บทที่ 41 ผลจากการหลอมพลังจิต
เขาเซียงอวิ๋นไม่มีหนู สถานที่บำเพ็ญเพียรเช่นนี้ นอกจากหนูจะเป็นสัตว์วิเศษแล้ว ก็ไม่มีทางอาศัยอยู่ได้ เพียงแต่ว่าในหุบเขามีมดอยู่เป็นจำนวนไม่น้อย
มดเหล่านี้เดิมทีเป็นสัตว์ที่มีอยู่ตามธรรมชาติ ปกติแล้วจะอยู่ในร่องของหินภูเขา แต่ก็ไม่ได้สร้างความรำคาญให้ผู้คน ราวกับว่าเดิมมันก็เป็นส่วนหนึ่งของภูเขา ดังนั้นจึงไม่มีใครให้ความสนใจ
แต่วันนี้บริเวณโดยรอบหอหลอมยาแห่งนี้ ลูกศิษย์ที่เฝ้าที่นั่นสั่นสะท้านกันไปทั้งตัว ลุกพรวดขึ้นยืน เขาพบว่าในชั่วพริบตานั้นมีมดมากมายมหาศาลปรากฏขึ้นทั่วบนพื้นดิน มดเหล่านี้ดิ่งทะยานตรงไปยังหอหลอมยา
“นี่…นี่มันเรื่องอะไรกัน!” ลูกศิษย์ที่พิทักษ์หอหลอมยาสูดลมหายใจเฮือก มองเห็นเหล่ามดมากมายเหลือคณานับก็รู้สึกได้เพียงหนังศีรษะชาหนึบ
ในเวลาเดียวกันนี้ห้องมากมายในหอหลอมยา ลูกศิษย์จำนวนไม่น้อยที่กำลังหลอมยาอยู่ก็ล้วนเอะอะขึ้นมาด้วยความตกใจ ยิ่งมีเสียงยาระเบิดดังเลือนลั่นออกมา มดมากมายก็ยิ่งกรูเกรียวเข้าหา แม้ว่าจะมีค่ายกลรักษาเอาไว้ แต่ห้องขอหอหลอมยาแห่งนี้เดิมทีก็อยู่ในภูเขา มดเหล่านั้นจึงมุดเข้าไปตามร่องต่างๆ
ตรงดิ่งไปยังทิศทางหนึ่ง
ทิศทางที่ว่านี้ก็คือห้องที่ป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่ เขาในเวลานี้กำลังหยิบยาเม็ดสีดำขึ้นมาดูอย่างแปลกใจ ขณะที่ใบหน้าเผยความสงสัย ก็ได้ยินเสียงดังสนั่นเป็นระลอกดังแว่วออกมาจากด้านนอก และในเวลาเดียวกันนั้น บนพื้นห้องที่เขาอยู่พลันปรากฏมดจำนวนมาก
มดเหล่านี้ราวกับบ้าคลั่ง พวกมันตรงดิ่งเข้าหาป๋ายเสี่ยวฉุน
“เขาเซียงอวิ๋นยังเกิดภัยพิบัติจากมดได้ด้วยเรอะ!!” ป๋ายเสี่ยวฉุนกระโดดผาง รู้สึกขนลุกขนชันไปทั่วตัว แต่พอเขากระโดดขึ้น มดพวกนั้นก็กระโดดขึ้นตามไปด้วย ตรงดิ่งไปยังยาเม็ดสีดำที่อยู่ในมือป๋ายเสี่ยวฉุน
หนังหัวป๋ายเสี่ยวฉุนชาหนึบ สายตามองเห็นภาพนี้ก็ไม่สนอีกแล้วว่าจะมีประโยชน์หรือไม่มี รีบโยนยาเม็ดที่อยู่ในมือออกไปโดยพลัน แทบจะทันทีที่ยาเม็ดนั้นถูกโยนออกไป มดบ้าคลั่งเหล่านั้นก็เปลี่ยนทิศทาง โจนทะยานตรงไปหาเม็ดยา
เมื่อเม็ดยาร่วงลงพื้น พริบตาเดียวมดมากมายสุดจะนับก็ห้อมล้อมมันเอาไว้ ไม่นานก็กลายเป็นลูกกลมขนาดใหญ่หนึ่งลูก ภาพนี้ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนที่มองดูอยู่หน้าซีดเผือด สีหน้าพรั่นพรึง
ไม่นานพวกมดที่ก่อตัวกันกลายเป็นลูกกลมขนาดใหญ่ก็ทรุดฮวบลงมา มดจำนวนนับไม่ถ้วนมุดหายเข้าไปในโพรงร่อง ส่วนยาเม็ดนั้นก็ไม่เหลือให้เห็นแม้แต่ซาก
ในชั่วพริบตานั้นมดสักตัวก็ไม่ปรากฏให้เห็นอีกทั่วทั้งหอหลอมยา พวกมันมาเร็วแล้วก็จากไปเร็ว ต่อให้เรื่องนี้จะทำให้พวกลูกศิษย์ที่หลอมยาอยู่ไม่สบอารมณ์ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ลูกศิษย์ที่เฝ้าที่แห่งนี้เห็นว่าไม่มีอะไรเสียหาย แม้ว่าจะแปลกใจ แต่กลับไม่ได้ไปรายงานเบื้องบน
เพราะมีเพียงป๋ายเสี่ยวฉุนเท่านั้นที่มองเห็นความบ้าคลั่งของมดพวกนั้น สำหรับคนอื่นก็เห็นเพียงแค่มดจำนวนมากผ่านทางมาเท่านั้น
ป๋ายเสี่ยวฉุนยังคงหวาดผวาไม่หาย เปิดดูเตาที่เมื่อครู่ตัวเองหลอมเอาไว้ เหมือนว่าจะไม่มีปัญหาอะไร เพียงแต่ตนเองนั้นละเอียดเกินไป ในด้านของวิธีการหลอม ต่อให้ประสบความสำเร็จแล้ว แม้จะดีแล้วแต่ก็ยังจะต้องกลั่นกรองให้ดียิ่งขึ้น จำได้รางๆ เหมือนว่ายาบำรุงวิเศษที่หลอมครั้งสุดท้ายจะมีการปรับสัดส่วนปรุงยาเล็กน้อย
“หรือว่ายาบำรุงวิเศษที่ข้าหลอมออกมาครั้งสุดท้าย ก็ถือเป็นของบำรุงชั้นดีสำหรับมดเหมือนกัน?” ป๋ายเสี่ยวฉุนเกาหัว รู้สึกเหมือนตัวเองร้ายกาจมาก ไม่เพียงแต่สามารถหลอมยาที่คนกินออกมาได้ แม้แต่ยาของมดก็ยังสามารถหลอมได้
ขณะที่เดินออกจากห้อง ได้ยินเสียงบ่นระงมจากลูกศิษย์แต่ละคนที่หลอมยาอยู่ห้องอื่นรอบด้าน ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อย รีบก้มหน้าเดินจากไปอย่างว่องไว
หลายวันต่อมาป๋ายเสี่ยวฉุนเห็นว่าหอหลอมยาไม่มีข่าวคราวอะไรแว่วออกมาถึงได้มาเยือนอีกครั้ง หลังจากชำระคะแนนคุณความดีแล้ว เลือกอีกห้องหนึ่งได้ก็หลอมยาต่อ
คราวนี้เขาเริ่มหลอมธูปอายุยืน
การหลอมธูปและหลอมยาเหมือนกันเป็นส่วนใหญ่ต่างกันเพียงส่วนน้อย แต่ก็มีบางขั้นตอนที่แตกต่างกัน เพราะยังไงซะอันหนึ่งก็ไว้กิน ส่วนอีกอันไว้สำหรับจุดเพื่อสูดกลิ่น โดยเฉพาะเมื่อกลายเป็นยาในขั้นตอนสุดท้าย หนึ่งคือยา อีกหนึ่งกลับเป็นก้อนธูปที่เกิดจากการเกาะตัวกัน
ด้วยมีประสบการณ์ในครั้งก่อนแล้ว ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนหลอมธูปอายุยืนนี้จึงระมัดระวังและละเอียดรอบคอบเป็นพิเศษ สุดท้ายใช้เวลาไปสองเดือน วัตถุดิบสิบส่วน ทำสำเร็จเจ็ดส่วน
ถึงได้จากไปด้วยความพึงพอใจ ป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่ในห้องของเขา ในมือถือธูปอายุยืนเจ็ดดอก หลังจากหลอมพลังจิตติดต่อกันสามครั้ง สีของธูปอายุยืนเจ็ดดอกนี้กลายมาเป็นสีม่วงเข้ม ลายเส้นสีเงินสามเส้นด้านบนแม้ว่าจะจางลงแต่ก็ยังคงมองเห็นได้อย่างชัดเจน อีกทั้งเห็นได้ชัดว่าความรู้สึกที่ธูปอายุยืนนี้มอบให้ แตกต่างไปจากก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิง
ป๋ายเสี่ยวฉุนมองธูปอายุยืนที่อยู่ในมือเหมือนคิดอะไรได้ เขาในเวลานี้ไม่เหมือนเมื่อก่อน จากที่โง่เขลาเบาปัญญาในเรื่องของยาวิเศษ หลังจากที่ได้หลอมยาวิเศษ เขาก็ค่อยๆ เข้าใจอะไรขึ้นมาอีกเยอะ รู้ว่าไม่ว่าจะเป็นยาวิเศษชนิดใดก็ตาม เมื่อหลอมออกมาแล้วส่วนใหญ่ล้วนมีสารเจือปน สารเจือปนเหล่านี้ไม่สามารถดูดซับเข้าไปได้ แต่ก็เป็นส่วนที่ยากจะแยกออกไปได้เช่นกัน เมื่อกลืนลงไปก็จะสะสมอยู่ในร่างกาย ค่อยๆ กลายมาเป็นสิ่งที่เรียกว่าพิษจากยา
และนี่ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้อาวุโสในสำนักจำนวนไม่น้อยค่อนข้างลังเลที่จะให้เหล่าลูกศิษย์ในสังกัดของตัวเองกลืนลงไป หากว่ากันตามทฤษฎีแล้ว พิษยาจำนวนหนึ่งสามารถขับออกไปนอกร่างกายได้ แต่หากกลืนยาลงไปเยอะ แน่นอนว่าพิษยาก็จะยิ่งเยอะตามไปด้วย ค่อยๆ สะสมอยู่ภายใน ซึ่งจะกลายมาเป็นอุปสรรคในการบำเพ็ญตบะวันข้างหน้า
ดังนั้นจึงมีการแบ่งยาวิเศษออกเป็นหกระดับ โดยอิงตามปริมาณมากน้อยของสารเจือปนในยาวิเศษ
“ล่าง กลาง บน ดี เยี่ยม ยอดเยี่ยม…” ป๋ายเสี่ยวฉุนมองธูปอายุยืนในมือ พึมพำเสียงเบา มีสารเจือปนเก้าส่วนขึ้นไป นั่นคือยาพิษ ไม่ได้มาตรฐาน นอกเสียจากว่าสุดวิสัยจริงๆ มิฉะนั้นจะไม่มีคนกินเข้าไปเด็ดขาด
หากสารเจือปนมีประมาณแปดส่วน เรียกว่าเป็นสิ่งของระดับล่าง ยาวิเศษประเภทนี้มีเยอะที่สุด และหากสารเจือปนมีอยู่ประมาณหกส่วน จะเรียกเป็นสิ่งของระดับกลาง ยาวิเศษประเภทนี้มีให้เห็นไม่เยอะแล้ว มีเพียงอาจารย์โอสถจริงๆ เท่านั้นถึงจะสามารถหลอมออกมาได้
ส่วนสารเจือปนมีแค่สี่ส่วนคือของระดับสูง ก็ยิ่งมีให้เห็นน้อย ส่วนของระดับดีที่มีสารเจือปนสองส่วน รวมไปถึงของระดับเยี่ยมที่มีสารเจือปนหนึ่งส่วน จะพบเห็นได้เป็นครั้งคราวแค่ในการประมูลขนาดใหญ่เท่านั้น
ส่วนยาวิเศษระดับยอดเยี่ยมที่ไม่มีสารเจือปนอยู่เลยแม้แต่นิดเดียว มีเพียงในตำนาน
ป๋ายเสี่ยวฉุนจดจ้องอยู่ที่ธูปอายุยืน ก่อนหน้านี้เขาไม่เข้าใจเรื่องการหลอมพลังจิตให้กับยาวิเศษ ในเวลานี้พอพิจดูอย่างละเอียด จึงสัมผัสได้ทันทีว่าการหลอมพลังจิตของยาวิเศษจะไม่เพิ่มพลานุภาพให้สูงขึ้นโดยตรงเหมือนอาวุธวิเศษ แต่เป็น…เปลี่ยนแปลงคุณภาพของยาวิเศษ!
ธูปอายุยืนที่อยู่ในมือเขาเวลานี้ มีสารเจือปนอยู่เพียงสี่ส่วน ซึ่งก็คือของระดับดี!
การค้นพบนี้ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนตื่นเต้นเป็นกำลัง หลังจากลังเลอยู่ชั่วครู่เขาก็ไปที่เขาจื่อติ่ง ไม่ได้ไปหาจางต้าพั่ง แต่ไปยังศาลาหลอมพลังจิตที่ในชายฝั่งทิศใต้ของสำนักธาราเทพ มีเพียงที่เขาจื่อติ่งเท่านั้น!
ลูกศิษย์ในสำนักสามารถชำระคะแนนคุณความดีที่นี่ แล้วให้ผู้อาวุโสของศาลาหลอมพลังจิตช่วยหลอมพลังจิตให้ แม้ว่าอัตราล้มเหลวจะมีไม่น้อย แต่ก็ยังมีลูกศิษย์จำนวนมากยินดีที่จะมายังที่แห่งนี้
ในศาลาหลอมพลังจิต ป๋ายเสี่ยวฉุนสังเกตอยู่พักหนึ่งแล้วจึงสอบถามคนอื่น ตอนที่จากมาเขาแน่ใจแล้วว่า การหลอมพลังจิตให้ยาวิเศษมีสรรพคุณในการกำจัดสารเจือปนออกไปได้อย่างแท้จริง
เมื่อกลับมายังเขาเซียงอวิ๋นอีกครั้ง ป๋ายเสี่ยวฉุนมองยาวิเศษที่ตัวเองหลอมออกมาด้วยความเบิกบานใจ จุดไฟหนึ่งดอกแล้วสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งที ก็มีความรู้สึกว่าร่างกายได้กินอิ่มอย่างชัดเจน อีกทั้งเมื่อควันธูประลอกแล้วระลอกเล่าหลอมรวมไปทั่วร่างกาย ทำให้เขาอบอุ่นไปทั่วทั้งเรือนร่าง หากชีวิตคือไฟหนึ่งกอง ถ้าเช่นนั้นในเวลานี้ เขาก็มีความรู้สึกว่าไฟกองนั้นถูกเติมฟืนเล็กๆ เข้าไปหนึ่งท่อน ทำให้ไฟลุกโชติช่วงขึ้นมา
ดังนั้นเขาจึงสูดดมธูปอายุยืนพลางฝึกวิชาอมตะมิวางวายไปด้วย ขอเพียงมีความรู้สึกหิวโหยปรากฏขึ้น เขาจะสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง ความรู้สึกนั้นก็จะสลายหายไปเยอะมาก
ธูปอายุยืนเจ็ดดอกทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนยืนหยัดฝึกวิชาอมตะมิวางวายมาได้ครึ่งเดือน ครึ่งเดือนให้หลังเขาสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าผิวเหล็กคงกระพันของตัวเองยิ่งแข็งแกร่งทรหด ร่างกายก็แกร่งกร้าว
ป๋ายเสี่ยวฉุนฮึกเหิม จัดระเบียบถุงเก็บของเล็กน้อยจึงลงเขาไปตลาดทันที เมื่อถึงที่นั่นก็ขายของของพวกเฉินเฟยสามคนเสียเกลี้ยง แล้วจึงซื้อวัตถุดิบสำหรับใช้หลอมธูปอายุยืนอีกนับสิบชุด นำไปหลอมยาอีกที
อัตราความสำเร็จในการหลอมธูปอายุยืนของเขา เมื่ออยู่ภายใต้ความระมัดระวังและรอบคอบอย่างต่อเนื่อง ความเร็วจึงเพิ่มสูงมากขึ้น จากที่ทำสำเร็จได้เจ็ดส่วนก็กลายมาเป็นแปดส่วน จนกระทั่งสุดท้าย ถึงขึ้นที่ว่ารักษาระดับสิบส่วนเอาไว้ได้ตลอด
เพียงแต่ว่าป๋ายเสี่ยวฉุนยังไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่นัก เพราะแม้ว่าอัตราความสำเร็จจะเพิ่มขึ้นมาเป็นสิบส่วน แต่ยาวิเศษที่หลอมออกมากลับเป็นเพียงแค่ของระดับล่างเท่านั้น
แต่เรื่องนี้เขาไม่อาจยกระดับขึ้นได้ในเวลาอันสั้น จึงทำได้เพียงใช้การหลอมพลังจิตมาขจัดสารเจือปนออก เมื่อถึงเวลาฝึกบำเพ็ญเพียรในเวลาปกติ ก็มักจะหยิบธูปอายุยืนออกมาสูดกลิ่นเข้าไปแรงๆ หนึ่งที ความรู้สึกเช่นนั้นทำให้เขาคิดว่าตลอดทั้งฟ้าดินล้วนมีแต่ความสุข
ในการฝึกบำเพ็ญเพียรเช่นนี้ วิชาอมตะมิวางวายของเขาก็ยกระดับขึ้นตามวันเวลา ถึงขั้นที่ว่าแม้แต่ตบะก็ยังเพิ่มมากขึ้น ค่อยๆ เขยิบเข้าใกล้ช่วงสมบูรณ์แบบของการรวมลมปราณขั้นหก
และวิชาอมตะมิวางวายที่พัฒนาได้รวดเร็วที่สุด ตอนนี้ขาดเพียงนิดเดียวก็จะไปถึงระดับประสบความสำเร็จขั้นสูงของผิวหนังเหล็กคงกระพัน ระดับความแข็งแกร่งตลอดทั้งร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนเหนือล้ำเกินกว่าก่อนหน้านั้นเยอะมาก เมื่อใช้ตรวนสลายลำคอ สีดำจากทั้งสองนิ้วก็เพิ่มความเข้มขึ้นมาอีก
แต่พอถึงในเวลานี้ ประสิทธิภาพของธูปอายุยืนกลับค่อยๆ ลดลงไป จนกระทั่งสุดท้ายประสิทธิผลเหลือเพียงแค่น้อยนิด ป๋ายเสี่ยวฉุนทำได้เพียงทอดถอนใจ เขาเข้าใจว่านี่เป็นเพราะการดูดซับยาวิเศษชนิดหนึ่งมากเกินไป ร่างกายปรับตัวได้แล้วจึงไม่มีผลอีก
คิดจะฝึกบำเพ็ญเพียรต่อจำเป็นต้องเปลี่ยนไปใช้ยาวิเศษที่ดีกว่าธูปอายุยืนถึงจะได้ เพียงแต่ตำรับยาของยาวิเศษชนิดนี้มีการควบคุมอย่างเข้มงวด ไม่มีขายในตลาด หากอยากได้มา ทำได้เพียงเลื่อนระดับเป็นศิษย์โอสถแล้วเท่านั้น จึงจะสามารถใช้คะแนนคุณความดีไปแลกที่สำนักได้
หรือไม่ก็ไปตลาดที่ใหญ่กว่านี้ แต่ตลาดที่ว่านั่นอยู่ไกลจากสำนักมาก ป๋ายเสี่ยวฉุนคิดไปคิดมา นัยน์ตาก็เผยความเด็ดขาด
“ไปเลื่อนขั้นเป็นศิษย์โอสถ!”
เขาคิดว่าจากประสบการณ์การหลอมยาของตัวเอง บวกกับความรู้ลึกซึ้งด้านพืชหญ้า การที่จะเลื่อนขั้นเป็นศิษย์โอสถน่าจะไม่ใช่ปัญหาใหญ่ แต่เพื่อป้องกันไว้ก่อน วันต่อๆ มาจึงไปซื้อตำรับยาย่อยชนิดอื่นๆ มาไว้อีก เอาแต่ละชนิดมาหลอมสองสามครั้ง สรุปความล้มเหลว พอเริ่มมีความมั่นใจมากขึ้นแล้วถึงได้ไปยื่นเรื่องขอเลื่อนขั้นที่หออาจารย์โอสถ
การทดสอบเลื่อนขั้นประเภทนี้จะไม่เปิดขึ้นเพื่อคนๆ เดียว ต้องรอให้จำนวนคนมีมากพอสมควรก่อนจึงจะดำเนินการ รอไปอีกหนึ่งเดือน วันนี้ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังใคร่ครวญถึงปัญหาหนึ่งของการหลอมยาวิเศษ ทันใดนั้นป้ายประจำตัวที่อยู่ในถุงเก็บของพลันสั่นไหวขึ้น พอหยิบออกมา เสียงแก่หง่อมก็ดังสะท้อนอยู่ในจิตของเขา
“พรุ่งนี้เช้าตรู่ ด้านหน้าหออาจารย์โอสถ เริ่มการทดสอบเลื่อนขั้นเป็นศิษย์โอสถ”
————-