บทที่ 390 คืนนี้ จับตัวอาจารย์โอสถป๋ายนั่นมา
“ข้าก็จะใช้ชีวิตแบบนี้เหมือนกัน!!” สวีเป่าไฉดวงตงก่ำไปหมด มองป๋ายเสี่ยวฉุนที่จากไปไกล ในใจก็เอ่ยคำพูดปลุกเร้าตัวเอง ขณะเดียวกันเสินซ่วนจื่อก็ยืดตัวขึ้น กระแอมหนึ่งครั้ง มองมายังสวีเป่าไฉ
“พี่สวี ไม่ได้เจอกันแค่ไม่กี่เดือน ทำไมเจ้าถึงได้น่าเวทนาถึงเพียงนี้เล่า”
สวีเป่าไฉได้ยินคำพูดนี้ในใจก็เดือดปรี๊ดขึ้นมา ตอนนั้นก็เพราะคำยั่วยุจาก
เสินซ่วนจื่อผู้นี้ เขาถึงได้เลือกที่จะจากไป แต่ตอนนี้รู้ดีว่าตนมิอาจแสดงความไม่พอใจออกมาได้ ดังนั้นจึงรีบทำหน้าตาขมขื่น ทว่าในใจกลับด่ากราด เสินซ่วนจื่อเองก็รู้สึกผิด พอเห็นท่าทางเช่นนี้ของสวีเป่าไฉจึงถอนหายใจยาวหนึ่งครั้ง
“เจ้าก็อย่าโทษข้าเลย ตอนนั้นข้าเองก็คำนวณไม่ได้เหมือนกันว่าบุรพาจารย์น้อยของพวกเราจะมีพลังที่น่าตกตะลึงได้ถึงเพียงนี้…ต้องเข้าใจว่าในนครฟ้าแห่งนี้ ตบะไม่ใช่ตัวแทนของทุกอย่าง” เสินซ่วนจื่อทอดถอนใจด้วยความปลงอนิจจัง ขณะเดียวกันก็จัดหาที่พักให้สวีเป่าไฉ ทั้งยังมอบคะแนนคุณความดีจำนวนไม่น้อยให้เป็นค่าขนมของเขาด้วย…
ตลอดทาง สวีเป่าไฉมองเสินซ่วนจื่อก็รู้ว่าตำแหน่งของเขาในพรรคมังกรเขียวอยู่ล่างคนคนเดียว อยู่เหนือคนทุกคน ไม่ว่านักพรตคนใดของพรรคมังกรเขียวที่ได้อาศัยอยู่ในถ้ำสถิตแห่งนี้ต่างก็เคารพนบนอบเสินซ่วนจื่ออย่างมาก
ภาพเหตุการณ์ทั้งหลายแหล่กระเทือนใจสวีเป่าไฉอีกครั้ง
เขานอนไม่หลับตลอดทั้งคืน พอเช้าตรู่วันที่สองมาถึง เขาก็เดินออกมาจากในห้องด้วยดวงตาแดงก่ำ สาบานกับตัวเองในใจอีกครั้ง
“ข้าจะต้องมีระดับความสำคัญในใจของบุรพาจารย์น้อยมากกว่าเสินซ่วนจื่อให้ได้!”
การมาถึงของสวีเป่าไฉไม่เพียงแต่ทำให้ผู้พิทักษ์ข้างกายของป๋ายเสี่ยวฉุนเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคน และเนื่องด้วยสวีเป่าไฉถูกกระตุ้นเร้าอย่างรุนแรงจึงยิ่งทำให้ระดับการตั้งใจทำงานของเขาเพิ่มขึ้นสูงสุด มีเขาอยู่ ด้วยความเชี่ยวชาญในการสืบข่าวและกระจายข่าว จึงทำให้ข้อพิพาทเรื่องข่าวลือของพรรคมังกรเขียวครั้งนี้ไม่ใช่แค่ทำได้เพียงป้องกันอีกต่อไป แต่ยังเริ่มโต้ตอบกลับจนค่อยๆ กลายมาเป็นรูปเป็นร่างที่แน่นอน
ครั้งนี้คุณงามความดีของสวีเป่าไฉมีสูงมาก เขาเองก็ทุ่มสุดชีวิตเพื่อระเบิดความสามารถทุกด้านของตัวเอง
และทางฝ่ายของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยิ่งว่างงานมากขึ้น เสินซ่วนจื่อคอยวางแผนจัดการให้อย่างลับๆ สวีเป่าไฉรับผิดชอบเรื่องการรายงานข่าว ทั้งยังมีลูกศิษย์ชุดส้มอีกหลายสิบคนที่เป็นหัวหน้ารับผิดชอบในด้านต่างๆ ทำให้โครงสร้างของพรรคมังกรเขียวยิ่งมั่นคง
การพัฒนาภายนอกไม่เพียงแต่ไม่ลดลง กลับยิ่งขยายใหญ่ ทำให้ปริมาณการขายยาหลอนประสาทยิ่งเพิ่มมากขึ้นจนน่าตกใจ
และช่วงเวลานี้ทางฝ่ายของพรรคท้องฟ้าเองก็ได้แอบวางแผนไว้มากมาย แต่แผนการเหล่านี้เมื่อนำมาใช้รับมือกับคนคนเดียวบางทีอาจจะได้ผลอยู่บ้าง ต่อให้เป็นองค์กรเล็กๆ องค์กรหนึ่งก็ยังถือว่ามีประโยชน์ แต่การพัฒนาของพรรคมังกรเขียวรวดเร็วเกินไป ความเร็วขนาดนี้ทำให้วิธีการเหล่านั้นของพรรคท้องฟ้าล้วนใช้ไม่ได้ผล
และเรื่องของข่าวลือเดิมทีเป็นเพียงหนึ่งขั้นตอนในแผนการของพวกเขาเท่านั้น ทว่าตอนนี้ เมื่อขั้นตอนนี้ล้มเหลวจึงส่งผลกระทบต่อแผนการขั้นอื่นๆ ทำให้ความโกรธแค้นที่พรรคท้องฟ้ามีต่อพรรคมังกรเขียวยิ่งเพิ่มพูน
แถมเรื่องนี้ยังออกหน้าออกตาไม่ได้มากด้วย พรรคท้องฟ้าเองก็ได้ศึกษายาหลอนประสาทของป๋ายเสี่ยวฉุน อีกทั้งพวกเขายังแน่ใจด้วยว่าหัวหน้าพรรคมังกรเขียวก็คืออาจารย์โอสถป๋ายผู้ที่สร้างสุดยอดยาปี้กู่ขึ้นมาในตอนนั้น
และพวกเขาก็ยังไปตรวจสอบประวัติความเป็นมาของป๋ายเสี่ยวฉุนแล้ว แต่ก็ไม่ได้อะไรกลับมา ส่วนสายลับที่พวกเขาวางตัวไว้ในพรรคมังกรเขียวก็ยังไม่สามารถสืบข่าวอะไรมาได้ในช่วงระยะเวลาสั้นๆ เพราะยังไงซะคนในพรรคมังกรเขียวที่รู้ตบะของป๋ายเสี่ยวฉุนก็มีไม่มาก ภายใต้การจัดการของเสินซ่วนจื่อ พวกคนเก่าคนแก่ที่อยู่ในพรรคจึงรู้ดีว่าอะไรควรไม่ควร ทุกคนต่างก็ปิดปากกันแน่นสนิท
เรื่องนี้ก็ทำให้พวกเขาเป็นกังวลกันมาก แต่ในสำนักอันตมรรคาฟ้าดารา การที่สืบหาที่มาของคนคนหนึ่งไม่เจอถือเป็นเรื่องปกติ ส่วนจะให้ตามหาโดยใช้เบาะแสของยาหลอนประสาทก็ไม่ต่างกัน เพราะว่ายาหลอนประสาทนี้พวกเขาได้มาโดยบังเอิญ จึงไม่รู้ที่มาของมัน และโลกแห่งการบำเพ็ญเพียรสายแม่น้ำตะวันออกก็กว้างใหญ่เกินไป เรื่องราวที่เกิดขึ้นในแม่น้ำตอนกลางจึงยังไม่สามารถแพร่มาถึงที่นี่ได้ในระยะเวลาสั้นๆ
ดังนั้นเมื่อพรรคท้องฟ้าเห็นพรรคมังกรเขียวยิ่งแผ่ขยายอิทธิพลไปอย่างกว้างใหญ่ไพศาล อีกทั้งจำนวนการขายยาหลอนประสาทของพรรคมังกรเขียวก็มากเกินกว่าพรรคท้องฟ้า ในที่สุดพวกเขาจึงทนไม่ไหวอีกต่อไป
หลังจากที่พรรคท้องฟ้าทำการปรึกษากันสั้นๆ ในที่ตั้งของพรรคกลางเมือง เดิมทีมีคนเสนอให้ใช้วิธีการบางอย่างที่ทำให้พรรคมังกรเขียวแตกแยกและล่มสลาย เพียงแต่ว่าต้องใช้เวลาสักเล็กน้อย ทว่าเมื่อถึงเวลานี้ก็มีเสียงฮึดฮัดเย็นชาเสียงหนึ่งดังลอยมา
“จะรออีกไม่ได้แล้ว ใช่ว่าพรรคท้องฟ้าของพวกเราจะใช้กำลังมาแก้ไขปัญหาไม่ได้ เพียงแต่พวกเราไม่อยากละเมิดกฎก็เท่านั้น ทว่าในเมื่อพรรคมังกรเขียวรนหาที่ตายถึงเพียงนี้…พวกเจ้าก็ไม่ต้องปรึกษากันอีกต่อไปแล้ว
หากเวลานานไป เกรงว่าจะทำให้คนมากมายลืมความสามารถของพรรคท้องฟ้าเรา คืนนี้ ไปจับตัวอาจารย์โอสถป๋ายผู้นั้นมา!”
“เราไม่รู้ที่มาของอาจารย์โอสถป๋ายผู้นั้น ตบะก็ไม่แน่ชัด เรื่องนี้…” มีคนกล่าวขึ้นด้วยความลังเล
“ใต้หล้านี้มีเรื่องมากมายที่เรามิอาจรู้ได้ แค่เจอเรื่องที่ไม่รู้เพียงเรื่องเดียวพวกเราก็ต้องหดหัวอย่างนั้นรึ ต่อให้ภูมิหลังของเขาจะใหญ่สักแค่ไหนมีหรือจะสู้ตระกูลคนฟ้าเบื้องหลังพรรคท้องฟ้าของเราได้? ต่อให้ตบะของเขาจะสูงสักแค่ไหนก็อย่าว่าแต่คนฟ้าก่อกำเนิดเลย ต่อให้รวมโอสถก็ยังเป็นไปไม่ได้ หากเป็นผู้แข็งแกร่งขอบเขตรวมโอสถจริง เขาก็คงบินขึ้นสายรุ้งไปนานแล้ว จะมัวมาเสียเวลาหลอมยาอยู่ทำไม!”
คำพูดนี้ดังขึ้นมา ทุกคนที่อยู่ในที่ตั้งพรรคท้องฟ้าจึงเงียบงันทันที ผู้ที่พูดมีตำแหน่งสูงเกินไป คนอื่นๆ ได้แต่มองหน้ากันไปมา ต่อให้รู้สึกว่าไม่ค่อยเหมาะเท่าไหร่นัก แต่กลับไม่มีใครกล้าพูดต่อ
ไม่นานตลอดทั้งพรรคท้องฟ้าก็ครึกโครมกันขึ้นมา ในพรรคท้องฟ้าไม่มีนักพรตรวมโอสถ ที่แข็งแกร่งมากที่สุดก็คือขั้นโอสถปลอมที่ขยับจากสร้างฐานรากขั้นสมบูรณ์แบบไปอีกหนึ่งขั้น (โอสถปลอมอยู่ระหว่างสร้างฐานรากขั้นสมบูรณ์แบบกับรวมโอสถ ยังไม่ถึงรวมโอสถ แต่เก่งกว่าสร้างฐานรากขั้นสมบูรณ์เล็กน้อย) เพราะยังไงซะในนครฟ้าก็มีแค่ลูกศิษย์แดงส้มสองสีเท่านั้น หากสวมชุดเหลืองเมื่อใดก็จะบินขึ้นสูง ไม่ลงมาง่ายๆ
การรับมือกับป๋ายเสี่ยวฉุนครั้งนี้ นักพรตโอสถปลอมเคลื่อนพลกันนับสิบคน ทั้งยังมีสร้างฐานรากขั้นสมบูรณ์แบบอีกหลายสิบคน และสร้างฐานรากช่วงท้ายอีกหลายคน
ทุกคนแฝงตัวเข้าไปในเมืองเหนือยามค่ำคืน ตรงดิ่งไปยังถ้ำที่ตั้งของพรรคมังกรเขียว
พละกำลังชุดนี้มากพอจะกวาดทำลายอิทธิพลเล็กๆ มากมายในนครฟ้าได้
พวกเขาเคลื่อนที่รวดเร็วราวกับบิน อีกทั้งครั้งนี้ยังเป็นการลอบโจมตีอย่างกะทันหัน ใช้พลังที่รวดเร็วราวสายฟ้าแลบจับตัวป๋ายเสี่ยวฉุนมาตั้งแต่ที่พรรคมังกรเขียวยังไม่ทันตั้งตัว หากไม่สามารถจับเป็นก็จับตายได้เลย
คืนนี้เดือนมืดลมพัดแรง ป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังนั่งขัดสมาธิฝึกคาถาหันเหมินเลี้ยงความคิดอยู่ในถ้ำ จากการฝึกฝนในช่วงที่ผ่านมา เขาเกือบจะเข้าใกล้จุดสูงสุดของความเย็นระดับล่างแล้ว
เวลานี้นอกร่างของเขามีไอความเย็นบีบคั้น ทำให้ผนังรอบด้านจับตัวกันเป็นน้ำค้างแข็งชั้นแล้วชั้นเล่า ยังดีที่ป๋ายเสี่ยวฉุนฝึกฝนอยู่ด้านใน มิฉะนั้นหากไอความเย็นนี้แผ่ออกไปด้านนอกก็สามารถทำให้นักพรตสร้างฐานรากตัวแข็งได้เลย
ท่ามกลางการฝึกบำเพ็ญตบะนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนตั้งสมาธิมั่น ทว่าทันใดนั้นดวงตาทั้งคู่ของเขาก็ค่อยๆ เปิดขึ้นอย่างเชื่องช้า เงยหน้ามองไปด้านนอกด้วยสีหน้าเหยเกเล็กน้อย ไอแห้งๆ หนึ่งครั้ง ไม่ได้สนใจ เลือกที่จะทำสมาธิต่อไป
หลังจากที่ป๋ายเสี่ยวฉุนหลับตาลงได้ไม่นาน นอกถ้ำก็มีเงาดำมากมายพุ่งเข้ามาใกล้ด้วยความรวดเร็ว ครู่เดียวก็มาถึงถ้ำสถิต พอมองหน้ากันครั้งหนึ่งพวกเขาก็บุกพรวดเข้าไปด้านใน เพิ่งจะบุกเข้ามา ค่ายกลนอกถ้ำของพรรคมังกรเขียวก็เปิดขึ้นทันใด
แทบจะวินาทีเดียวกับที่ค่ายกลเปิดออก เสียงกัมปนาทก็ดังขึ้น นักพรตของพรรคท้องฟ้าอาศัยพลังที่แข็งแกร่งของคนมากมายฝ่าทะลุค่ายกลเข้าไปด้านใน พรรคมังกรเขียวเองก็ตั้งรับว่องไว เสียงคำรามแหบแห้งดังลั่น เสียงเวทคาถาแผ่กระจายไปสี่ทิศ
“ไสหัวไป!” นักพรตโอสถปลอมสิบคนที่อยู่ด้านหน้า บุกเข้ามาเข่นฆ่าอย่างดุดัน การลอบโจมตีอย่างกะทันหันของพวกเขา
ต่อให้พรรคมังกรเขียวจะมีการเตรียมพร้อมมากแค่ไหนก็ยังรับมือไม่ทัน ได้แต่ถอยร่นต่อเนื่อง ผู้นำหลายคนของพรรคมังกรเขียวก็ยิ่งจำนักพรตที่แข็งแกร่งสิบคนนี้ได้
“ขอบเขตโอสถปลอม!” ขณะที่หัวหน้าเหล่านี้สูดลมหายใจเฮือกใหญ่ด้วยความตกใจ นักพรตโอสถปลอมสิบคนนั้นก็ทำลายล้างทุกอย่างจนเข้ามาใกล้
“ผู้นำมังกรเขียวอยู่ห้องนั้น!” เวลาเดียวกันนั้น สายลับที่พรรคท้องฟ้าจัดตัวไว้ในพรรคมังกรเขียวก็ทยอยกันปรากฏตัวชี้บอกทิศทาง ขณะเดียวกันนักพรตโอสถปลอมสิบคนนั้นก็เผยความลำพองใจออกมาทางสีหน้า กลายร่างเป็นรุ้งเส้นยาวตรงดิ่งเข้าหาที่พักของป๋ายเสี่ยวฉุนในพริบตาเดียว นักพรตโอสถปลอมหกคนที่อยู่หน้าสุดพกพาเอาความดุร้ายและดูหมิ่นบุกพรวดเข้าไปโดยไม่คิดจะหยุดชะงัก
อีกสี่คนที่เหลือรออยู่ข้างนอกเพื่อคอยห้ามไม่ให้ใครเข้ามาช่วยเหลือ
“ผ่านคืนนี้ไป มังกรเขียวก็คือมังกรที่ไร้หัว!” นักพรตโอสถปลอมหนึ่งในนั้นพูดอย่างจองหอง
ทุกคนล้วนมองเห็นภาพเหตุการณ์นี้ นักพรตของพรรคมังกรเขียวร้อนใจขึ้นมาทันใด ทว่านักพรตพรรคท้องฟ้ากลับหัวเราะเสียงเย็น พวกเขาทำภารกิจเสร็จเรียบร้อยแล้ว รอแค่เสียงกัมปนาทดังหนึ่งครั้ง จากนั้นก็จะถอยทัพกลับทันที
ทว่าเวลานี้เอง…เสียงกัมปนาทที่ทุกคนรอคอยกลับไม่ได้ดังออกมาจากในที่พักของป๋ายเสี่ยวฉุน นักพรตโอสถปลอมหกคนที่บุกเข้าไปก่อนหน้านี้พอเข้าไปแล้วกลับเงียบกริบ แม้แต่เสียงต่อสู้ก็ยังไม่ดังมาให้ได้ยิน เงียบสนิทราวกับป่าช้า!
ภาพนี้ทำให้ทุกคนที่อยู่รอบด้านอึ้งค้าง เสินซ่วนจื่อและสวีเป่าไฉก็อยู่ในกลุ่มคนเช่นกัน ดวงตาของคนทั้งสองต่างก็แฝงความเหยียดหยามเอาไว้
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น…” ทุกคนสูดลมหายใจเฮือกใหญ่ ตอนที่มองมายังที่พักของป๋ายเสี่ยวฉุนก็แอบรู้สึกได้ถึงความไม่ชอบมาพากล
ภายในห้องที่มองดูเหมือนธรรมดาทั้งยังผุพังน้อยๆ นั่นมืดมิด คล้ายปากขนาดใหญ่ที่อ้ากว้าง ทำให้ทุกคนหนาวเยือกอย่างอดไม่ได้
นักพรตโอสถปลอมอีกสี่คนที่อยู่ด้านนอกยามนี้ลมหายใจถี่รัว หลังจากมองหน้ากันไปมาก็กัดฟันกรอด หากจากไปทั้งแบบนี้ พวกเขาไม่มีคำอธิบายให้กับพวกผู้นำ
ตอนนี้จึงได้แต่มองหน้ากันไปมาแล้วบินออกไปพร้อมกัน คนทั้งสี่รวมพลังเข้าไปใกล้ห้องแห่งนั้น ต้องการดูให้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทว่าขณะที่พวกเขาเข้าไปใกล้นั้นเอง ทันใดนั้นไอความเย็นระลอกหนึ่งก็แผ่ซ่านออกมาจากในห้องแล้วแผ่ขยายไปรอบด้านอย่างรวดเร็ว
คนทั้งสี่ถูกไอความเย็นปกคลุม ร่างของพวกเขาถูกปิดผนึกน้ำแข็งในชั่วพริบตา แต่ละคนเบิกตากว้าง เผยความเหลือเชื่อ มีเพียงนักพรตโอสถปลอมคนหนึ่งในนั้นที่ตอนถูกปิดผนึกน้ำแข็งร่างมีแสงสีแดงเส้นหนึ่งแผ่ออกมา ซึ่งมาจากยันต์แผ่นหนึ่งที่เวลานี้กำลังลุกไหม้ อาศัยพลังการลุกไหม้ นักพรตผู้นี้จึงพอฝืนถอยหลังออกมาด้วยสีหน้าซีดขาว ดวงตาทั้งคู่แฝงไว้ด้วยความตะลึงพรึงเพริดและตกตะลึง ร้องอุทานเสียงหลง
“รวมโอสถ!!”