมากมายเหลือเกินที่จะรักษาชีวิตของตัวเองให้ดำเนินต่อไปได้ ต่อให้บาดเจ็บสาหัสจนถึงขั้นเกือบสิ้นอายุขัย เขาก็ยังคงสามารถทอดเวลาออกไปได้อีกยาวนาน

และสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราก็ไม่ได้รีบที่จะสังหารเขาทันทีทันใด แต่ให้เขาอยู่ในสภาพเช่นนี้ ให้เขาได้มองเห็นความพินาศของสำนักธารฟ้ากับตาของตัวเอง ตัวเขาเองเข้าใจดีว่านี่คือการลงโทษ มีเพียงคนตายมากพอเท่านั้นถึงจะแลกมาด้วยโอกาสรอดชีวิตของลูกศิษย์ที่เหลืออยู่

ถอนหายใจเบาๆ หนึ่งครั้ง นัยน์ตาของผู้เฒ่าฉายแววโล่งใจคล้ายได้รับการปลดปล่อย ยกมือขวาขึ้นแตะลงไปเบาๆ บนลำต้นของต้นไม้ที่อยู่ด้านข้าง

วินาทีที่เขาสัมผัสเข้ากับลำต้นนั้น ลำต้นพลันสั่นไหว การสั่นนี้แผ่ขยายออกไปอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวก็กระจายไปทั่วต้นไม้ปีศาจมะเดื่อฟ้า จากนั้นบนต้นไม้ใหญ่อันเป็นที่ตั้งประตูของสำนักธารฟ้าก็มีแมลงสีขาวมากมายหลายตัวมุดลอดออกมาจากทั่วทุกพื้นที่!

แมลงเหล่านี้มีขนาดแค่นิ้วมือ ทว่าหลังจากที่ปรากฏตัวกลับเปล่งเสียงร้องโหยไห้ ทั้งยังมีปราณน่าตะลึงระเบิดจากบนร่างของพวกมัน แต่ละตัวบินพรวดตรงดิ่งไปยังกลางอากาศในพริบตาเดียว

ภาพนี้ชักนำให้เกิดเสียงฮือฮาด้วยความแตกตื่นได้ทันที และยิ่งทำให้สงครามในประตูสำนักเกิดภาวะชะงักงันขึ้นอีกครั้ง แมลงเหล่านี้มีมากเกินไป ยั้วเยี้ยแน่นขนัด ปกคลุมไปทั่วมืดฟ้ามัวดิน แค่ชั่วพริบตาก็นับไม่ได้ว่ามีจำนวนมากแค่ไหน ทำให้ทุกคนที่มองเห็นขนลุกขนพองอย่างอดไม่ได้

ต่อให้เป็นนักพรตของสำนักธารฟ้าเองพอเห็นแมลงเหล่านี้ หลายคนก็ยังเผยความตกใจและหวาดกลัวออกมาทางสีหน้า

ตลอดทั้งสำนักบัดนี้เต็มไปด้วยแมลงสีขาว เสียงแหบแห้งที่ดังออกมาจากปากของแมลงเหล่านี้มากพอจะทำให้จิตวิญญาณของทุกคนสั่นคลอน และหลังจากแมลงเหลือคณานับเหล่านั้นบินออกมาแล้ว พวกมันก็รวมตัวเข้าด้วยกันเป็นมหาสมุทรแมลงกลางอากาศ

หากเป็นเพียงแค่มหาสมุทรแมลงก็ยังว่าไปอย่าง ทว่าหลังจากที่แมลงเหล่านี้มารวมตัวเข้าด้วยกัน สิ่งสุดท้ายที่ปรากฎอยู่เบื้องหน้าทุกคนกลับเป็น…แมลงดุร้ายขนาดใหญ่ยักษ์ตัวหนึ่งที่ไม่รู้ว่าเพิ่มขนาดมากกว่าเดิมกี่เท่า!

แมลงตัวนี้ไม่ได้เป็นสีขาวอีกต่อไป แต่กลายมาเป็นสีแดง ใหญ่พอพันจั้ง นอกร่างเต็มไปด้วยหนามแหลมคม ซึ่งหนามแหลมเหล่านี้มีแสงสีดำเปล่งประกาย เห็นได้ชัดว่าแฝงไปด้วยพิษร้ายแรง

หลังจากก่อตัวสำเร็จ แมลงยักษ์ตัวนี้ก็ชูคอขึ้น เสียงคำรามแหบแห้งที่เปล่งออกมาจากปากมันทำให้ความว่างเปล่าบิดเบือน เสียงคำรามนี้กลายมาเป็นเสียงระเบิดที่ส่งพลังโจมตีออกไปเป็นทอดๆ ทุกที่ที่ผ่าน คนจำนวนนับไม่ถ้วนกระอักเลือด ไม่ว่าจะเป็นสำนักธารฟ้าหรือสำนักสยบธารก็ล้วนเป็นเช่นเดียวกัน

ความอหังการ์นั้นมากพอทำให้ทุกคนอกสั่นขวัญหาย หนาวเยือกไปทั้งใจ

ต่อให้เป็นป๋ายเสี่ยวฉุนที่ยืนอยู่กลางอากาศก็ยังสั่นไปทั้งตัว ตอนที่มองมายังแมลงตัวนี้เขาเบิกตากว้างปากอ้าค้าง ปราณที่แผ่ออกมาจากร่างของแมลงตัวนี้ต่อให้เขาเป็นรวมโอสถแล้วก็ยังใจหายใจคว่ำ ทั้งยังหวาดกลัวจนลนลานไปหมด!

“แมลงแห่งความตาย!!”

“หนึ่งในพลังแฝงของสำนักธารฟ้า…แมลงแห่งความตาย!!”

นักพรตก่อกำเนิดหลายคนของสำนักสยบธารพากันหน้าเปลี่ยนสี หันจงสายธาราเทพและเฟิงเสินจื่อสายธาราโลหิตมองหน้ากันไปมา ต่างก็มองออกถึงความเคร่งเครียดของอีกฝ่าย

แมลงตัวนี้เพิ่งจะปรากฏตัวก็อ้าปากคำราม พอขยับร่างหนึ่งทีก็พ่นเมือกสีเขียวจำนวนมากออกมาจากปากทันที เมือกสีเขียวเหล่านี้คล้ายน้ำฝนที่สาดกระจายออกไปเป็นวงกว้าง หยดลงบนร่างคนเมื่อใดผิวเนื้อก็จะถูกกัดกร่อนทะลุเมื่อนั้น ต่อให้ร่วงลงบนพื้น ผืนดินก็ยังละลายอย่างรวดเร็ว คล้ายถูกเผาไหม้จนกลายมาเป็นหลุมหนึ่งหลุม!

เวลาแค่ประเดี๋ยวเดียวเสียงโหยหวนก็ดังออกมาไม่หยุด ต่อให้เป็นนักพรตสำนักธารฟ้าเองก็ยังมีหลายคนที่โดนลูกหลงไปด้วย

ระดับการกัดกร่อนของน้ำกรดประเภทนี้รุนแรงเกินกว่าฝนกรดที่เกิดจากการหลอมยาของป๋ายเสี่ยวฉุนมากมายนัก ทำเอาป๋ายเสี่ยวฉุนตกใจจนรีบถอยกรูด สูดลมหายใจเฮือกๆ ติดต่อกัน

“สัตว์ประหลาดอะไรกัน!!”

ขณะที่ทุกคนกำลังตะลึงพรึงเพริดกันอยู่นั้น แมลงแห่งความตายตัวนี้ก็สะบัดร่างหนึ่งครั้ง หนามแหลมคมทั่วร่างพลันสลัดออกไปรอบด้านอย่างรุนแรง ทุกที่ที่ผ่าน เสียงคำรามดุดันดังกึกก้อง เสียงโหยหวนเจ็บปวดดังสะท้อน

แมลงยักษ์ตัวนี้บินถลารวดเร็ว แล้วอยู่ๆ ก็อ้าปากออกกว้างเขมือบกลืนนักพรตรวมโอสถคนหนึ่งที่อยู่กลางอากาศลงไป

เมื่อกลืนลงไปแล้ว ร่างของแมลงยักษ์ก็ชักกระตุกแล้วร่วงโครมลงไปบนพื้น เกลือกกลิ้งผ่านที่ใด คนจำนวนไม่น้อยก็ถูกบดทับจนร่างแหลกเละกลายเป็นขนมเปี๊ยะไส้เนื้อคน…

ต่อให้นักพรตก่อกำเนิดลงมือเองก็ยังมิอาจสกัดกั้นไว้ได้นานนัก และหากคนมากมายลงมือรุนแรงพร้อมกัน แมลงยักษ์ตัวนี้ก็จะสลายตัวออกจากกันกลายมาเป็นแมลงตัวเล็กสีขาวที่บินว่อนไปทั่วฟ้าดิน เดี๋ยวแตกฮือเดี๋ยวกลับเข้ามารวมกันใหม่ เวลาแค่ครู่เดียวสนามรบแห่งนี้ก็ตกอยู่ในสภาวะโกลาหลมิอาจแก้ไขได้

“สมกับที่เป็นอาวุธศักดิ์สิทธิ์ระดับกลาง แมลงแห่งความตายช่างดียิ่ง!” นอกกระท่อมไม้หลังเล็ก เด็กชายคนนั้นปรบมือ นัยน์ตาเผยแววชื่นชม เอ่ยปากด้วยรอยยิ้ม

ผู้เฒ่าที่อยู่ข้างกันเงียบงัน

“แม้ว่าพลังแฝงของสำนักสยบธารจะมีไม่น้อย ทว่าต่างก็เป็นอาวุธศักดิ์สิทธิ์ชั้นมนุษย์เท่านั้น แต่ว่าร่างบรรพบุรุษโลหิตที่ข้าเห็นก่อนหน้านี้ไม่ใช่วัตถุที่ธรรมดาเลยสักนิด…น่าเสียดายก็แต่บุรพาจารย์มีคำสั่งไม่ให้ยุ่งกับร่างนั้น” เด็กชายส่ายหัว เสียดายอย่างมาก

“แต่ได้ยินมาว่าสำนักธาราเทพมีภูมิหลังที่ค่อนข้างลึกลับ ไม่แน่ว่าอาจจะมีอาวุธศักดิ์สิทธิ์อะไรที่ทำให้ทุกคนได้เปิดโลกทัศน์ใหม่ๆ?” ความสนใจของเด็กชายไม่ลดน้อยลง ทอดสายตามองต่อไป

และวินาทีที่เด็กชายคนนี้หันไปมอง แมลงแห่งความตายตัวนั้นก็อาละวาดกำเริบเสิบสานไปแปดทิศ ทั้งยังอาศัยพละกำลังของร่างกายตัวเองสกัดขวางการบุกโจมตีทั้งหมดของสำนักสยบธารอีกด้วย

เมื่อเห็นว่าหากไม่มีวิธีแก้ไข คนจะบาดเจ็บและล้มตายกันมากขึ้น บุรพาจารย์หลายคนของสำนักสยบธารจึงพากันหันไปมองหันจงสายธาราเทพ

“พี่หัน ก่อนหน้านี้ท่านบอกว่าท่านจะจัดการแมลงแห่งความตายตัวนี้เอง!”

เฟิงเสินจื่อสายธาราโลหิตพูดขึ้นด้วยความร้อนใจ

หันจงบุรพาจารย์รุ่นที่หนึ่งของสายธาราเทพลังเลเล็กน้อย มองเห็นว่าแมลงยักษ์นั่นทำลายทุกสรรพสิ่งอย่างโอหัง เขาก็กัดฟันกรอด ไม่ได้พูดอะไร แต่หมุนตัวบินออกไปยังเรือรบทงเทียนของสายธาราเทพที่อยู่บนแม่น้ำทงเทียนล่างตีนเขา

เวลาผ่านไปประมาณสิบกว่าลมหายใจ ขณะที่แมลงแห่งความตายตัวนั้นพ่นเมือกสีเขียวออกมาอีกครั้ง หนามตลอดร่างก็ถูกสะบัดกระจายอีกรอบ เสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดจากคนนับไม่ถ้วนลอยดังมา ไม่ว่านักพรตก่อกำเนิดของสำนักสยบธารจะขัดขวางอย่างไรก็ไร้ผล ทันใดนั้น…ปราณน่าตะลึงระลอกหนึ่งพลันระเบิดตูมออกมาจากบนเรือรบทงเทียนสายธาราเทพ…ที่อยู่บนแม่น้ำทงเทียน!

เมื่อปราณนี้ปรากฏ แมลงแห่งความตายสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง ไม่เพียงแต่มันเท่านั้นที่เป็นเช่นนี้ ตลอดทั้งสนามรบ นักพรตทุกคน ไม่ว่าจะรวมลมปราณหรือก่อกำเนิด บัดนี้ล้วนตัวสั่นสะท้านอย่างมิอาจควบคุมได้ แต่ละคนหน้าเผือดสี ตบะยุ่งเหยิงไม่เป็นระเบียบ

แม้แต่เด็กชายที่อยู่นอกกระท่อมไม้ผู้นั้น เวลานี้ก็ยังหน้าเปลี่ยนสีทันควัน สีหน้าของเขาเคร่งเครียดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ตอนที่มองไปยังเรือรบทงเทียน ลมหายใจของเขาก็พลันถี่กระชั้นหอบหนักขึ้นมา

“นี่คือ…”

ผู้เฒ่าที่อยู่ข้างกันกลับแค่หน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย ทว่านัยน์ตาก็แฝงไว้ด้วยความเหลือเชื่อไม่ต่างกัน

“อาวุธศักดิ์สิทธิ์ระดับสูง?!”

บนสนามรบ กงซุนหว่านเอ๋อร์ที่เดิมทียังมีสีหน้าผ่อนคลาย มาบัดนี้ร่างของนางพลันแข็งค้าง ดวงตาทั้งคู่ฉายประกายแสงหรุบรู่ จ้องเขม็งไปบนเรือรบทงเทียน

ทั้งสนามรบเงียบสงัดลงไปในบัดดล ต่อให้เป็นต้นไม้ปีศาจมะเดื่อฟ้าที่พยายามดิ้นรนสลัดให้หลุดจากมือทั้งสองข้างของบรรพบุรุษโลหิตอยู่ตลอดเวลา เวลานี้ก็ยังชะงักนิ่งไม่ไหวติง

บนเรือทงเทียน ในห้องลับที่ถูกแบ่งเขตไว้อย่างแน่นหนาถึงขีดสุด หันจงกำลังนั่งคุกเข่าคำนับอยู่ตรงนั้น เบื้องหน้าเขามีโลงศพหนึ่งโลง ในโลงคือซากศพของเด็กทารกหญิงผู้หนึ่ง เวลานี้ดวงตาทั้งคู่ของทารกหญิง…ไม่ได้ปิดเข้าหากันอีกต่อไป แต่กลายเป็นเบิกโพลง!

พลังอำนาจน่าหวาดกลัวก่อนหน้านี้ก็คือพลังที่ระเบิดออกในวินาทีที่ดวงตาทั้งคู่ของนางลืมขึ้น

“ขอเจินหลิงโปรดลงมือ ดับทำลายแมลงแห่งความตายตัวนี้!” หันจงตัวสั่นเทิ้ม เอ่ยปากด้วยเสียงอันดัง

แทบจะวินาทีเดียวกับที่เขาเปิดปาก ซากศพของทารกหญิงในโลงก็ได้…หายวับไป

มาปรากฏตัวอีกครั้งที่กลางอากาศนอกเรือทงเทียน!

กลางอากาศ เรือนกายของทารกหญิงยืนเงียบๆ อยู่ตรงนั้น นางเงยหน้ามองท้องฟ้า นัยน์ตาเผยความเลื่อนลอย และยังมีแววย้อนนึกความทรงจำ ยืนเงียบอยู่ตรงนั้นภายใต้สายตาคนนับหมื่นที่จับจ้องมองมา

จิตวิญญาณของทุกคนที่มองเห็นส่ายไหว ทั้งยังเกิดความรู้สึกอยากก้มลงกราบกราน ส่วนเด็กชายที่อยู่นอกกระท่อมไม้ ตอนนี้ก็…ตัวสั่นเช่นกัน

“นี่คือ…นี่คือ…” ลมหายใจของเด็กชายติดขัดกะทันหัน นัยน์ตาเผยความคาดไม่ถึง มากด้วยความตะลึงลานหวาดกลัว

ACAC

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version