Skip to content

A Will Eternal 391

บทที่ 391 สหายนักพรต เจ้าคือจางต้าไห่หรือไม่

นักพรตผู้นี้ได้แค่เอ่ยสามคำออกมาเท่านั้น พริบตาเดียวร่างของเขาก็ถูกไอความเย็นปกคลุมไปทั่วอีกครั้งจนกระดุกกระดิกไม่ได้ ทว่าเสียงของเขาที่ดังออกมากลับทำให้พรรคมังกรเขียวและพรรคท้องฟ้าที่อยู่ด้านนอกส่งเสียงฮือฮากันไปหมด

“ว่าไงนะ!!”

“รวมโอสถ…สวรรค์ หัวหน้าพรรคมังกรเขียวมีตบะถึงรวมโอสถเชียวหรือนี่!!”

“ตลอดทั้งนครฟ้ามีรวมโอสถอยู่แค่ไม่กี่คน รวมโอสถต้องไปอยู่กันที่สายรุ้งหมดแล้วมิใช่หรือ!!”

“สมควรตายเอ๊ย ข้าไม่เคยเจอรวมโอสถคนไหนไร้ยางอายขนาดนี้มาก่อน ทั้งๆ ที่สามารถไปทำภารกิจได้ แต่กลับมาสร้างองค์กรหาคะแนนความดีอยู่ที่นี่!!” เสียงฮือฮาดังเซ็งแซ่ นักพรตสร้างฐานรากของพรรคท้องฟ้าที่มายังที่แห่งนี้ต่างหน้าถอดสี รีบถอยกรูดหมายจะหนีไป

เผชิญหน้ากับนักพรตรวมโอสถ ต่อให้พวกเขามีจำนวนคนมากแค่ไหนก็ยังสู้ไม่ได้อยู่ดี เวลานี้ในสมองจึงมีแค่ความคิดเดียวนั่นคือ รีบหนีไปให้เร็วที่สุด

ทว่าป๋ายเสี่ยวฉุนมีหรือจะยอมปล่อยให้พวกเขาจากไป เสียงแค่นเย็นชาเสียงหนึ่งที่ดังมาจากในห้องของเขากลายมาเป็นเสียงอสนีบาตซึ่งระเบิดดังสะท้านอยู่ในหูของนักพรตพรรคท้องฟ้าทุกคน

เสียงโหยหวนดังสะท้อน นักพรตเหล่านี้แต่ละคนร่างบิดเบี้ยวอยู่กลางอากาศ ตบะในร่างไม่มั่นคง ร่วงลงมาบนพื้นอย่างมิอาจควบคุมได้ แล้วจึงถูกนักพรตพรรคมังกรเขียวจับกุมตัวคนทั้งหมดไว้ด้วยความฮึกเหิมตื่นเต้น

เพียงแค่นเสียงครั้งเดียวก็สามารถทำได้ขนาดนี้ นี่ทำให้ทุกคนที่มองดูอยู่จิตใจสะท้านไหว

โดยเฉพาะนักพรตสร้างฐานรากของพรรคท้องฟ้าที่ถูกจับตัวเอาไว้ก็ยิ่งตัวสั่น พวกเขาไม่เคยสัมผัสกับรวมโอสถมาก่อน ทว่าในสายตาของพวกเขา ป๋ายเสี่ยวฉุนน่ากลัวยิ่งกว่ารวมโอสถทั้งหมดที่พวกเขาเคยพบเห็นมากมายนัก

ตั้งแต่ต้นจนถึงกระทั่งตอนนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนที่อยู่ในห้องนั้นไม่ได้เดินออกมาแม้แต่ครึ่งก้าว มีเพียงร่างของนักพรตเสมือนโอสถหลายคนที่ถูกโยนออกมา

ทว่ายิ่งเป็นเช่นนี้ ใจของทุกคนในพรรคมังกรเขียวก็ยิ่งรู้สึกว่าหัวหน้าพรรคของพวกเขาลึกลับสุดจะหยั่ง ยิ่งน่าหวาดหวั่นพรั่นพรึง ขณะเดียวกัน ความรู้สึกตะลึงพรึงเพริดและหวาดกลัวของพรรคท้องฟ้าก็ยิ่งเข้มข้นอย่างหาที่เปรียบมิได้

สำหรับป๋ายเสี่ยวฉุนแล้ว เรื่องราวในครั้งนี้ทำให้เขารู้สึกสบายอุราอย่างถึงที่สุด เขาไม่รู้สึกสักนิดว่าตัวเองใช้ตบะยาอายุวัฒนะไปรังแกนักพรตสร้างฐานรากที่อ่อนแอกว่า กลับยังคาดหวังให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นบ่อยๆ ด้วยซ้ำ

“ข้าไม่ได้เป็นคนลงมือก่อนสักหน่อย พวกเขามาหาเรื่องข้าเอง” ป๋ายเสี่ยวฉุนคิดอย่างลำพองใจ และก็รู้ว่าเรื่องที่ตนเป็นนักพรตรวมโอสถคงปิดบังต่อไปไม่ได้อีกแล้ว ไม่นานก็คงแพร่ไปทั่วทั้งนครฟ้า

“เป็นแบบนี้ก็ดี เดิมทีข้าก็กะว่าจะหาโอกาสเปิดเผยเรื่องนี้เร็วๆ นี้อยู่แล้ว พอเป็นเช่นนี้ก็ยิ่งช่วยให้การเติบโตของพรรคมังกรเขียวราบรื่นมากยิ่งขึ้น” ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกว่าตัวเองรู้จักวางแผนและพลิกแพลงได้ดี

ร้ายกาจอย่างมาก เวลานี้จึงหัวเราะด้วยความภาคภูมิใจแล้วหลับตาบำเพ็ญตบะต่อไป

เรื่องราวด้านนอกย่อมมีเสินซ่วนและสวีเป่าไฉเป็นผู้จัดการให้อยู่แล้ว คนทั้งสองจัดการจับตัวของนักพรตพรรคท้องฟ้าทุกคนไปไว้แล้วก็เริ่มวางแผนมากมายทันที

เมื่อวันที่สองมาถึง ในสี่เขตเมืองของนครฟ้าก็มีคนไม่น้อยได้ยินเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนวาน ต่างก็หยิบยกขึ้นมาพูดอย่างออกรสออกชาติราวกับอยู่ในเหตุการณ์นั้นเอง

“ได้ยินหรือยัง เมื่อคืนวานพรรคท้องฟ้าระดมนักพรตเสมือนโอสถสิบคน สร้างฐานรากขั้นสมบูรณ์แบบอีกหลายสิบคน และยังมีสร้างฐานรากช่วงท้ายอีกจำนวนมากไปโจมตีพรรคมังกรเขียวกะทันหัน ผลกลับแพ้ราบคาบ ทุกคนที่ไปล้วนถูกพรรคมังกรเขียวจับตัวเอาไว้หมด!”

“จะเป็นไปได้อย่างไร…”

“ทำไมจะเป็นไปไม่ได้ ยังมีข่าวที่น่าตกใจยิ่งกว่านี้อีกนะ เขาว่ากันว่าผู้นำของพรรคมังกรเขียว เป็นถึง…นักพรตรวมโอสถ!!” เวลาสั้นๆ เพียงแค่หนึ่งวัน ข่าวลือเช่นนี้กลับครึกโครมไปทั่วทั้งนครฟ้า ได้รับความสนใจจากคนจำนวนนับไม่ถ้วน

เพราะยังไงซะในนครฟ้าแห่งนี้ก็มีนักพรตรวมโอสถน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย ทุกคนไม่ต้องการมาเปลืองเวลาอยู่ข้างนอก และยิ่งไม่มีใครพึ่งพาองค์กรใดๆ พวกเขาแค่ทำภารกิจเล็กน้อยก็สามารถสะสมคะแนนคุณความดีและบินขึ้นไปอยู่บนสายรุ้งได้อย่างรวดเร็ว

เพราะแท้จริงแล้วมหานครใหญ่ทั้งสี่ใต้น้ำตกแห่งนี้ก็เป็นเพียงรอบนอกของสำนักอันตมรรคาฟ้าดารา เทียบได้กับลูกศิษย์ฝ่ายนอกของสำนักอื่นๆ เท่านั้น

เมื่อเรื่องนี้แพร่ออกไป ชื่อเสียงของพรรคมังกรเขียวจึงขจรไกลในชั่วพริบตา เวลาเดียวกันนั้นในพรรคท้องฟ้าก็ยิ่งสะท้านสะเทือน ในที่ตั้งของพรรคมีเสียงคำรามเดือดดาลดังสนั่นหวั่นไหว และหลายวันหลังจากนั้น ในที่สุดพรรคท้องฟ้าก็ส่งทูตให้นำคะแนนคุณความดีสูงลิบลิ่วมาไถ่ตัวพวกนักพรตที่ถูกจับกลับคืนไปจากพรรคมังกรเขียว

เรื่องนี้ถึงได้ยุติลงไปชั่วคราว ส่วนพรรคท้องฟ้าเองก็สงบนิ่งลงมาได้ ใช่ว่า

ป๋ายเสี่ยวฉุนจะไม่อยากแก้ไขปัญหาให้เสร็จไปในทีเดียว เพียงแต่ว่าถึงแม้พรรคท้องฟ้าจะไม่มีรวมโอสถ ทว่าเมื่อป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่ในนครฟ้านานวันเข้า ความเข้าใจที่เขามีต่อพรรคท้องฟ้าก็ยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ

หรือจะพูดให้ชัดเจนก็คือพรรคท้องฟ้านั้นไม่คณามือเขาแม้แต่นิดเดียว แค่เขาคนเดียวก็สามารถดับทำลายได้ง่ายๆ เพียงแต่ว่าพรรคท้องฟ้านี้เป็นผู้รับใช้ของตระกูลคนฟ้า และคนฟ้าผู้นี้…ก็คือเด็กชายที่พาป๋ายเสี่ยวฉุนมาที่นี่

หลังจากป๋ายเสี่ยวฉุนรู้เรื่องพวกนี้แล้วจึงล้มเลิกความคิดที่จะทำลายพรรคท้องฟ้าไปในทันที

เวลาเดียวกันนั้น เมื่อเรื่องนี้ยิ่งบ่มตัวนาน การขยายตัวของพรรคมังกรเขียวก็ยิ่งกว้างใหญ่จนถึงระดับที่น่าเหลือเชื่อ

เวลาเพียงไม่กี่เดือน ยาหลอนประสาทของป๋ายเสี่ยวฉุนยิ่งขายก็ยิ่งได้มาก ยิ่งทำก็ยิ่งเพิ่มปริมาณจนแผ่ไปทั่วเขตเมืองใหญ่ทั้งสี่ ขนาดของพรรคมังกรเขียวก็ขยายใหญ่จนถึงระดับที่ทำให้ทุกคนรู้สึกหวาดกลัว

เมื่อคะแนนคุณความดีสะสมอย่างต่อเนื่อง ไม่เพียงแต่ดึงดูดให้นักพรตจำนวนมากมาขออาศัยเข้าเป็นพวก แม้แต่ตระกูลเล็กๆ รวมไปถึงองค์กรบางส่วนในนครฟ้าต่างก็พากันมาพึ่งพิง

คะแนนคุณความดีมากมหาศาล หัวหน้าพรรคคือขอบเขตรวมโอสถ ทั้งหมดทั้งมวลนี้ทำให้เวลาไม่ถึงหนึ่งปี พรรคมังกรเขียวก็ได้เปลี่ยนจากองค์กรเล็กๆ องค์กรหนึ่งกลายมาเป็นพรรคใหญ่อันดับสองในนครฟ้า!

มาถึงเวลานี้ถ้ำสถิตของพรรคมังกรเขียวก็ได้ย้ายไปอยู่แห่งใหม่นานแล้ว แม้จะยังคงอยู่ในเมืองเหนือ ทว่ากลับยึดครองพื้นที่ที่ดีที่สุด

หากไม่เป็นเพราะที่ดินและถ้ำสถิตทั้งหมดในนครฟ้าไม่สามารถซื้อครองได้ เกรงว่าด้วยความแข็งแกร่งของพรรคมังกรเขียวตอนนี้คงซื้อมาไว้นานแล้ว ทว่าเวลานี้กลับทำได้เพียงเช่าอยู่เท่านั้น

ส่วนป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็ไม่ยุ่งวุ่นวายอีกต่อไป เพราะมีอาจารย์โอสถจำนวนมากคอยช่วยหลอมยา ส่วนป๋ายเสี่ยวฉุนแค่รักษาความลับเรื่องตำรับยาเท่านั้น

ทว่าเสินซ่วนจื่อและสวีเป่าไฉกลับยุ่งหัวหมุนตลอดทั้งวัน ป๋ายเสี่ยวฉุนเห็นอยู่ในสายตาก็ไพล่นึกไปถึงคนอื่นๆ แล้วก็รู้สึกแปลกใจมาก ด้วยการพัฒนาของตนในตอนนี้ พวกเขาก็ไม่น่าจะไม่รู้มิใช่หรือ…

“ซ่งเชวียต้องออกไปทำภารกิจข้างนอกแน่นอน ถ้าเขาไม่รู้ก็ถือว่าสมเหตุสมผล แต่ศิษย์พี่ใหญ่ไม่น่าจะไม่รู้นี่นา ทำไมถึงไม่มาหาข้านะ?”

ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังสงสัย เฉินม่านเหยาก็มาหาเขา เมื่อหญิงสาวผู้นี้ปรากฏตัวก็เอ่ยอ้างว่ากับคนอื่นว่าตนคือคู่บำเพ็ญเพียรของหัวหน้าพรรคมังกรเขียว ทั้งยังแสดงตัวในฐานะฮูหยินป๋าย ด้วยอิทธิพลยิ่งใหญ่ของพรรคมังกรเขียวในตอนนี้ หัวหน้าพรรคมังกรเขียวก็ยิ่งเป็นเหมือนดวงตะวันกลางท้องฟ้า ทำให้คนมากมายเชื่อในคำพูดของเฉินม่านเหยา มิกล้าล่วงเกินจนถึงขั้นพาตัวนางมาส่งถึงต่อหน้าป๋ายเสี่ยวฉุน

พอป๋ายเสี่ยวฉุนเห็นเฉินม่านเหยาและรู้ที่มาที่ไปของเรื่องราวก็รู้สึกปวดหัวอย่างมาก ไล่ยังไงหญิงสาวผู้นี้คงไม่ยอมไปไหน ป๋ายเสี่ยวฉุนจึงได้แต่ถอนหายใจ โบกมือหนึ่งครั้ง ให้นางมาอยู่ด้วยอย่างคนใจกว้าง

หลังจากที่เฉินม่านเหยาได้อยู่ต่อ นางก็ยังคงแสดงตัวกับคนนอกว่าตนคือคู่บำเพ็ญตบะของป๋ายเสี่ยวฉุน ทำให้ตลอดทั้งพรรคมังกรเขียวเคารพนับถือนางอย่างมาก ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็คร้านจะสนใจ ครุ่นคิดถึงจางต้าพั่งก็รู้สึกกังวลเรื่องความปลอดภัยของเขาเล็กน้อย ดังนั้นจึงออกคำสั่ง ระดมพลของพรรคมังกรเขียวให้ไปตามหาจางต้าพั่ง ส่วนชื่อที่ใช้แน่นอนว่าไม่ใช่จางต้าพั่ง แต่เป็นจางต้าไห่ชื่อเดิมของเขา

ด้วยขนาดของพรรคมังกรเขียว มีอิทธิพลมากมายมาพึ่งพิง คิดจะตามหาคนคนหนึ่งนั้นง่ายมาก ยิ่งเป็นคำสั่งของหัวหน้าพรรคมังกรเขียวเองด้วยแล้ว นักพรตจำนวนนับไม่ถ้วนก็ล้วนรู้สึกว่านี่คือโอกาสอันดีครั้งหนึ่ง ดังนั้นจึงพากันระดมกำลังตามหาจางต้าพั่งทันที

แม้แต่พรรคท้องฟ้าก็ยังเคลื่อนพลแอบตามหาอย่างลับๆ เช่นกัน เป้าหมายนั้นไม่ต้องบอกก็รู้กันอยู่ ทว่าเรื่องนี้ไม่มีหนทางอื่นอีกแล้ว ก่อนหน้านี้ป๋ายเสี่ยวฉุนก็เคยลังเล แต่เพราะเป็นห่วงมากจริงๆ จึงทำได้แค่ส่งคนไปคอยจับตามองพรรคท้องฟ้าเท่านั้น

ท่ามกลางขั้นตอนการตามหาจางต้าพั่งไปทั่วเมืองนี้ ในเขตเมืองตะวันตกมีตระกูลผู้บำเพ็ญเพียรเล็กๆ ตระกูลหนึ่ง หัวหน้าตระกูลแห่งนี้ก็เพิ่งจะพึ่งพิงพรรคมังกรเขียว กลายมาเป็นหัวหน้าเล็กๆ คนหนึ่ง เขาเองก็ได้รับคำสั่งให้ตามหาจางต้าพั่งเช่นกัน โดยเฉพาะหลังจากได้ยินคำอธิบายที่มีต่อจางต้าพั่ง หัวหน้าเล็กๆ คนนี้ก็เหงื่อแตกพลั่กทันที

เขาแอบรู้สึกว่าคนผู้นั้นที่ผู้นำพรรคมังกรเขียวพูดถึงช่างคล้ายคลึงกับอาจารย์หลอมพลังจิตแซ่จางที่ตนจับมาเมื่อครึ่งปีก่อนยิ่งนัก…ตอนนั้นอาจารย์หลอมพลังจิตผู้นี้ทำอาวุธชิ้นหนึ่งของเขาพัง ด้วยความโกรธเคือง หัวหน้าเล็กๆ คนนี้จึงโยนเขาไปไว้ในสถานที่ที่ใช้หลอมพลังจิตโดยเฉพาะ ให้เขาหลอมพลังจิตทั้งวันทั้งคืนเพื่อชดเชยความเสียหายของตนเอง

เรื่องเช่นนี้ขอแค่เขาไม่ฆ่าแกงใคร สำนักอันตมรรคาฟ้าดาราย่อมไม่สนใจอย่างแน่นอน เพียงแต่ว่าภายหลังเวลานานวันเข้า เขาเองก็ลืมเรื่องนี้ไปแล้วเช่นกัน ตอนนี้พอยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าคือคนผู้นั้น หัวหน้าเล็กๆ คนนี้ก็สั่นสะท้านไปทั้งตัว

เขาจำได้ว่าตอนนั้นตัวเองกำชับไว้ว่าขอแค่คนผู้นี้ไม่ตายก็ต้องให้เขาหลอมพลังจิตต่อไป ตอนนี้พอนึกขึ้นมาได้เขาก็รู้สึกเสียใจอย่างสุดซึ้ง ร่างเขาสั่นเทิ้ม กลัวว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีกับจางต้าพั่งขึ้นมา

ดังนั้นจึงรีบห้อตะบึงไปยังสถานที่หลอมพลังจิตทันที เพิ่งจะมาถึงที่นี่เขาก็มองเห็นจางต้าพั่งที่ผอมแห้งราวกับซากคน ดวงตาทั้งคู่ที่ไร้ชีวิตชีวากำลังถือกระบี่บินเล่มหนึ่งด้วยท่าทางซึมกะทือ ข้างกายมีคนรับใช้คนหนึ่งกำลังตวาดด่าเขาอย่างดุดัน

“เร็วๆ เข้าสิ หากเจ้าหลอมกระบี่บินเล่มนี้พังอีก นายท่านจะให้เจ้า…”

คนใช้ผู้นั้นเพิ่งพูดมาถึงตรงนี้ก็พลันเห็นว่าประมุขของตระกูลมาเยือน ใบหน้าจึงรีบเปลี่ยนมาเป็นยิ้มประจบสอพลอ กำลังจะคารวะ หัวหน้าตระกูลเล็กๆ ผู้นี้ก็ตบเขาจนลอยกระเด็นออกไปพร้อมเสียงดังตูม ท่ามกลางเสียงร้องโหยหวนของคนรับใช้ผู้นั้น ร่างของเขาก็ถูกพัดจนกระเด็นออกไปไกลสิบกว่าจั้ง

“พูดอะไรของเจ้า สมควรตายยิ่งนัก เจ้าบังอาจปฏิบัติกับแขกผู้ทรงเกียรติของข้าเช่นนี้ได้อย่างไร!”

ภาพนี้ยิ่งทำให้จางต้าพั่งตัวสั่น รีบหันมามองยังประมุขตระกูลเล็กๆ นั่นทันที

ประมุขตระกูลผู้นี้ตื่นเต้นยิ่งกว่าจางต้าพั่งเสียอีก เขารีบเดินหน้าขึ้นมาประคองจางต้าพั่ง เอ่ยถามหนึ่งประโยคด้วยความระมัดระวัง

“สหายนักพรต เจ้าคือจางต้าไห่หรือไม่?”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version