บทที่ 405 ส่งเจ้าขึ้นฟ้า
กฎการเลื่อนขั้นของสำนักอันตมรรคาฟ้าดารา หากไม่ใช่คะแนนคุณความดีของลูกศิษย์ถึงหนึ่งล้านคะแนนและเลือกสละคะแนนเพื่อเลื่อนขั้น ก็ยังมีอีกหนึ่งวิธี นั่นคือเมื่อคะแนนคุณความดีของตัวเองไต่ไปถึงระดับที่แน่นอนแล้ว ค่ายกลของสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราจะรับสัมผัสได้แล้วบีบให้เลื่อนขั้น
วิธีการบีบบังคับเช่นนี้ก็เพื่อป้องกันไม่ให้คะแนนคุณความดีสะสมสูงเกินจนทำให้ราคาสินค้าในสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราเกิดการเสื่อมถอย ถือว่าสอดคล้องกับผลประโยชน์ของสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราเอง อีกทั้งไม่ใช่การบังคับโดยกำลังคน แต่เป็นพลังของค่ายกลสำนักอันตมรรคาฟ้าดารา เพราะอย่างไรซะป้ายคำสั่งตัวตนทั้งหมดก็ล้วนอยู่ในสายตาของสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราทั้งสิ้น
เพียงแต่ว่าวิธีการที่สองนี้ไม่ค่อยมีปรากฏให้เห็น อีกทั้งยังจำเป็นต้องมีคะแนนคุณความดีมากถึงระดับที่แน่นอน หากน้อยกว่านั้นก็ไม่สามารถทำให้ค่ายกลหันมาให้ความสนใจได้
อันที่จริงหากพูดให้แน่ชัดกว่าเดิมก็คือหลังจากที่คะแนนคุณความดีของคนคนหนึ่งเพิ่มขึ้นพรวดพราด ก็จะกลายมาเป็นเหมือนคบไฟในคืนมืดมิดจนดึงดูดความสนใจจากค่ายกล แล้วถูกบีบให้เลื่อนขั้น
อย่างเช่นก่อนหน้านี้ซ่งเชวียก็ใช้วิธีการเช่นนี้เหมือนกัน เมื่อป๋ายเสี่ยวฉุนมอบคะแนนคุณความดีจำนวนมากของพรรคมังกรเขียวให้เขารวดเดียว นั่นทำให้ซ่งเชวียที่เพิ่งจะบินขึ้นมากลางอากาศจึงถูกค่ายกลจับสัมผัสได้ทันที และส่งแสงชักนำมารับตัว บีบให้เขาต้องบินขึ้นฟ้ากลายไปเป็นลูกศิษย์ชุดเหลือง
และตอนนี้พรรคท้องฟ้าก็หวาดกลัวป๋ายเสี่ยวฉุนเป็นอย่างยิ่ง หัวหน้าทุกคนล้วนตาแดงก่ำ ตัดสินใจเด็ดเดี่ยวแล้วว่าต้องส่งตัวป๋ายเสี่ยวฉุนไปให้ได้
“โอกาสมีเพียงแค่ครั้งเดียว หากครั้งนี้ทำไม่สำเร็จเพราะคะแนนคุณความดีน้อยไป ทำให้ผู้นำพรรคมังกรเขียวระวังตัว คราวหน้าหากพวกเราคิดจะทำแบบนี้อีกก็ยากแล้ว”
“ดังนั้น ครั้งนี้พวกเราทุ่มให้หมดหน้าตัก คะแนนคุณความดีก้อนนี้พรรคท้องฟ้าของเราจะออกเอง เพื่อส่งเขาจากไป ต่อให้ต้องออกคะแนนคุณความดีมากแค่ไหนก็ถือว่าคุ้ม!” ทุกคนของพรรคท้องฟ้าพากันกัดฟัน หลังจากตัดสินใจได้แล้วก็รออีกหลายวัน จนกระทั่งรอถึงคืนที่พระจันทร์เต็มดวงซึ่งเป็นคืนที่คลื่นค่ายกลของสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราเข้มข้นมากที่สุด พวกเขาก็ลงมือทันที
กลางดึกของคืนนี้ พระจันทร์กลมโตลอยเด่นอยู่กลางฟ้า แสงจันทร์สาดส่องไปทั่วพื้นดิน ทำให้ตลอดทั้งแผ่นดินมองดูแล้วอ่อนโยนนุ่มนวลอย่างถึงที่สุด ต่อให้จะเป็นเวลากลางดึก ทว่านครฟ้าก็ยังคงคึกคัก เสียงคนดังโกลาหล
บนทะเลทรายชายเขตเมืองตะวันตก โรงเตี๊ยมของพรรคมังกรเขียวก็ไม่ต่างกัน นักพรตที่สัญจรไปมาไม่ได้หยุดพักผ่อนเพราะเป็นเวลากลางคืน ยังคงมีคนเดินเข้าไปในซากโบราณสถานเพื่อทำภารกิจอย่างไม่ขาดสาย
เวลานี้ป๋ายเสี่ยวฉุนนั่งอยู่หน้าโต๊ะอาหาร ด้านหลังมีหญิงรับใช้สองคนถือพัดโบกลมให้แก่เขา พัดนี้หากเอาไปไว้ข้างนอกต้องมีคนไม่น้อยช่วงชิงกัน เพราะนั่นคืออาวุธยิ่งใหญ่ที่ต้องจ่ายคะแนนคุณความดีไม่ธรรมดาถึงจะแลกมาได้ ทว่าเมื่อมาอยู่กับป๋ายเสี่ยวฉุนกลับเป็นเพียงพัดธรรมดาอันหนึ่งเท่านั้น
ต่อให้เป็นโต๊ะที่อยู่เบื้องหน้าป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยังทำมาจากไม้พันปี หากนำมาทำเป็นกระบี่บิน อานุภาพจะโดดเด่นไม่ธรรมดา แต่ตอนนี้กลับเอามาใช้เป็นแค่โต๊ะตัวหนึ่งเท่านั้น…
เวลานี้บนโต๊ะมีอาหารเลิศรสจำนวนนับไม่ถ้วนวางกองสูงเป็นพะเนิน อาหารวิเศษจานใดก็ตามที่อยู่ในนี้ เมื่ออยู่ด้านนอกล้วนมีชื่อเสียงและราคาแพงหูฉี่ แม้แต่ถ้วยและตะเกียบก็ยังเป็นอาวุธวิเศษ
ตลอดทั้งห้องหรูหราอย่างมิอาจประเมินค่าได้ ต่อให้เป็นนักพรตก่อกำเนิดมาเยือนก็ยังต้องตะลึงตาค้าง
เวลานี้สวีเป่าไฉ เสินซ่วนจื่อ จางต้าพั่งนั่งอยู่ข้างกายของป๋ายเสี่ยวฉุน เพิ่งจะทานอาหารร่ำสุรากันอิ่มหนำสำราญและกำลังพูดคุยกันด้วยรอยยิ้มสนุกสนาน เฉินม่านเหยาก็นั่งอยู่ข้างกายป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยท่าทางเรียบร้อย และในมือก็มีพัดหนึ่งอัน หัวเราะเบาๆ คลอเคล้าไปด้วยเป็นระยะ
อาภรณ์ของคนเหล่านี้อู้ฟู่หรูหรา ลักษณะเหมือนพวกคนที่รวยในชั่วข้ามคืน…
“เจ้าหลี่หยวนเซิ่งผู้นั้นเป็นคนไม่รักษาคำพูดจริงๆ ด้วย สามวันผ่านไปตั้งนานแล้ว เขายังไม่ทำให้ข้าไปจากที่นี่ได้เลย” ป๋ายเสี่ยวฉุนลูบท้องเรอเอิ๊ก พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงลำพองใจ
“บุรพาจารย์น้อย อันที่จริงที่นี่ของพวกเราก็ดีมากเลยนะ ฮ่าๆ ไม่ว่าจะเป็นของกินของใช้ก็ล้วนเป็นของที่ดีที่สุด อยู่ที่สำนักสยบธารไม่เคยมีแบบนี้เลย ตอนนี้ก็แค่แปลกใจเท่านั้น ไม่รู้ว่าบนสายรุ้งจะเป็นอย่างไรบ้าง” สวีเป่าไฉที่อยู่ข้างกันเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม
“ดูสิดู” ป๋ายเสี่ยวฉุนกระแอมหนึ่งครั้ง เอานิ้วชี้หน้าสวีเป่าไฉแล้วหันไปพูดกับจางต้าพั่งที่อยู่ข้างกาย
“ดูเจ้าคนผู้นี้สิ มีความปรารถนาแค่นี้เอง ดีนะที่ปีนั้นพวกเราไม่ให้เขาเข้ามาอยู่ในฝ่ายครัวไฟ สวีเป่าไฉ เจ้าต้องมีความปรารถนาให้มากกว่านี้หน่อยนะ รู้อะไรไหม ที่นี่ดีกว่ากว่าสายรุ้งนั่นเยอะเลย คนโง่เท่านั้นแหละถึงจะบินขึ้นไป
ข้าป๋ายเสี่ยวฉุนจะขออยู่ที่นี่ไปชั่วชีวิตเลย!” ป๋ายเสี่ยวฉุนโบกมือ พูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ
เสินซ่วนจื่อและจางต้าพั่งหัวเราะครืน สวีเป่าไฉประดักประเดิดเล็กน้อย ขณะที่กำลังจะพูดอะไรบางอย่างป๋ายเสี่ยวฉุนกลับโบกมืออีกครั้ง
“พวกเจ้าฟังข้า…” ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังจะคุยโวประสบการณ์ที่ตัวเองไปเยือนสายรุ้งเพื่อให้คนพวกนี้รู้ว่าบนสายรุ้งนั้นเย็นชาแค่ไหน ทว่าเพิ่งจะพูดมาถึงตรงนี้ ยังไม่ทันจะพูดจบ เขาก็พลันอึ้งตะลึง รู้สึกได้ถึงคลื่นสั่นไหวจากในถุงเก็บของ จึงตบลงไปหนึ่งครั้งหยิบเอาป้ายตัวตนขึ้นมาใช้พลังจิตกวาดมองด้วยความแปลกใจ แล้วก็ต้องตะลึงงันไปทันที
เขามองเห็นว่าคะแนนคุณความดีที่สะสมอยู่ในป้ายตัวตนของตัวเองกลับเพิ่มขึ้นมาอย่างน่าพิศวง
“นี่มันเรื่องอะไรกัน” ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังฉงนสนเท่ห์ ดวงตาของเขาก็พลันเบิกกว้าง เขามองเห็นคาตาว่าเวลาชั่วพริบตาเดียว คะแนนคุณความดีของเขากลับทะลุไปถึงหนึ่งล้าน จากนั้นก็สองล้าน สามล้าน จนกระทั่งถึงสี่ล้าน!
ป๋ายเสี่ยวฉุนหวาดกลัวขึ้นมาทันใด ร้องคร่ำครวญหนึ่งเสียง ไม่ทันมีเวลาได้อธิบายให้พวกเสินซ่วนจื่อฟัง เตรียมจะเอาคะแนนคุณความดีที่เพิ่มขึ้นมานี้ไปมอบให้กับผู้อื่น แต่ต่อให้เขาเร็วแค่ไหนก็ยังช้าอยู่ดี เสียงตูมดังหนึ่งครั้ง คะแนนคุณความดีของเขาก็ทะลุจากสี่ล้านไต่ไปถึงห้าล้าน
คะแนนคุณความดีที่มากมายขนาดนี้ เมื่ออยู่ในค่ำคืนมืดมิดที่พระจันทร์เต็มดวง ช่วงเวลาที่คลื่นเคลื่อนไหวของค่ายกลสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราเฉียบไวมากที่สุด ก็เหมือนคบไฟดวงหนึ่งที่ส่องแสงเจิดจ้าบาดตา จึงดึงดูดความสนใจจากค่ายกลได้ในพริบตาเดียว เสียงตูมตามดังสนั่นหวั่นไหว พลังของค่ายกลพลันเยื้องกรายมาถึงโรงเตี๊ยม เยื้องกรายมาถึง…ห้องที่ป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่!
“ไม่!!” ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนกรีดร้องเสียงแหลม พวกเสินซ่วนจื่อเองก็ตะลึงพรึงเพริดไปเช่นกัน แต่ละคนมีปฏิกิริยาตอบสนองกลับมาอย่างรวดเร็ว ทว่าเวลานี้แสงชักนำพลันร่วงดิ่งลงมาจากท้องฟ้า ทะลุทะลวงทุกสิ่งกีดขวาง ตรงเข้ามาปกคลุมร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนเอาไว้
จนกระทั่งแสงชักนำปรากฏขึ้น คะแนนคุณความดีของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยังคงเพิ่มพรวดพราดอย่างบ้าคลั่ง ซึ่งเพิ่มมากถึงเจ็ดล้านกว่าคะแนน
เมื่อเป็นเช่นนี้ก็เหมือนกับไปจงใจกระตุ้นให้ค่ายกลเดือดดาล แสงชักนำจึงไม่อ่อนโยนอีกต่อไป แต่บังคับกระชากร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนให้ลอยกระเด็นจากในห้องขึ้นไปบนท้องฟ้าพร้อมเสียงดังตูม
เสียงร้องโหยหวนของป๋ายเสี่ยวฉุนดังก้องไปทั่วสี่ทิศในนาทีนี้ พวกเสินซ่วนจื่อหน้าเปลี่ยนสี บินออกมาอย่างพร้อมเพรียงกัน แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ได้แต่ยืนมองด้วยความตะลึงลาน
“ข้าไม่อยากไป ข้าตัดใจจากที่นี่ไม่ได้ ข้าไม่อยากเป็นลูกศิษย์ชุดเหลือง ข้ารู้สึกว่าข้าควรเป็นแค่ลูกศิษย์ชุดแดง…” ป๋ายเสี่ยวฉุนอยากร้องไห้แต่ก็ร้องไม่ออก เวลานี้เขาเข้าใจแจ่มแจ้งว่าตัวเองถูกพรรคท้องฟ้าเล่นงานเข้าให้แล้ว แถมจนถึงตอนนี้คะแนนคุณความดีของเขาก็ยังเพิ่มไม่หยุด นั่นจึงพอจะมองออกได้ว่าความเด็ดเดี่ยวของพรรคท้องฟ้ามีมากถึงระดับใด
และแสงชักนำของเขาเส้นนี้ก็ใหญ่กว่าแสงชักนำของคนอื่นๆ มากมายนัก โดยเฉพาะตอนนี้เป็นเวลากลางคืนที่มืดมิด จึงทำให้แสงนี้สว่างชัดเด่นตา ตลอดทั้งนครฟ้าล้วนมองเห็น คนเหล่านั้นของพรรคท้องฟ้าก็มองเห็นภาพเหตุการณ์นี้เช่นนี้ พวกเขาพากันฮึกเหิมตื่นเต้น
หรือแม้แต่นักพรตในนครฟ้าที่อึดอัดคับแค้นใจกับเรื่องยาหลอนประสาทและสุดยอดยาปี้กู่จนเข้าใจป๋ายเสี่ยวฉุนผิดไป
พอสังเกตเห็นภาพเหตุการณ์นี้ก็ล้วนพากันดีใจอย่างบ้าคลั่ง แถมยังมีบางคนหยิบเอาฆ้องเอากลองขึ้นมาตี ส่งเสียงไชโยโห่ร้องไม่หยุด
“ในที่สุดเจ้ามารป๋ายก็จากไปได้เสียที!!”
“สวรรค์มีตา ไม่นึกเลยว่าผู้นำพรรคมังกรเขียวนี้จะได้บินขึ้นฟ้าแล้ว!”
“ฮ่าๆ มารยาพิษผู้นี้คือทรราชอันดับหนึ่งแห่งนครฟ้าเรา เมื่อเขาจากไปก็เหมือนยกภูเขาใหญ่ออกไปจากอกของพวกเรา!!”
ภายใต้เสียงไชโยโห่ร้องของคนทั้งเมือง ท่ามกลางเสียงร้องโหยไห้ของป๋ายเสี่ยวฉุน ภายใต้อาการตะลึงอ้าปากค้างของพวกเสินซ่วนจื่อ เงาร่างของป๋ายเสี่ยวฉุน…ถูกแสงชักนำหนาใหญ่เส้นนั้นเหวี่ยงกระชากขึ้นไปบนท้องฟ้า พุ่งเข้าหาสายรุ้งแดนฟ้า
บนสายรุ้งแดนฟ้า นักพรตที่รับผิดชอบรับตัวลูกศิษย์ยืนอยู่บนแท่นรับตัว เวลานี้ต่างก็ยืนอยู่ตรงนั้นด้วยใบหน้าเหลือเชื่อ เหม่อมองเหล่าผู้คนที่กู่ร้องไชโยอยู่ในนครฟ้าเบื้องล่าง เสียงไชโยโห่ร้องนั้นดังสนั่นจนได้ยินมาถึงที่นี่ พอจะนึกภาพออกเลยว่านี่จำเป็นต้องมีความกระตือรือร้นที่สูงมากขนาดไหน…
ขณะที่พวกนักพรตซึ่งทำหน้าที่รับลูกศิษย์มองหน้ากันไปมา พวกเขาก็มองเห็นแสงชักนำหนาใหญ่ซึ่งแฝงไว้ด้วยความเผด็จการอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อนเหวี่ยงกระชากร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนขึ้นมา เมื่อเขาเผยกายอีกครั้ง ก็มาหยุดอยู่ตรงหน้านักพรตเหล่านี้แล้ว…
“ข้าไม่อยากเป็นลูกศิษย์ชุดเหลืองนะ”
ป๋ายเสี่ยวฉุนเพิ่งจะขึ้นมาได้ก็รู้สึกถึงความเย็นชาสุขสงบของรอบด้าน แล้วจึงร้องคร่ำครวญขึ้นมาทันที น้ำตาก็แทบจะกลิ้งหยดลงมา ในใจเขาเจ็บแค้นที่ก่อนหน้านี้ตัวเองลำพองใจเกินไปจนคิดไม่ถึงว่าพรรคท้องฟ้าจะใช้วิธีนี้ส่งตัวเขาขึ้นมา
เวลานี้ในใจขุ่นแค้นเศร้าโศก แม้แต่น้ำเสียงที่ดังออกมาก็ยังทำให้คนที่ได้ยินรู้สึกสงสารเห็นใจไปด้วย ทว่าคำพูดประโยคนี้ของเขากลับทำให้พวกนักพรตที่รอรับตัวเขาอึ้งงันกันไปอีกครั้ง พวกเขารอรับลูกศิษย์อยู่ที่นี่มาหลายปี ทุกครั้งคนที่ขึ้นมาจะต้องเปี่ยมล้นไปด้วยความตื่นเต้นฮึกเหิม นี่เป็นครั้งแรกจริงๆ ที่พวกเขาได้เห็นคนเศร้าโศกเสียใจถึงขนาดนี้
ป๋ายเสี่ยวฉุนถอนหายใจเฮือกๆ เดินตามนักพรตเหล่านั้นไปจากแท่นรับตัวด้วยหน้าตาบูดบึ้ง มองความสงบเย็นชาของรอบด้านไปตลอดทาง แม้ว่าทิวทัศน์ของที่นี่จะสวยงามเหมือนภาพวาด พลังวิญญาณเข้มข้น แค่สูดดมครั้งเดียวก็ทำให้จิตใจคนกระปรี้กระเปร่าคึกคัก ทั้งยังมีบ่อน้ำอยู่ทั่วทุกหนทุกแห่ง ภูเขาเซียนก็มีให้เห็นได้รำไร แต่ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยังรู้สึกว่าโรงเตี๊ยมของเขาดีกว่า
ขณะที่เดินตามไปด้วยหน้าตาบึ้งตึง เขาก็ทำได้เพียงยอมรับความจริงข้อนี้
“เป็นคนไม่ควรยอดเยี่ยมเกินไปนัก เฮ้อ นึกไม่ถึงว่าข้าป๋ายเสี่ยวฉุนอุตส่าห์ถ่อมตัวขนาดนี้แล้วก็ยังต้องบอกลาโลกมนุษย์ขึ้นมาเป็นลูกศิษย์ชุดเหลือง” ป๋ายเสี่ยวฉุนถอนหายใจยาวหนึ่งครั้งด้วยความปลงอนิจจัง