Skip to content

A Will Eternal 40

บทที่ 40 แสวงหาความประณีตถึงขีดสุด

ป๋ายเสี่ยวฉุนเดินคลอเพลงกลับเข้ามาในสำนักอย่างเบิกบานใจ เมื่อกลับมาถึงลานที่พัก เขายังทอดถอนใจอยู่พักหนึ่ง

“บำเพ็ญตบะก็เพื่อเป็นอมตะ คนพวกนี้นี่นะ เอาแต่รบราฆ่าฟันกันอยู่เรื่อย สมองมีปัญหารึไง”

ในที่พัก ป๋ายเสี่ยวฉุนจัดการกับถุงของพวกเฉินเฟยสามคนอยู่ครู่หนึ่ง สามคนนี้ไม่ร่ำรวยเอาเสียเลย กระเป๋าเงินแฟบแบน ป๋ายเสี่ยวฉุนได้ผลพวงมาไม่มาก แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจ เขาหยิบเอาสมุนไพรเหล่านั้นที่ตนเองซื้อออกมาถือไว้ในมือพินิจดูอย่างละเอียด ดูอย่างตั้งใจมากทุกชิ้น

แม้ว่าเขาจะมีพื้นฐานด้านพืชหญ้าที่แน่นมาก แต่กลับไม่ค่อยมีโอกาสได้สัมผัสกับของจริงเท่าไหร่นัก เวลานี้เมื่อได้สังเกตดูจึงค่อยๆ เอามาปะติดปะต่อกับความรู้ในหัวสมอง บางครั้งเขายังถึงขั้นกรีดพืชเหล่านั้นออกดู เพื่อสังเกตโครงสร้างภายในของพวกมันอย่างละเอียดอีกด้วย

หลังจากพิสูจน์ทีละอันแล้ว ป๋ายเสี่ยวฉุนเกิดความคิดบางอย่าง จึงหยิบตำรับยาสองแผ่นที่ซื้อไว้ออกมา ตำรับยาเสริมพลังวิญญาณเขาแค่กวาดตามองแวบเดียวเท่านั้น ไปให้ความสำคัญกับตำรับยาที่สามารถทำให้คนธรรมดามีร่างกายแข็งแรง

“ธูปอายุยืน…” ป๋ายเสี่ยวฉุนพึมพำเสียงเบา พืชที่จำเป็นสำหรับตำรับยานี้มีไม่มาก มีเพียงแค่เจ็ดชนิด เมื่อเอามารวมเข้ากันแล้วก็ไม่มีจุดพิเศษอะไร เพียงแต่ต้องใช้หลักการพิชิตกันและกัน กระตุ้นพลังของทั้งเจ็ดชนิดนี้ให้ออกมา แล้วแปลงเป็นผง รวมตัวกันเป็นธูป

โดยเฉพาะสองชนิดที่อยู่ในนั้นเป็นวัตถุที่มีพิษ แม้ว่าจะไม่ใช่พิษร้ายแรงอะไร สำหรับผู้บำเพ็ญเพียรแล้วอย่างมากก็แค่ถ่ายท้องครึ่งเดือน แต่สำหรับคนธรรมดากลับร้ายแรงถึงชีวิตได้เลย

“พืชหญ้าวิเศษระหว่างฟ้าดินมีมากมาย บางชนิดสามารถนำมาใช้ได้โดยตรง บางชนิดสามารถนำมาหลอมเป็นยาเพื่อให้ผลลัพธ์ดียิ่งกว่าเดิม แต่ก็มีหลายชนิดที่เพราะมีพิษ ดังนั้นจึงทำได้เพียงนำมาหลอมเป็นธูป” ระหว่างที่พึมพำ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็สำรวจพืชที่ใช้หลอมธูปอายุยืนทีละอันอย่างละเอียด จนกระทั่งเข้าใจทั้งเจ็ดชนิดนี้ได้อย่างละเอียดลึกซึ้ง

“ก็ยังไม่แน่นอนอยู่ดี จุดสำคัญของการหลอมยาคืออัตราการหลอมสำเร็จ แม้ว่าจะเป็นยาวิเศษระดับหนึ่งที่ง่ายที่สุด แต่ก็ยังคงมีอัตราการล้มเหลวสูงมากอยู่ดี”

“พืชหญ้าพวกนี้ที่ข้ามี แต่ละชนิดมีเพียงสิบชิ้น จะใช้อย่างสิ้นเปลืองไม่ได้” ป๋ายเสี่ยวฉุนมีนิสัยระมัดระวัง ทุกอย่างที่ทำต้องมั่นคง เมื่อท่องจำพืชหญ้าก็ต้องทำได้ถึงขั้นเข้าใจลึกซึ้ง เวลานี้ก่อนที่จะหลอมยา เขาก็เป็นเช่นเดิม ไม่ได้หลอมยาทันที แต่ศึกษาตำรับยาก่อน

เวลาผ่านไปแต่ละวัน เจ็ดวันให้หลัง หลังจากที่เขาเข้าใจตำรับยาทะลุปรุโปร่งหมดแล้ว เมื่อหลับตาในสมองก็มีการวิเคราะห์อนุมานอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งถึงช่วงสายันห์ถึงได้ลืมตาขึ้นมา พอคิดดูแล้วก็หยิบเอาตำรับยาเสริมพลังวิญญาณออกมาศึกษาอีกครั้ง

จนกระทั่งครึ่งเดือนให้หลัง ดวงตาทั้งคู่ของป๋ายเสี่ยวฉุนมีแต่เส้นเลือดฝอย ตำรับยาสองชุดนี้รวมไปถึงวัตถุดิบทั้งหมดที่จำเป็น ล้วนถูกเขาทำความเข้าใจจนถึงแก่นแท้แล้ว เขาลังเลอยู่ชั่วครู่ก็ลุกพรวดขึ้นมา เดินออกไปจากที่พัก

หลอมยาจำเป็นต้องมีเตาหลอม แต่ราคาของเตาหลอมยาไม่ใช่ถูกๆ ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่สามารถแลกเอามาได้ ยังดีที่ในสำนักมีหอหลอมยาไว้ให้ลูกศิษย์ปรุงยาโดยเฉพาะ แค่จ่ายเป็นคะแนนความดีเล็กน้อยก็สามารถเข้าไปหลอมยาในนั้นได้

หอหลอมยาอยู่ด้านทิศตะวันออกของเขาเซียงอวิ๋น ห่างจากที่อยู่ของป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ไกลนัก สถานที่แห่งนี้ปกติแล้วไม่ได้มีคนมาเยือนมากมายอย่างหอหมื่นโอสถ ค่อนข้างจะเงียบสงบ เพราะผู้ที่มีคุณสมบัติในการหลอมยา แม้ว่าจะเป็นบนเขาเซียงอวิ๋นเองก็ไม่ได้มีมากนัก อีกทั้งมีคนไม่น้อยที่มีเตาหลอมยาเป็นของตัวเอง จึงไม่จำเป็นต้องมาที่นี่

ชำระคะแนนคุณความดีจำนวนหนึ่งแล้ว แลกเอาเวลาหนึ่งเดือนอยู่ในหอหลอมยานี้มาได้ ป๋ายเสี่ยวฉุนเดินเข้าไปด้านใน สถานที่แห่งนี้ถูกแบ่งออกเป็นห้องเดี่ยวนับร้อยห้อง ทุกสี่ด้านจะมีค่ายกลผนึกไว้ ทำให้ผู้ที่หลอมยาไม่ถูกรบกวนจากโลกภายนอกแม้แต่นิดเดียว

ป๋ายเสี่ยวฉุนถือเอาป้ายไม้ที่แลกมาได้ เดินมาถึงห้องที่อยู่อันดับสิบสาม กวาดสายตามองหนึ่งที ห้องนี้ไม่ใหญ่ รอบด้านว่างเปล่า ตรงกลางมีเตาหลอมยาอยู่หนึ่งเตา ด้านล่างเตาเหมือนกับว่ามีไฟที่ลุกไหม้อยู่บางเบา

หลังจากนั่งขัดสมาธิเรียบร้อย ป๋ายเสี่ยวฉุนก็สูดลมหายใจเข้าลึก สายตาไปตกอยู่บนเตาหลอมยา สังเกตอย่างละเอียดอยู่พักหนึ่ง แล้วก็มองไปยังกองไฟที่อยู่ด้านล่างอีกครั้ง ทดลองใช้พลังวิญญาณกระตุ้น กองไฟนั้นก็พลันโหมแรงขึ้นมา ความร้อนในห้องเพิ่มขึ้นสูง เตาหลอมก็กลายเป็นสีแดงจางๆ อย่างเห็นได้ชัด

ทดลองติดต่อกันอยู่หลายครั้ง ด้วยระดับที่สามารถรวมลมปราณม่วงแปลงกระถางออกมาได้ของป๋ายเสี่ยวฉุน ไม่นานเขาก็คุ้นเคยกับการควบคุมความแรงของไฟ หลังรู้สึกว่าสามารถควบคุมไฟได้อย่างใจต้องการแล้ว เขาก็ตบถุงเก็บของหยิบเอาพืชหญ้าออกมา

“ตอนนี้ธูปอายุยืนสำคัญกับข้าอย่างมาก จะเอาไปหลอมก่อนไม่ได้ จำเป็นต้องหลอมยาได้อย่างเชี่ยวชาญแล้วถึงจะเริ่มหลอมได้ ถ้าเช่นนั้นตอนนี้ก็เอายาเสริมวิญญาณมาลองฝึกฝีมือก่อนแล้วกัน ยานี้อยู่ระดับหนึ่ง เหมาะสมกับพลังรวมลมปราณระดับห้าลงไป” ป๋ายเสี่ยวฉุนตัดสินใจเด็ดขาด สีหน้าจริงจังอย่างยิ่ง หลังจากทบทวนความจำเรื่องตำรับยาเสริมวิญญาณในสมองอีกครั้ง ก็เริ่มหลอมยา

เขาหยิบเอาพืชหนึ่งต้นที่จำเป็นสำหรับหลอมยาเสริมวิญญาณออกมาถือไว้ข้างหน้า มือขวาโบกหนึ่งที ใบของมันก็ร่วงลงทั้งหมด ดวงตาทั้งคู่ของป๋ายเสี่ยวฉุนแน่วแน่ พลังวิญญาณในร่างกายกระจายออกมากลายเป็นพละกำลังยิ่งใหญ่ระลอกหนึ่ง ขยี้แรงๆ หนึ่งที พลันใบไม้เหล่านั้นก็ถูกบีบอัดเข้าด้วยกัน บีบออกมาเป็นน้ำเก้าหยดตกลงกลางเตาหลอม

เสียงติ๋งดังขึ้นหนึ่งที พลันในเตาหลอมก็มีควันสีเขียวลอยขึ้นมาเป็นระลอก ป๋ายเสี่ยวฉุนสมาธิแน่วแน่ พริบตาที่หมอกควันนี้ปรากฏขึ้น มือทั้งสองก็กรีดเอาก้านของพืชที่อยู่ในมือออกอย่างรวดเร็ว โยนเข้าไปในเตาหลอมทีละชิ้นและคอยควบคุมไฟอยู่ตลอดเวลา ทำให้ควันในเตาหลอมยิ่งมีเยอะมากขึ้น

มันไม่ยอมกระจายออก แต่กลับเกาะกลุ่มอยู่ด้วยกัน โหมพัดตลบอบอวลอย่างต่อเนื่อง ป๋ายเสี่ยวฉุนหยิบเอาพืชหญ้าต้นที่สองออกมาถือไว้ในมือแล้วเร่งกระตุ้นให้เติบโต ทำให้พืชต้นนี้ผลิดอกออกมาในทันที จากนั้นจึงเด็ดกลีบโยนเข้าไปในเตาหลอม

เวลาผ่านไป ป๋ายเสี่ยวฉุนทุ่มเทพลังกายพลังใจทั้งหมดลงไป หยิบวัตถุดิบออกมาอยู่ตลอดเวลา จนกระทั่งใส่ลงไปครบแปดชนิดแล้ว ดวงตาเขาเปล่งประกายสุกใส จ้องไปที่เตาหลอม ไฟที่ถูกควบคุมค่อยๆ เปลี่ยนอุณหภูมิ แต่เหงื่อที่ผุดออกมาตรงหน้าผากก็ยังไหลออกมาตามโครงหน้าท่ามกลางสมาธิที่แน่วแน่

หนึ่งชั่วยามผ่านไป เสียงปุดๆ ดังออกมาจากเตาหลอม ขณะเดียวกันนั้นควันดำเกรียมก็กระจายออกมา แม้ว่าจะถูกค่ายกลในห้องนี้ดูดซับออกไปอย่างรวดเร็ว แต่ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยังคงไอสำลัก สีหน้าเหยเกมองไปยังกากสีดำที่อยู่ในเตาหลอม ขมวดคิ้วมุ่น

“ล้มเหลวเสียแล้ว…” ป๋ายเสี่ยวฉุนนั่งลงเท้าคาง ดวงตาเผยแววครุ่นคิด ทวนความจำรายละเอียดทั้งหมดในการหลอมยาอย่างละเอียด ไม่ได้หลอมยาต่ออีก ด้วยนิสัยระแวดระวังของเขา ดังนั้นไม่ว่าจะท่องจำพืชหญ้าหรือว่าการหลอมยาก็ล้วนแสวงหาความมั่นคงอย่างสูงสุด

การคิดครั้งนี้เนิ่นนานถึงสามวัน สามวันให้หลังในสมองของเขาทำการทบทวนความจำในกระบวนการหลอมยาครั้งแรกอย่างน้อยพันครั้ง เจอปัญหาไม่ต่ำกว่าห้าสิบกว่าจุด ถึงได้สูดลมหายใจเข้าลึก พักผ่อนครู่หนึ่งแล้วเริ่มเปิดเตาอีกครั้ง

เวลาจริงที่ใช้ในการหลอมยานั้นไม่นาน สองชั่วยามต่อมา เตาหลอมเกิดเสียงดังสนั่นอีกครั้ง ยังคงมีหมอกควันลอยกระจายออกมา กากในเตาปรากฏขึ้นอีกครั้ง

ความยืนหยัดในนิสัยของป๋ายเสี่ยวฉุนพุ่งทะยานขึ้นมา หลังจากที่เขาช้อนเอากากพวกนั้นมาศึกษาอย่างละเอียดแล้ว จึงนำมารวมเข้ากับขั้นตอนการหลอมยาที่อยู่ในสมอง แล้วศึกษาตำรับยา ศึกษาพืชหญ้าอีกครั้ง คราวนี้ศึกษาติดต่อกันเป็นเวลาสิบวัน ถึงได้เริ่มหลอมเตาที่สามด้วยดวงตาแดงก่ำ

เพียงแต่การหลอมเตาที่สามนี้ ขณะที่อยู่ระหว่างขั้นตอนเริ่มต้นทุกอย่างล้วนสงบนิ่งดี แต่ชั่วพริบตาที่จะกลายเป็นยานั้นกลับแตกกระจายออกอีกครั้ง ส่งเสียงดังสะท้อนไปมา ป๋ายเสี่ยวฉุนกระโดดเหยงขึ้น จ้องเขม็งไปที่กากในเตาหลอม เงียบงันไปนานแสนนานจึงนั่งลงด้านข้าง หลับตาลงแล้วครุ่นคิดอีกครั้ง

คราวนี้เขาคิดพิจารณาอยู่ประมาณครึ่งเดือน จนกระทั่งเวลาของการหลอมยาใกล้จะหมดลงถึงได้ลืมตาขึ้น กัดฟัน เริ่มหลอมเตาที่สี่

สุดท้ายเมื่อเวลาการยืมใช้ห้องหลอมยาถึงกำหนด เตานี้ก็ยังคงล้มเหลวเช่นเดิม

ภาพนี้หากลูกศิษย์โอสถคนอื่นมาเห็นเข้าต้องรู้สึกไม่อยากเชื่อสายตาแน่นอน เวลาหนึ่งเดือน หากเป็นคนอื่นอย่างน้อยต้องหลอมสักสิบกว่าเตา ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องหลอมให้สำเร็จออกมาจนได้

ต่อให้หลอมสำเร็จแค่เสี้ยวเดียว ก็ต้องได้ผลพวงมาบ้าง

เพราะในสายตาของคนแทบทุกคน การหลอมยานั้นยากมากอย่างแท้จริง ไม่เช่นนั้นก็ไม่มีทางที่ปรมาจารย์โอสถของทั้งเกาะตงหลินจะมีเพียงสองท่านเท่านั้น

แม้แต่ลูกศิษย์โอสถเองก็ไม่ได้มีมากมายนัก อีกทั้งตลอดชีวิตของคนส่วนใหญ่ก็มักไม่คาดหวังว่าจะได้เลื่อนขั้นกลายเป็นอาจารย์โอสถ

แต่ในความเป็นจริงแล้วสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดเรื่องทั้งหมดทั้งมวลนี้ก็คือ…ไม่มีทรัพยากรมากพอให้ลูกศิษย์โอสถคนหนึ่งเติบโตขึ้นมาได้ หากทรัพยากรมีมากพอ ภายใต้การทดลองอย่างต่อเนื่อง แม้ไม่อาจพูดว่าจะสามารถกลายเป็นอาจารย์โอสถได้อย่างแน่นอน แต่อย่างน้อยอัตราที่ทำสำเร็จก็จะเพิ่มขึ้นอีกเยอะมาก

ดังนั้นอัตราการหลอมยาสำเร็จ สำหรับทุกคนแล้ว วิธีที่จะช่วยให้พัฒนาได้มีเพียงข้อเดียว นั่นก็คือฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง เพิ่มระดับความเชี่ยวชาญ!

และสิ่งที่ทุกคนแสวงหาก็คือระดับความเชี่ยวชาญนี้!

ขอเพียงมีความชำนาญที่มากพอ ก็จะสามารถเพิ่มความมั่นใจในความสำเร็จของตนเองขึ้นมาได้ ฉะนั้นความล้มเหลวมในการหลอมยา ลูกศิษย์โอสถล้วนรู้สึกว่าเป็นเรื่องปกติ หลังจากรวบรวมบทเรียนแล้วทำการหลอมอีกครั้งก็จะค่อยๆ พัฒนาขึ้น โดยเฉพาะยาทั่วไปประเภทนี้ วัตถุดิบก็ไม่แพง ยิ่งเหมาะสมในการนำมาใช้ฝึกฝน

แต่สำหรับป๋ายเสี่ยวฉุนนั้น แม้ว่าเส้นทางจะเหมือนกับทุกคน แต่ในเรื่องความเร็วกลับช้ากว่าเยอะมากๆ ความล้มเหลวทุกครั้ง เขาล้วนใช้เวลาไม่รู้ต่อกี่เท่าของการหลอมยาไปวิเคราะห์อย่างต่อเนื่อง อนุมานอย่างต่อเนื่อง

นี่เกี่ยวข้องกับนิสัยของเขา นิสัยที่เป็นคนระมัดระวัง และที่มากกว่านั้นคือละเอียดอ่อน ความละเอียดอ่อนนี้ขณะที่เขาศึกษาพืชหญ้าได้ปรากฏออกมาเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น แต่หลังจากที่สัมผัสกับการหลอมยาแล้ว กลับขยายกว้างอย่างไร้ขีดจำกัด ยึดครองความคิดที่สำคัญที่สุดไป

เพราะละเอียดอ่อน ดังนั้นหลังจากที่เขาล้มเหลวจึงสังเกตเห็นปัญหาได้มากกว่าคนอื่น แถมยังไม่ได้มากกว่าแค่นิดๆ หน่อยๆ ด้วย เพราะเขาคิดมาก ดูอย่างละเอียด ต่อให้คนอื่นคิดว่าไม่ใช่ปัญหา แต่สำหรับเขาแล้วกลับรู้สึกว่าไม่ถูกต้อง

และก็เพราะระมัดระวัง ดังนั้นต่อให้เป็นปัญหายิบย่อยข้อเดียว เขาก็จะต้องพิชิตให้ได้ก่อนจึงจะหลอมยาต่อไป ดังนั้นเวลาที่เขาใช้ครุ่นคิดถึงได้มากกว่าเวลาหลอมยาไม่รู้ต่อกี่เท่า

เวลาหนึ่งเดือนสิ้นสุดลง ป๋ายเสี่ยวฉุนผมเผ้ายุ่งเหยิง บนหน้ามีแต่ขี้เถ้าสีดำ เดินออกไปจากหอหลอมยาอย่างอ่อนล้า หลังจากกลับมาถึงที่พัก เขาเงียบงันอยู่นาน ในสมองทบทวนความทรงจำอย่างต่อเนื่อง

“ยังมีอีกเก้าจุดที่มีปัญหา เก้าจุดนี้มีเพียงแก้ได้แล้วจึงจะสามารถหลอมยาต่อได้” ป๋ายเสี่ยวฉุนกัดฟันนั่งลงในที่พัก หลับตาครุ่นคิด ในสมองทำการวิเคราะห์อยู่ตลอดเวลา บางครั้งก็หยิบพืชหญ้าออกมาสังเกตอย่างละเอียดลึกซึ้ง

จนกระทั่งครึ่งเดือนต่อมา เขาถลาพรวดออกไปจ่ายคะแนนคุณความดี เข้าไปในหอหลอมยาอีกครั้ง

ครั้งที่ห้า…ล้มเหลว!

เขาใช้เวลาเจ็ดวันในการวิเคราะห์สาเหตุ หาปัญหา แก้ไขปัญหา และหลอมอีกครั้ง

ครั้งที่หก…ล้มเหลว!

ดวงตาป๋ายเสี่ยวฉุนแดงฉาน ใช้เวลาไปอีกยี่สิบวัน ในที่สุดเมื่อรู้สึกว่าไม่มีปัญหาอีกแล้วถึงได้เริ่มหลอมเตาที่เจ็ด

หนึ่งชั่วยามผ่านไป เสียงดังสนั่นไม่ปรากฏขึ้น แต่กลับมีกลิ่นหอมของยาลอยมาปะทะจมูกแทน ป๋ายเสี่ยวฉุนตื่นเต้น มองยาสีเขียวสองเม็ดที่อยู่ในเตาหลอม เขาสูดลมหายใจเข้าลึก ครั้งที่เจ็ดนี้เขาทำสำเร็จแล้ว!

แล้วจึงหลอมยาต่ออีกครั้ง ครั้งที่แปด…สำเร็จ หลอมออกมาได้สามเม็ด!

ครั้งที่เก้า…สำเร็จ หลอมออกมาได้ห้าเม็ด!

ครั้งที่สิบ…ยังคงสำเร็จเช่นเดิม เพียงแต่ยาที่ปรากฏในครั้งที่สิบนี้มีเพียงเม็ดเดียว อีกทั้งไม่ใช่สีเขียว แต่เป็นสีดำ ไม่มีกลิ่นหอมใดๆ กระจายออกมา ถึงขั้นที่ว่าเมื่อเอามาดมยังมีกลิ่นตุๆ ด้วย…

ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังสงสัย ตลอดทั้งหอหลอมยาพลันสั่นสะเทือนขึ้นมา

————-

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version