บทที่ 407 ศาลา…ศาลาปราบมาร?
ป๋ายเสี่ยวฉุนได้ยินประโยคเหล่านั้นดวงตาก็เปล่งแสงวาบ ขณะที่กำลังครุ่นคิด
ซ่งเชวียได้จากไปไกลด้วยความเร็วแล้ว มองแผ่นหลังของซ่งเชวีย ป๋ายเสี่ยวฉุนก็อมยิ้มน้อยๆ อยู่เนิ่นนาน
อันที่จริงสำหรับซ่งเชวียนั้น ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ได้ตั้งแง่อะไรกับเขาเท่าไหร่แล้ว เพียงแต่รู้สึกว่าซ่งเชวียใช้ชีวิตเหนื่อยเกินไป เอาแต่ทำหน้าตาดุร้ายขึงขัง ปราณดุร้ายแผ่ซ่านทั่วร่างตลอดทั้งวัน ท่าทางพร้อมจะต่อยตีกับทุกคนได้ทุกเมื่อ
การที่เขามาเตือนตนถึงที่นี่ ป๋ายเสี่ยวฉุนจำขึ้นใจ ท่ามกลางความเงียบงันตอนนี้ ไม่จำเป็นต้องคิดมากมายก็รู้ได้ว่าคนที่แอบเล่นงานตนซึ่งซ่งเชวียกล่าวถึงย่อมต้องเกี่ยวข้องกับพรรคท้องฟ้าแน่นอน และเป็นไปได้มากถึงแปดเก้าส่วนที่น่าจะเป็นหลี่หยวนเซิ่งผู้นั้น
แม้จะรู้ว่าเป็นใคร แต่ป๋ายเสี่ยวฉุนก็จนใจ เพราะอย่างไรซะที่นี่ก็คือสำนักอันตมรรคาฟ้าดารา วิธีการที่เขานำมาใช้ได้นั้นมีไม่มากพอ ได้แค่เพิ่มการป้องกันให้มากขึ้นเท่านั้น
“หากอยู่ที่สำนักสยบธาร ข้าจะเล่นงานเจ้าให้อ่วมเลย!” ป๋ายเสี่ยวฉุนแค่นเสียงเย็นหนึ่งครั้ง ครุ่นคิดว่าหากตนเป็นอีกฝ่ายควรจะใช้วิธีการเช่นไรมาจัดการกับศัตรูของตัวเอง คิดไปคิดมาเขาก็พลันเงยหน้าขึ้นมองด้านบน
“การเลือกของสิบศาลา!!” ร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนสั่นเยือก สีหน้ามืดทะมึน ยิ่งคิดเขาก็ยิ่งรู้สึกว่ามีความเป็นไปได้สูง เพียงแต่ไม่ว่าเขาจะคิดอย่างไรก็คิดไม่ออกว่าควรจะแก้ไขปัญหานี้เช่นไร เขายังถึงขั้นไปขอพบผู้นำแดนฟ้าด้วย
เพียงแต่ว่าพื้นที่วงแหวนรอบใน หากผู้นำไม่ได้เรียกหา ลูกศิษย์มิอาจเข้าไปได้ ต่อให้ขอเข้าพบก็ต้องได้รับอนุญาตจากผู้นำเสียก่อนถึงจะได้ ป๋ายเสี่ยวฉุนไปขอเข้าพบหลายวันติดกัน แต่ก็ไม่ถูกเรียกตัวสักครั้ง จึงได้แต่กลับมาพร้อมความกลุ้มใจ
นอกจากความจนใจที่มีแล้ว ยังดีที่ในที่สุดพวกเสินซ่วนจื่อก็ทยอยกันสละคะแนนคุณความดีบินขึ้นมาจากนครฟ้า จางต้าพั่งและเฉินม่านเหยาต่างก็ทำเช่นเดียวกัน
มีเพียงสวีเป่าไฉเท่านั้นที่เนื่องจากกิจการของโรงเตี๊ยมยังต้องดำเนินต่อไป อีกทั้งเมื่อมีคนเหล่านี้ขึ้นมาเป็นหลักให้บนสายรุ้งแล้ว ตัวเขาจึงยินดีที่จะอยู่ต่ออีกระยะหนึ่งเพื่อช่วยจัดการโรงเตี๊ยมให้กับทุคน
ภายใต้การรับตัวของนักพรตที่รออยู่ หลังจากคนเหล่านี้ได้รับอาภรณ์และป้ายตัวตนแล้วจึงมาหาป๋ายเสี่ยวฉุนถึงที่พัก เมื่อได้พบหน้ากันอีกครั้งทุกคนต่างก็เต็มไปด้วยความปิติยินดี ซึ่งแม้แต่เฉินม่านเหยาเองที่เมื่อได้ใช้ชีวิตร่วมกับพวกป๋ายเสี่ยวฉุนในช่วงเวลาที่ผ่านมา ในที่สุดก็ได้รับการยอมรับจากป๋ายเสี่ยวฉุน ถูกเขาดึงให้เขามาอยู่ในขอบเขตของคนกันเอง
“พวกเจ้าช่วยข้าคิดหน่อยสิว่าการคัดเลือกของสิบศาลาครั้งนี้ควรจะทำยังไงดี” ทุกคนนั่งอยู่ในถ้ำของป๋ายเสี่ยวฉุน หลังจากพวกเขาเล่าถึงเหตุการณ์หลังจากที่ป๋ายเสี่ยวฉุนจากมา และป๋ายเสี่ยวฉุนก็บอกข้อมูลที่ตนรู้ให้พวกเขาฟังแล้ว เขาจึงถามประโยคนี้ขึ้นมา
เสินซ่วนจื่อและจางต้าพั่งขมวดคิ้ว คนทั้งสองครุ่นคิดอย่างหนัก แต่เมื่อมาอยู่ในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคยเช่นนี้จึงคิดไม่ออกว่าจะมีวิธีรับมือเช่นไร สุดท้ายเลยหันไปมองเฉินม่านเหยา
ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็รีบหันไปมองเช่นกัน เฉินม่านเหยามาจากแดนทุรกันดาร ทั้งยังมีสายลับแฝงตัวอยู่ในสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราเยอะมาก หากต้องการหาวิธีรับมือกับเรื่องนี้จริงๆ นางก็น่าจะมีประโยชน์กว่าผู้ใด
เฉินม่านเหยายิ้มน้อยๆ
“เสี่ยวฉุนเจ้าวางใจเถอะ เรื่องนี้ข้าน่าจะจัดการได้ ไหนเจ้าลองบอกข้ามาสิว่าเจ้าอยากเข้าไปอยู่ในสมาคมไหน?”
“เหยาเอ๋อร์เจ้านี่ยอดเยี่ยมไปเลย ข้าเลือกศาลาพิทักษ์แดน!” ดวงตาป๋ายเสี่ยวฉุนเปล่งประกายริบระยับ กล่าวพร้อมหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง เกือบจะอดใจพุ่งเข้าไปกอดรัดเฉินม่านเหยาแน่นๆ ไม่ไหว
เฉินม่านเหยาหน้าแดงซ่าน ทำท่ากระเง้ากระงอดใส่ป๋ายเสี่ยวฉุน แล้วจึงหยิบแผ่นหยกออกมาเริ่มติดต่อกับสหายร่วมสำนักอันตมรรคาฟ้าดารา ครู่ใหญ่ หลังจากที่นางส่งรอยยิ้มยืนยันให้กับป๋ายเสี่ยวฉุน ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ฮึกเหิมขึ้นมาทันใด จางต้าพั่งเองก็รีบพูดว่าต้องการไปอยู่ที่ศาลาหลอมพลังจิต ส่วนเสินซ่วนจื่อก็เสนอว่าตัวเองต้องการไปศาลาวิชายุทธ์
เวลาผ่านไป หลังจากที่พวกเสินซ่วนจื่อมาถึง ในที่สุดป๋ายเสี่ยวฉุนก็ไม่เงียบเหงาอีกต่อไป แม้แต่การฝึกบำเพ็ญตบะก็ยังเร็วเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่า ไม่นานเวลาก็ผ่านไปแล้วสามเดือน
เมื่อนับรวมหนึ่งเดือนแรกสุดไปด้วย เวลาสี่เดือนผ่านไป การคัดเลือกของสิบศาลาบนสายรุ้งแดนฟ้าที่หนึ่งปีจะจัดขึ้นหนึ่งครั้งก็มาถึงในที่สุด
เช้าตรู่ของวันนี้ เมื่อเสียงระฆังดังก้องไปทั่วทั้งสายรุ้งแดนฟ้า ลูกศิษย์ชุดเหลืองทุกคนที่บินขึ้นมาบนสายรุ้งภายในหนึ่งปีนี้ต่างก็พกพาเอาความเคร่งเครียดและความกระวนกระวายเดินออกมาจากถ้ำของใครของมัน
พวกเขารู้ว่าวันนี้จะเป็นวันตัดสินว่าช่วงชีวิตที่เหลืออยู่ของพวกเขานับจากนี้จะถูกเลือกไปอยู่ที่สมาคมใด และยังเป็นการตัดสินแนวทางการพัฒนาในอนาคตของพวกเขาด้วย หรืออาจเกี่ยวพันไปถึงความเป็นความตาย ซึ่งพวกเขาไม่สามารถประมาทได้แม้แต่นิดเดียว
เพียงแต่กฎของสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราก็คือมีเพียงสิบศาลาเลือกคนเท่านั้น คนไม่สามารถเลือกสิบศาลาได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ สิทธิ์การตัดสินใจจึงไม่อยู่ในมือของพวกเขา ทุกคนจึงได้แต่กระวนกระวายใจ
ป๋ายเสี่ยวฉุนตื่นขึ้นมาจัดอาภรณ์ตัวเองตั้งแต่เช้าตรู่ เมื่อเสียงระฆังดังกังวาน เขาก็เดินก้าวยาวๆ ออกไปจากถ้ำด้วยหน้าตาสดใส เต็มไปด้วยความคาดหวังต่อศาลาพิทักษ์แดนที่ตัวเองจะได้เข้าไปอยู่ในอนาคต
และหลายเดือนมานี้เขาก็ได้ใช้คะแนนคุณความดีเบิกทางจนได้รับข้อมูลมามากมาย รู้ว่าศาลาพิทักษ์แดนแห่งนี้เป็นสถานที่ที่ดีมากแห่งหนึ่ง ที่นั่นรับผิดชอบปกปักษ์รักษาความปลอดภัยของตลอดทั้งสายรุ้งแดนฟ้า และที่นี่คือสำนักอันตมรรคาฟ้าดารา จึงแทบจะไม่มีทางเจอกับเหตุการณ์ที่ศัตรูจากภายนอกบุกเข้ามารุกราน ดังนั้นเวลาปกติแล้วนักพรตของศาลาพิทักษ์แดนแห่งนี้อย่างมากสุดก็แค่เป็นผู้ดำเนินกฏหมายของงานฝ่ายในเท่านั้น
มีบารมีน่าเกรงขามอย่างมาก เหมือนกับศาลาพิพากษ์ของสำนักธาราเทพ
ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกประทับใจกับที่แห่งนี้อย่างยิ่ง พอเขานึกภาพที่ตัวเองอาศัยสถานะของศาลาพิทักษ์แดนเดินอยู่บนสายรุ้งแดนฟ้าด้วยท่าทางน่ายำเกรง ก็ยิ่งรอคอยมากกว่าเดิม
ไม่นานลูกศิษย์ชุดเหลืองทุกคนที่เลื่อนขั้นขึ้นมาอยู่สายรุ้งแดนฟ้าในปีนี้ซึ่งมีทั้งหมดสองร้อยกว่าคนก็ปรากฏตัวกันเกรียวกราวจากสี่ทิศทาง ตรงดิ่งไปยังพื้นที่วงแหวนด้านใน
สำหรับลูกศิษย์หลายคนแล้ว ตลอดหลายปีที่ได้มาอยู่สายรุ้งแดนฟ้าบางทีนี่อาจเป็นโอกาสครั้งเดียวที่ได้เหยียบย่างเข้ามาในพื้นที่วงแหวนด้านใน และได้ยืนอยู่บนลานกว้างใต้ตีนเขาเจ็ดสี มองเห็นความยิ่งใหญ่มโหฬารของวงแหวนด้านในด้วยตาตัวเอง
สถานที่แห่งนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนมาเยือนเป็นครั้งที่สองแล้ว คุ้นเคยกับถนนหนทางเป็นอย่างดี เมื่อเข้ามาใกล้เขาก็มองเห็นจางต้าพั่ง เสินซ่วนจื่อและเฉินม่านเหยาที่อยู่ในกลุ่มคน และซ่งเชวียเองก็อยู่ในกลุ่มคนมากมายนั้นด้วย
หลังจากที่มองกันไปมา เนื่องจากอยู่ห่างกันค่อนข้างไกล จึงไม่ได้พูดคุยกัน ต่างก็ยืนอยู่บนลานกว้างด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ไม่นาน เมื่อเสียงระฆังแว่วหายไป วงแหวนในก็ถูกปิดสนิททันที บนลานกว้างเต็มไปด้วยความเงียบสงัด รออยู่อีกครู่ใหญ่ถึงมีรุ้งยาวสิบเส้นบินพรวดออกมาจากความว่างเปล่า บินตรงมายังที่แห่งนี้
พลานุภาพสยบที่รุนแรงพลันเยื้องกรายลงมาจากฟากฟ้าในนาทีนี้ ทำให้พวกป๋ายเสี่ยวฉุนหน้าเปลี่ยนสี ขณะที่รู้สึกว่าร่างหนักอึ้ง รุ้งยาวทั้งสิบเส้นนั้นก็มาปรากฏอยู่บนท้องฟ้าเหนือร่างทุกคนแล้ว เผยให้เห็นเงาร่างสิบเงา
ทั้งสิบคนนี้มีทั้งชายและหญิง มีทั้งหนุ่มสาวและคนแก่ ซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นนักพรตก่อกำเนิด และหญิงสาวสามคนในนั้นก็งดงามชวนพิศอย่างมาก เพียงแต่ว่าสีหน้าพวกนางต่างก็เคร่งขรึม ทว่ายิ่งเป็นอย่างนี้พลังดึงดูดก็ยิ่งรุนแรง
ส่วนก่อกำเนิดคนอื่นๆ บางคนก็ใบหน้าเต็มไปด้วยริ้วรอย บางคนก็เป็นหนุ่ม และยังมีคนที่ใบหน้าเมตตาปราณี ส่วนบางคนบนร่างก็เต็มไปด้วยปราณดุร้าย มองดูแล้วน่าจะเป็นพวกใจคออำมหิต
“คารวะเจ้าศาลาทั้งสิบท่าน!” ไม่รู้ว่าใครเป็นคนแรกที่เปิดปาก ทุกคนล้วนก้มหน้าลงต่ำ คารวะอย่างพร้อมเพรียงกัน นักพรตก่อกำเนิดทั้งสิบคนนี้ก็คือเจ้าศาลาทั้งสิบของแดนฟ้า
ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็ตะโกนดังก้องเช่นกัน ก่อนจะก้มหน้าลงยังเหลือบมองคนทั้งสิบหนึ่งครั้ง ไม่รู้ว่าคนไหนที่เป็นเจ้าศาลาพิทักษ์แดน ขณะเดียวกันก็สูดลมหายใจเฮือกใหญ่อยู่ในใจ เข้าใจความแข็งแกร่งของสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราไปอีกขั้น ต้องเข้าใจว่านี่ยังอยู่แค่เพียงสายรุ้งแดนฟ้าเท่านั้น
แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ด้วยกำลังของสายรุ้งแดนฟ้า หากไม่นับรวมคนฟ้าก็ยังมากพอจะทำลายสำนักตอนกลางสำนักใดก็ตามได้อย่างง่ายดาย
“สายรุ้งที่เหมือนแดนฟ้ายังมีอีกสามแห่ง…แดนดารา แดนอันต แดนมรรคา…” ขณะที่ในใจป๋ายเสี่ยวฉุนสั่นระรัวก็มีเสียงดังลอยมาจากเบื้องบน
“ผู้ที่ถูกพวกข้าเรียกชื่อจงออกมายืนอยู่ข้างกายพวกข้า”
“เฉินเปียว!”
“สวี่เคอ!”
“โจวซงลี่!”
ไม่นานเสียงเรียกแตกต่างกันกันก็ดังออกมาจากปากของเจินเหรินก่อกำเนิดสิบคนที่อยู่กลางอากาศ ทุกคนต่างพากันเงยหน้าขึ้น ไม่ว่าใครก็ตามที่ถูกเรียกชื่อก็จะบินออกไปหยุดอยู่ข้างกายนักพรตก่อกำเนิดที่เรียกชื่อตัวเองด้วยความนอบน้อมทันที
“ซ่งเชวีย!” หลังจากที่นักพรตก่อกำเนิดผู้มีใบหน้าดุดันคนนั้นเอ่ยปาก ซ่งเชวียจึงสูดลมหายใจเข้าลึก บินออกไปอย่างรวดเร็ว มาหยุดยืนอยู่ข้างกายคนผู้นั้น ไม่นาน เฉินม่านเหยาก็ถูกเจินเหรินก่อกำเนิดเพศหญิงคนหนึ่งเรียกตัวออกไป จางต้าพั่งเองก็ไม่รู้ว่ามีโชคดีอันใดถึงได้ถูกนักพรตหญิงก่อกำเนิดคนหนึ่งเรียกตัวไปเช่นกัน
เสินซ่วนจื่อไม่รู้ว่าโชคจะเป็นเช่นไรบ้าง เขาถึงถูกนักพรตก่อกำเนิดท่าทางหนุ่มแน่นที่มีใบหน้าเย็นชาคนหนึ่งเรียกตัวออกไป มองเห็นว่านักพรตที่อยู่รอบกายเริ่มน้อยลงเรื่อยๆ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็เริ่มร้อนใจขึ้นมาบ้างแล้ว หันไปมองนักพรตก่อกำเนิดสิบคนนั้นอยู่เป็นพักๆ ใช้สายตาเตือนพวกเขาถึงการดำรงอยู่ของตัวเอง
ทว่าเจินเหรินก่อกำเนิดเหล่านั้นกลับมีใบหน้าไร้อารมณ์ ไม่แม้แต่จะหันมามองป๋ายเสี่ยวฉุน และป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็มีการค้นพบอย่างหนึ่งว่า นักพรตก่อกำเนิดทั้งสิบคนนี้ มีอยู่คนหนึ่งที่ปิดปากเงียบมาตั้งแต่ต้นจนกระทั่งตอนนี้
คนที่ไม่ได้เอ่ยอะไรผู้นั้นก็คือผู้เฒ่าที่มองดูแล้วมีใบหน้าเมตตาปราณีมากที่สุด เขามองนักพรตที่อยู่ด้านล่างด้วยรอยยิ้มตาหยีตลอดเวลา ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
ไม่นานเมื่อคนสองร้อยกว่าคนถูกเลือกไปจนเหลือแค่สิบกว่าคน ป๋ายเสี่ยวฉุนก็อึ้งตะลึง เขากะพริบตาปริบๆ รู้สึกทะแม่งๆ รีบหันไปมองเฉินม่านเหยา เมื่อพบว่าเฉินม่านเหยาเองก็มีสีหน้าแปลกใจไม่ต่างกัน ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ใจแกว่งทันที
และเวลานี้เจินเหรินก่อกำเนิดเก้าคนนั้นก็ได้หยุดการขานชื่อแล้ว พวกเขาหันมามองผู้เฒ่าใบหน้าเมตตา นักพรตก่อกำเนิดหญิงหนึ่งในนั้นที่เลือกจางต้าพั่งไปยิ้มน้อยๆ แล้วกล่าวว่า
“พี่เฝิง พวกเราเลือกเสร็จแล้ว”
ผู้เฒ่าหน้าตาใจดีหัวเราะฮ่าๆ สะบัดปลายแขนเสื้อเป็นวงกว้างหนึ่งครั้ง
“ตกลง คนเหล่านี้ที่พวกเจ้าไม่ต้องการ ข้าผู้อาวุโสจะรับไว้เอง” เมื่อผู้เฒ่าชี้มายังคนสิบกว่าคนที่มีป๋ายเสี่ยวฉุนรวมอยู่ด้วย ใต้ฝ่าเท้าของพวกป๋ายเสี่ยวฉุนก็ปรากฏแสงเจ็ดสีทันใด แล้วทุกคนก็บินขึ้นมาหาผู้เฒ่าคนนั้น
“ถ้าเช่นนั้นคงต้องขอตัวไปก่อนนะ” ผู้เฒ่ายิ้มอ่อนโยน บอกลากับนักพรตก่อกำเนิดคนอื่นๆ จากนั้นจึงหมุนตัวพาพวกป๋ายเสี่ยวฉุนบินจากไปไกล
ยามนี้ใจป๋ายเสี่ยวฉุนเต้นกระหน่ำ มองนักพรตคนอื่นที่อยู่รอบกายก็เห็นว่าพวกเขามีสีหน้าตึงเครียดไม่ต่างกัน ดังนั้นจึงเอ่ยถามขึ้นมาหนึ่งประโยคอย่างอดไม่ไหว
“ผู้อาวุโส พวกเราคือศาลาใดหรือขอรับ”
“ยินดีด้วยเจ้าได้อยู่…ศาลาปราบมาร!” ผู้เฒ่าหันมามองป๋ายเสี่ยวฉุนหนึ่งครั้งพร้อมเผยรอยยิ้มน่าสะพรึงกลัว ใบหน้าที่เดิมทีเมตตาใจดี บัดนี้ได้เผยความดุร้ายเข้มข้น ทำเอาป๋ายเสี่ยวฉุนที่มองดูอยู่สำลักลมหายใจ หลังจากได้ยินประโยคนั้นอย่างชัดเจน เขาก็ร้องคร่ำครวญอยู่ในใจทันที
“ศาลา…ศาลาปราบมาร…” ดวงตาป๋ายเสี่ยวฉุนเผยความหวาดกลัว ตัวสั่นเทิ้ม เขานึกไม่ถึงว่ามีเฉินม่านเหยาช่วยเหลือ ตัวเองก็ยังถูกศาลาปราบมารเลือกตัว ความเจ็บแค้นเศร้าโศกเกินบรรยายพลันเอ่อล้นท่วมใจ
ส่วนลูกศิษย์คนอื่นๆ ที่อยู่รอบกายเขาเวลานี้ต่างก็หน้าถอดสี สีหน้าน่าเกลียดถึงขีดสุด
“สายรุ้งแดนฟ้านับตั้งแต่ที่มีประวัติมา สมาคมที่มีคนตายมากที่สุด ระดับความอันตรายสูงสุดก็คือ…ศาลาปราบมาร!”
“สวรรค์…ข้าได้ยินมาว่าเมื่อสิบกว่าปีก่อน ศาลาปราบมารออกไปทำภารกิจข้างนอก เคยมีคนตายไปทีเดียวหลายพันคน…”
“ข้าก็ได้ยินมาเหมือนกันว่าภารกิจที่ลูกศิษย์ของศาลาปราบมารต้องไปทำล้วนคือการออกไปฆ่าคนข้างนอก เกี่ยวพันอยู่กับความเป็นความตายเป็นประจำ…”
“ไม่…”