บทที่ 406 แดนฟ้า
“บนสายรุ้งแดนฟ้ามีทั้งหมดสิบศาลา นักพรตทุกคนที่เลื่อนขั้นเป็นลูกศิษย์ชุดเหลืองล้วนต้องถูกศาลาหนึ่งเลือกตัวไป ทว่าการเลือกคนของสิบศาลานั้นไม่ได้เปิดขึ้นเพื่อใครคนใดคนหนึ่งเป็นพิเศษ แต่ทุกปีจะมีการเลือกหนึ่งครั้งในช่วงระยะเวลาที่กำหนด”
นักพรตสองคนที่มารอรับป๋ายเสี่ยวฉุนสวมอาภรณ์ยาวสีเหลือง ตลอดทางมานี้พวกเขามองประเมินป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่หลายครั้ง ทว่ากลับมองป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ค่อยออกเท่าไหร่นัก
เพราะอย่างไรซะตอนที่ป๋ายเสี่ยวฉุนขึ้นมาก็ชักนำให้เกิดความเคลื่อนไหวอย่างรุนแรง ปกติเวลาที่รับนักพรตคนอื่นๆ ขึ้นมา ลูกศิษย์ชุดเหลืองสองคนนี้สามารถทำท่าดุดันเข้าใส่ได้ ทว่ากับป๋ายเสี่ยวฉุนแล้ว เมื่อพวกเขาได้รู้ชื่ออีกฝ่าย คำพูดคำจาจึงดูจะมีความเกรงใจเล็กน้อย
“แต่สหายนักพรตป๋ายถือว่าโชคดีไม่น้อย ตอนนี้เหลือเวลาอีกแค่สี่เดือนเท่านั้น สิบศาลาก็จะทำการเลือกคนครั้งต่อไป” คนทั้งสองแนะนำสายรุ้งแดนฟ้าให้ป๋ายเสี่ยวฉุนฟังไปตลอดทาง และนี่ก็คือหน้าที่ความรับผิดชอบของพวกเขาเช่นกัน
“และก็เนื่องจากการดำรงอยู่ของสิบศาลา ตลอดทั้งสายรุ้งแดนฟ้าจึงแบ่งออกเป็นห้าวงแหวน วงแหวนในสุดเป็นที่อยู่ของท่านผู้นำ หากท่านไม่ได้เรียกหา ไม่สามารถเข้าไปได้ ส่วนพื้นที่อื่นๆ จะแบ่งเป็นของสิบศาลา” ทั้งสองคนที่รับผิดชอบรับตัวลูกศิษย์ใหม่อธิบายอย่างละเอียด พาป๋ายเสี่ยวฉุนเดินอยู่บนสายรุ้งแดนฟ้า
ก่อนหน้านี้ตอนที่ป๋ายเสี่ยวฉุนมาบนสายรุ้งได้แต่เดินชมวิวทิวทัศน์เท่านั้น แต่ตอนนี้เมื่อนักพรตที่มารับเดินหน้าไปเรื่อยๆ ได้ฟังคำแนะนำของอีกฝ่าย ความเข้าใจที่เขามีต่อสายรุ้งแดนฟ้าจึงค่อยๆ เพิ่มมากขึ้น
สถานที่แห่งนี้เรียกว่าเป็นสายรุ้งก็จริง ทว่าในความเป็นจริงแล้วไม่ได้แตกต่างไปจากพื้นที่ราบเท่าไหร่นัก สามารถมองมันเป็นแผ่นดินเจ็ดสีที่ลอยตัวอยู่กลางอากาศ บนพื้นแทบจะมองไม่เห็นดินเจ็ดสีเลยแม้แต่นิดเดียว เห็นแค่เพียงแผ่นหินสีเขียวที่ปูไปทั่วทุกหนแห่งในแดนฟ้า
มีเพียงพื้นที่ที่มีภูเขาเซียนอยู่เท่านั้นถึงจะมองเห็นดินเจ็ดสีของสายรุ้งได้ ที่ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนประทับใจลึกซึ้งที่สุดก็คือปราณวิญญาณของที่แห่งนี้อ่อนโยนอย่างมาก ระดับความอ่อนโยนนี้ทำให้ดูดซับได้ง่ายยิ่งกว่า การเผาผลาญก็ไม่น่ากลัวเท่าตอนที่อยู่ในแดนฟ้า กลับคืนสู่สภาวะปกติ
เวลาเดียวกันนั้น เมื่อยืนทอดสายตามองไปไกลจากที่นี่ ด้านหนึ่งจะมองเห็นแผ่นดินใหญ่ทงเทียนที่มีแต่เขาเขียวน้ำมรกตรวมไปถึงแม่น้ำทงเทียนสายนั้นที่ไหลลงสู่เบื้องล่าง
ส่วนอีกฝั่งหนึ่งก็คือมหาสมุทรทงเทียน…ที่กว้างใหญ่ไพศาลไร้ที่สิ้นสุด!
คราวก่อนตอนที่ป๋ายเสี่ยวฉุนมาที่นี่
เนื่องจากอยู่วงแหวนด้านในจึงมองเห็นได้ไม่ค่อยไกลนัก ทว่าตอนนี้เขาอยู่วงแหวนนอก มองปราดเดียวจึงเห็นมหาสมุทรผืนนั้น มหาสมุทรสีทองแห่งนี้มอบความรู้สึกยิ่งใหญ่เกรียงไกรให้แก่คนมอง ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจเฮือกใหญ่อย่างอดไม่ได้ ในใจสะท้านสะเทือน
โดยเฉพาะปราณวิญญาณของทะเลแห่งนี้ที่เข้มข้นถึงขีดสุด ทั้งยังพลุ่งพล่าน ทำให้ผิวน้ำไม่อยู่นิ่ง มีคลื่นลูกแล้วลูกเล่าซัดสาดไล่หลังกันไม่หยุด บางครั้งยังมีเสียงครั่นครืนดังลอยมา
“นี่…ก็คือมหาสมุทรทงเทียน?” ใจป๋ายเสี่ยวฉุนสั่นระรัว พึมพำแผ่วเบา
นักพรตสองคนที่รับผิดชอบเป็นคนนำทางเผยความภาคภูมิใจออกมาอย่างเลี่ยงไม่ได้ ทั้งยังรู้สึกมีเกียรติที่ตัวเองคือลูกศิษย์ชุดเหลืองของสำนักอันตมรรคาฟ้าดารา คนหนึ่งในนั้นจึงกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ถูกต้อง มีเพียงลูกศิษย์ที่เลื่อนขั้นเป็นชุดเหลืองอย่างพวกเราเท่านั้นถึงจะมีสิทธิ์อยู่ที่นี่ในระยะยาว ได้ชื่นชมมหาสมุทรทงเทียน ขณะเดียวกันก็ได้สัมผัสถึงความกว้างใหญ่ไพศาลของมหาสมุทรทงเทียนด้วย!
มหาสมุทรแห่งนี้คือจุดศูนย์กลางของแผ่นดินใหญ่ทงเทียน คือต้นกำเนิดของปราณวิญญาณทั้งหมด เมื่อมหาสมุทรนี้ไม่แห้งเหือด แผ่นดินใหญ่ทงเทียนของพวกเราก็จะเจริญรุ่งเรืองตราบนานเท่านาน!”
ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจเข้าลึก เขามองมหาสมุทรแห่งนี้ ในใจมีความชัดเจนบางอย่างที่บอกไม่ถูก อยู่ๆ เขาก็คิดอยากจะฝ่าลมโต้คลื่น เหยียบยืนอยู่บนมหาสมุทรทงเทียน ครู่ใหญ่ถึงได้ค่อยๆ ถอนสายตากลับ และหันไปมองเรือรบเก่าแก่ขนาดใหญ่มโหฬารน่าครั่นคร้าม…ที่อยู่เหนือน้ำตกลำนั้น
เรือรบลำนี้เป็นสีดำสนิทตลอดทั้งลำ เมื่อมองไปจากตำแหน่งนี้จะยิ่งเห็นได้อย่างชัดเจน สามารถมองเห็นได้ว่าบนเรือลำนั้นมีหลายจุดที่ผุพังแตกหัก แม้แต่ผ้าใบเรือก็ยังขาดแหว่งรุ่งริ่ง ทั้งยังพอมองเห็นเงาดำมากมายที่ลอยไปลอยมาอยู่ในเรือได้รำไร น่าสยดสยองอย่างมาก
ทำเอาป๋ายเสี่ยวฉุนที่มองดูอยู่ขนลุกขนพอง รีบดึงสายตากลับมาทันที
ตลอดทางเขายังได้เจอนักพรตบางส่วนที่อยู่อาศัยบนสายรุ้งแดนฟ้าแห่งนี้ ซึ่งส่วนใหญ่ล้วนเป็นลูกศิษย์ชุดเหลือง ส่วนลูกศิษย์ชุดเขียว ชุดน้ำเงินที่เหนือขึ้นไปอีกระดับ ป๋ายเสี่ยวฉุนกลับไม่เห็นเลยแม้แต่คนเดียว หากไม่เป็นเพราะมีอยู่น้อย ก็คงเป็นเพราะส่วนใหญ่ไม่ได้อยู่อาศัยในพื้นที่แห่งนี้
นอกจากนี้นักพรตของสายรุ้งแดนฟ้าที่ป๋ายเสี่ยวฉุนเห็นตอนนี้ก็ไม่ได้ต่างไปจากในความทรงจำคราวก่อนของเขาเลยแม้แต่นิด ทุกคนล้วนหยิ่งยโส ทั้งยังเย็นชา น้อยครั้งที่จะพูดคุยกัน มากสุดก็แค่กวาดตามองหนึ่งครั้งแล้วต่างฝ่ายต่างไป ทำให้ตลอดทั้งสายรุ้งแดนฟ้าแห่งนี้เงียบสงบอย่างมาก
ความเงียบสงบเช่นนี้ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกปรับตัวไม่ได้เล็กน้อย แต่เขาก็ทำอะไรไม่ได้ ได้แต่ติดตามนักพรตสองคนนั้นมายังสถานที่ลงทะเบียนของลูกศิษย์ หลังจากส่งมอบป้ายตัวตน อาภรณ์ลูกศิษย์ชุดเหลืองและถ้ำให้กับเขาแล้ว ลูกศิษย์สองคนที่นำทางมาก็เอ่ยกำชับอีกสองสามประโยคแล้วจึงจากไป
ป๋ายเสี่ยวฉุนหันไปมองรอบด้าน ความรู้สึกแปลกที่แปลกทางลอยขึ้นมากลางใจ เขายืนเดียวดายอยู่ตรงนั้น แล้วจึงเดินหน้าตาบึ้งตึงไปตามแผนที่ในแผ่นหยก ซึ่งในที่สุดก็หาถ้ำของตัวเองเจอตรงพื้นที่แห่งหนึ่งที่ค่อนไปทางชายเขตนอกวงแหวนที่ห้า
นั่นคือถ้ำแห่งหนึ่งที่ธรรมดามาก ข้อดีเดียวที่มีอยู่ก็คือเมื่อยืนอยู่ตรงหน้าประตูจะสามารถมองเห็นมหาสมุทรใหญ่ที่ห่างออกไปไกล นอกจากนี้ก็ไม่มีอะไรดีอีกแล้ว
แถมถ้ำก็ไม่ใหญ่มากนัก รูปแบบด้านในเหมือนถ้ำทั่วไป สิ่งเหล่านี้หากเปลี่ยนมาเป็นนักพรตคนอื่นที่บินขึ้นสายรุ้งมาต้องตื่นเต้นดีใจอย่างบ้าคลั่ง รู้สึกว่าได้รับการปฏิบัติที่ดียิ่งกว่าตอนอยู่ในนครฟ้ามากมายนัก
ทว่าสำหรับป๋ายเสี่ยวฉุนแล้ว ที่นี่เทียบไม่ติดฝุ่นของโรงเตี๊ยมเขาเลย ป๋ายเสี่ยวฉุนถอนหายใจพรืด หลังจากยืนเหม่ออยู่นอกถ้ำพักใหญ่ถึงได้เดินเข้ามาในถ้ำอย่างยอมรับชะตากรรม จัดการเก็บกวาดเรียบร้อยแล้วจึงทำสมาธิเข้าฌาน เริ่มบำเพ็ญตบะ
เมื่อได้บำเพ็ญตบะ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ค่อยๆ สงบสติอารมณ์ลงมาได้ และก็พบว่าความเร็วในการฝึกบำเพ็ญตบะที่นี่ดีกว่าในนครฟ้าไม่น้อย อีกทั้งการเผาผลาญก็แทบจะสัมผัสไม่ได้ และสามารถเลี่ยงการกินธัญพืชได้อีกครั้ง
ทุกครั้งที่หายใจเข้าออกก็จะมีปราณวิญญาณไหลกรากเข้ามาในร่างกายของป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างไม่ขาดสาย หลังจากที่มันล่องลอยอยู่ในร่างของเขาก็จะแพร่กระจายกันออกไป ไม่นานป๋ายเสี่ยวฉุนก็เริ่มจมจ่อมอยู่กับการบำเพ็ญตบะ แผล็บเดียวเวลาก็ผ่านไปแล้วสิบวัน
สิบวันมานี้นอกจากฝึกบำเพ็ญตบะแล้ว เขายังออกไปทำความคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมรอบด้านด้วย และก็เคยได้เจอลูกศิษย์คนอื่นๆ ที่เป็นสหายร่วมสำนัก ทว่าต่างฝ่ายต่างมีท่าทีเฉยเมยต่อกัน ป๋ายเสี่ยวฉุนคิดจะทักทายพูดคุย แต่กลับไม่มีใครสนใจเขา
เวลาเดียวกันนั้น สิบวันมานี้ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ได้ตระหนักถึงพลังแฝงอันเป็นรากฐานของสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราอย่างแท้จริง ลูกศิษย์ชุดเหลืองที่อยู่บนสายรุ้งแดนฟ้าแห่งนี้มีเกือบครึ่งที่เป็นนักพรตรวมโอสถ!
ต่อให้มีสร้างฐานรากปะปนอยู่ด้วยก็ล้วนอยู่ในขั้นเสมือนโอสถทั้งสิ้น อีกทั้งยังมีพลังในการสู้รบที่ไม่ธรรมดาติดตัว ทั้งหมดทั้งมวลนี้ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนตื่นตะลึงอย่างมาก
ขณะเดียวกันเขาเองก็ได้ไปสืบมาแล้วว่าสถานที่สำหรับฝึกคาถาคนขุนเขานั้นอยู่ที่ไหน แต่ที่น่าเสียดายก็คือมันไม่อยู่ในสายรุ้งแดนฟ้า แต่อยู่ที่สายรุ้งชั้นสองอันเป็นสถานที่ของเจ้าสำนักอันตมรรคาฟ้าดารา
“สายรุ้งชั้นที่สอง ฝั่งซ้ายคือที่อยู่ของคนฟ้า ฝั่งขวาคือที่อยู่ของเจ้าสำนักรวมไปถึงสถานที่สำหรับการประลองและฝึกตน…” ป๋ายเสี่ยวฉุนเงยหน้าขึ้นมองสายรุ้งสองเส้นเบื้องบนที่ใหญ่โตมากยิ่งกว่า พึมพำอยู่กับตัวเอง คนที่นี่ล้วนมึนตึงเย็นชา เขาเพิ่งมาอยู่ได้ไม่นาน ข้อมูลข่าวสารที่ได้รับจึงมีไม่มาก
และหากได้เป็นลูกศิษย์ชุดเหลือง คิดจะไปที่นครฟ้าก็จะมีข้อจำกัดเพิ่มขึ้นมา ข้อจำกัดเหล่านี้อาจไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรสำหรับพวกหลี่หยวนเซิ่ง ทว่าสำหรับป๋ายเสี่ยวฉุนแล้ว เวลานี้ยังค่อนข้างซับซ้อน ทำให้เขามิอาจลงไปได้โดยง่าย
ทว่ายังดีที่มีแผ่นหยกส่งข้อความเสียงอยู่ เมื่อพวกเสินซ่วนจื่อส่งข้อความเสียงมาให้ ป๋ายเสี่ยวฉุนจึงได้รู้ว่าหลังจากที่ตนจากมา ธุรกิจของพรรคมังกรเขียวก็ซบเซาลงไปเล็กน้อย ทว่าหลังจากปรับเปลี่ยนสัดส่วนผลกำไรที่ได้รับแล้วก็ถือว่ายังพอประคองตัวไปได้
และถึงแม้พรรคท้องฟ้าจะยังคงมาท้าทาย แต่อย่างไรซะพวกเขาก็ยังกริ่งเกรงป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่มาก จึงไม่ได้หาเรื่องอย่างโจ่งแจ้ง ในข้อความเสียงนั้น พวก
เสินซ่วนจื่อ บอกกับป๋ายเสี่ยวฉุนว่าช่วงนี้พวกเขาเองก็วางแผนว่าหากจัดการเรื่องเวลาของโรงเตี๊ยมลงตัวแล้วจะทยอยกันบินขึ้นมาข้างบนเช่นกัน
ป๋ายเสี่ยวฉุนได้ยินอย่างนั้นก็นับวันรอทันที ก่อนหน้าที่พวกจางต้าพั่งจะขึ้นมา เขารู้สึกเบื่อหน่ายอย่างมาก วันๆ ได้แต่ฝึกวิชาอมตะมิวางวายและคาถาหันเหมินเลี้ยงความคิด หลังจากชีวิตเช่นนี้ผ่านไปได้หนึ่งเดือน เที่ยงของวันนี้ ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังฝึกบำเพ็ญตบะ สีหน้าเขาพลันกระตุก ยกมือขึ้นสะบัดปลายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง ประตูใหญ่ของถ้ำก็เปิดออกเสียงดังครืดๆ เผยให้เห็นแสงแดดจากด้านนอก รวมไปถึงเงาร่างหนึ่งที่เดินมาจากทิศไกล
เมื่อร่างนี้มองเห็นว่าประตูถ้ำของป๋ายเสี่ยวฉุนเปิดออก เท้าของเขาก็พลันชะงัก เงียบงันอยู่ครู่ใหญ่ สุดท้ายก็เลือกเดินเข้ามาหา เมื่อเข้ามาใกล้เรื่อยๆ จึงค่อยๆ เผยให้เห็นใบหน้าหล่อเหลาที่แฝงเร้นไว้ด้วยความเย็นชาถือดี
คนผู้นี้ก็คือซ่งเชวีย!
“เชวียเอ๋อร์!” ป๋ายเสี่ยวฉุนลุกขึ้นยืนด้วยความดีใจ กำลังจะเดินเข้าไปรับหน้า ซ่งเชวียกลับฮึดฮัดเสียงเย็นหนึ่งครั้งแล้วถอยหลังออกไปหลายก้าว ไม่ได้เดินเข้ามาในถ้ำ แต่ยืนอยู่ข้างนอก
“ป๋ายเสี่ยวฉุน เรื่องที่ได้เลื่อนขั้นเป็นชุดเหลือง ไม่ว่าอย่างไรก็ถือว่าข้าซ่งเชวียติดค้างเจ้าหนึ่งครั้ง เจ้าเพิ่งจะขึ้นมา มีหลายเรื่องที่ยังไม่รู้ ข้าจะเตือนเจ้าสองเรื่อง!” ซ่งเชวียพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้าง
“หนึ่ง การเลือกของสมาคมในอีกสามเดือนให้หลัง ข้าเองก็จะเข้าร่วมเช่นกัน เนื่องด้วยมาถึงก่อนเจ้า จึงรู้มากกว่า บางสมาคมมีโอกาสตบทรัพย์มาก โอกาสตายค่อนข้างน้อย ผลประโยชน์มากมหาศาล เช่นศาลาวิชายุทธ์ ศาลาพิทักษ์แดน ศาลาหลอมพลังจิต ทว่าขณะเดียวกัน…ก็มีบางสมาคมที่อันตรายถึงขีดสุด หลังจากเข้าไปอยู่แล้วอัตราการตายสูงมาก ซึ่งหลักๆ ก็คือศาลาทมิฬและศาลาปราบมาร! ตอนที่เลือกเจ้าควรต้องระวังให้มาก!”
“สอง หนึ่งเดือนนี้หลังจากที่เจ้าขึ้นมา เจ้าคงไม่รู้ว่าตอนนี้ได้มีอิทธิพลหนึ่งแอบเล่นงานเจ้าอยู่ลับๆ แล้ว…มีคนปล่อยคำพูดออกมาว่าจะจัดการเจ้า ตัวเจ้าเองคิดให้ดีว่าไปล่วงเกินใครไว้ แล้วเตรียมตัวให้พร้อมรับมือ!”
ซ่งเชวียมองป๋ายเสี่ยวฉุนหนึ่งครั้ง หลังจากเอ่ยจบเขาก็หมุนตัวขวับบินจากไปไกลอย่างรวดเร็ว คล้ายว่าที่เขามาที่นี่ก็เพื่อตอบแทนเรื่องคะแนนคุณความดีอย่างเดียวเท่านั้น