Skip to content

A Will Eternal 422

บทที่ 422 เขากำลังว่ายน้ำ?

ภาพเหตุการณ์ที่นักพรตผู้นี้เห็นอยู่ตอนนี้ก็คือป๋ายเสี่ยวฉุนที่มีใบหน้าลำพองใจ คลอเพลงเบาๆ อยู่ในลำคอ และกำลังว่ายน้ำอย่างเบิกบานอยู่ท่ามกลางทะเลเพลิงลาวากว้างใหญ่ไพศาล…

เมื่อเสียงอุทานด้วยความตกใจของเขาดังออกมา รอบด้านเลยมีคนไม่น้อยหันมามองด้วยความแปลกใจเพราะไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น นักพรตที่เมื่อครู่นี้ร้องอุทานแตกตื่น บัดนี้ร่างสั่นเทิ้ม สีหน้าเปลี่ยนแปลงไปอย่างต่อเนื่อง เบิกตากว้างจนลูกตาแทบจะถลนออกมา แล้วยกมือขวาที่สั่นระริกชี้ไปยังดวงดาวของป๋ายเสี่ยวฉุน จากนั้นจึงกรีดร้องเสียงแหลมด้วยความเหลือเชื่ออีกครั้ง

“เขา…เขากำลังว่ายน้ำ!!”

ประโยคนี้ดึงดูดความสนใจจากคนได้มากกว่าเดิม แต่คนส่วนใหญ่ล้วนรู้สึกแปลกใจ คนหนึ่งที่อยู่ข้างกายนักพรตผู้นั้นจึงเอ่ยถามด้วยความใคร่รู้

“ว่ายน้ำอะไร? ใครหรือ?”

“ป๋ายเสี่ยวฉุน เจ้าคนที่เมื่อครู่ได้เลื่อนขั้นเป็นดวงดาวนั่น เขา…เขากำลังว่ายน้ำอยู่ในทะเลเพลิงลาวาของการประลองสีแดง!!” ลมหายใจของนักพรตผู้นี้รัวแรง เมื่อคำพูดของเขาดังขึ้นอีกครั้งรอบด้านก็เงียบสงัดลงไปในบัดดล สามารถมองเห็นสีหน้าไม่คาดคิดได้จากคนเกือบทุกคนที่ได้ยินประโยคนี้ และพวกเขาก็พลันเงยหน้าขึ้นมองดวงดาวของป๋ายเสี่ยวฉุน

ทั้งยังมีอีกหลายคนที่อดใจไม่ไหวใช้แผ่นป้ายพิเศษมาตรวจสอบดูเช่นกัน หลังจากที่มองเห็นเหตุการณ์อย่างชัดเจน ยิ่งมองเห็นท่วงท่าการแหวกว่ายอยู่ในน้ำของป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยแล้ว คนเหล่านี้ก็หน้าเปลี่ยนสีต่อเนื่อง ร้องอุทานเสียงหลงกันหมด

“จริงด้วย…เขาว่ายน้ำอยู่จริงๆ ด้วย!”

“สวรรค์ นี่มันเป็นไปไม่ได้ ข้าไม่เคยเห็นใครว่ายอยู่ในลาวาของการประลองสีแดงมาก่อน!”

“นี่จะเป็นไปได้ยังไง…เขาเป็นคนหรือเป็นสัตว์!!”

เมื่อเสียงอุทานเหล่านี้ดังออกมา คนมากมายยิ่งกว่าเดิมจึงแสดงสีหน้าสนอกสนใจ เรื่องแบบนี้ลำพังแค่ได้ยินก็ตะลึงลานได้พออยู่แล้ว ด้วยความอยากรู้จึงมีคนมากขึ้นหยิบเอาป้ายพิเศษออกมาโดยไม่เสียดายค่าตอบแทน แล้วมองดูทันที ไม่นานเสียงร้องอุทานแตกตื่นจากคนจำนวนนับไม่ถ้วนก็ดังเซ็งแซ่ไปทั่วบริเวณด้านนอกของกระดานเกียรติคุณอันตมรรคาฟ้าดารา

“ป๋ายเสี่ยวฉุนผู้นี้เขาเป็นใครกัน!”

ท่ามกลางเสียงฮือฮาที่ดังไม่ขาดสาย เนื่องจากเหตุการณ์นี้พิลึกพิลั่นเกินจริงไปมาก นักพรตหลายคนจึงรีบส่งข้อความเสียงหาเพื่อนสนิทของตัวเองทันที ทั้งยังเล่าเหตุการณ์ที่ตัวเองเห็นให้ฟังด้วย เมื่อเรื่องนี้แผ่ขยายออกไป คนมากมายที่อยู่ตามสถานที่ต่างๆ จึงพากันเงยหน้าขึ้นมามอง และไม่นานก็ครึกโครมกันไปทั้งสำนักอันตมรรคาฟ้าดารา

โดยเฉพาะในศาลาปราบมารของแดนฟ้าก็ยิ่งเป็นเช่นนี้ อวิ๋นเต้าจื่อเองก็ได้รับข่าวบอกว่าให้เขาเงยหน้าขึ้นดูการว่ายน้ำ ด้วยความอยากรู้เขาเลยทำตาม แล้วก็ต้องตะลึงตาค้างทันใด

“ป๋ายเสี่ยวฉุน!!”

ขณะที่ข่าวนี้แพร่สะบัดออกไปอย่างต่อเนื่อง ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่รู้เลยสักนิดว่าตัวเองได้กลายมาเป็นที่จับตามองของคนมากมายแล้ว เวลานี้เขากำลังว่ายไปข้างหน้าด้วยความฮึกเหิมเต็มกำลัง ทั้งยังครุ่นคิดด้วยว่าออกไปควรจะคุยโวต่อหน้าคนอื่นอย่างไรถึงจะทำให้ตัวเองรู้สึกประสบความสำเร็จได้มากที่สุด…

และในที่สุดเขาก็ว่ายมาถึงชายฝั่ง แถมยังเปลือยกายกระโดดโลดเต้นอยู่อีกสองสามที หลังจากก้มลงมองร่างตัวเองถึงได้สวมเสื้อผ้าด้วยความลำพองใจ

“ไม่ได้แช่น้ำมานานมากแล้ว สบายตัวจริงๆ เลย” ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่รู้สักนิดว่าบัดนี้คนไม่น้อยในสำนักล้วนเห็นการกระทำทั้งหมดของเขา…

โดยเฉพาะพวกลูกศิษย์หญิงของสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราที่แต่ละคนหน้าแดงก่ำ ทว่าสายตากลับยังคงจ้องมองตาไม่กะพริบ…

เวลานี้จางต้าพั่งกำลังอยู่ในศาลาหลอมพลังจิต หลังจากได้ยินเสียงคนข้างกายร้องอุทานด้วยความตกใจจึงเอ่ยถามเพราะสงสัย แล้วก็ต้องรีบเงยหน้าขึ้นมอง สิ่งแรกที่เขาเห็นก็คือร่างเปลือยล่อนจ้อนของป๋ายเสี่ยวฉุน…

“เสี่ยวฉุน…” จางต้าพั่งอึ้งค้างไปพักใหญ่

ในการประลองสีแดง ป๋ายเสี่ยวฉุนมองมหาสมุทรที่อยู่ด้านหลังตัวเองด้วยท่าทางอวดเบ่ง เชิดคางขึ้นแล้วสะบัดปลายแขนเสื้อเบาๆ หนึ่งครั้ง

“ข้าป๋ายเสี่ยวฉุนแค่ดีดนิ้ว การประลองสีแดงก็สิ้นราบพนาสูร” ป๋ายเสี่ยวฉุนถอนหายใจด้วยความปลงอนิจจัง สีหน้าของเขานั้นมีทั้งความลำพองใจและความเงียบเหงา เดินออกไปข้างหน้าหลายก้าว ทันใดนั้นร่างก็พลันพร่าเลือน เบื้องหน้าพร่าลาย เมื่อปรากฏตัวอีกครั้งเขาก็ออกจากการประลองสีแดงมาอยู่ในพื้นที่การประลองสีส้มแล้ว!

เวลาเดียวกันนั้น ความสะท้านสะเทือนของโลกภายนอกก็ระเบิดออกอีกครั้ง โดยเฉพาะคำพูดและสีหน้าของป๋ายเสี่ยวฉุนก่อนที่เขาจะจากไปก็ยิ่งทำให้คนไม่น้อยทำหน้าปูเลี่ยน แต่กลับพูดอะไรไม่ออก

“ม้ามืด นี่คือม้ามืดชัดๆ!”

“พวกเจ้าว่าป๋ายเสี่ยวฉุนผู้นี้จะฝ่าไปได้ถึงอันดับที่เท่าไหร่?”

ขณะที่การวิพากษ์วิจารณ์ทยอยกันดังออกไปในสำนักอันตมรรคาฟ้าดารา พื้นที่การประลองสีส้ม ป๋ายเสี่ยวฉุนเพิ่งจะปรากฏตัวก็ได้ยินเสียงดังสนั่นหวั่นไหวกระเทือนแก้วหู ซึ่งแม้แต่พื้นดินก็ยังสั่นสะเทือน

อีกทั้งวินาทีที่เขาเผยกายยังมีหินขนาดใหญ่ยักษ์ก้อนหนึ่งร่วงดิ่งลงมาจากท้องฟ้าด้วยความเร็ว และกำลังจะแทกลงบนหัวของป๋ายเสี่ยวฉุน พอป๋ายเสี่ยวฉุนเงยหน้าก็เห็นหินที่ใหญ่พอๆ กับภูเขาก้อนนั้นร่วงลงมารับหน้าเขาพอดี

เขาอึ้งไปครู่แล้วจึงหวีดร้องเสียงดัง ร่างถอยกรูดออกไป แทบจะวินาทีเดียวกับที่เขาถอยออก เสียงกัมปนาทเขย่าคลอนฟ้าดินก็ดังตามมา หินก้อนนั้นกระแทกตูมลงบนจุดที่เขายืนอยู่ก่อนหน้านี้ ทำเอาพื้นดินสั่นไหว เมื่อเห็นรอยแยกมากมายปริแตกออก ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยิ่งถอยร่นอย่างว่องไว พอเงยหน้าขึ้นมองโลกใบนี้ให้ถนัดตา เขาก็สูดลมหายใจเฮือกทันที

โลกใบนี้เป็นสีเทาขมุกขมัว ท้องฟ้าสีเทา พื้นดินก็สีเทา นี่ยังไม่เท่าไหร่ แต่ในโลกสีเทาใบนี้กลับมีมนุษย์หินร่างใหญ่ยักษ์อยู่สองตน

มนุษย์หินทั้งสองตนนั้นต่างก็สูงหลายหมื่นจั้ง เรือนกายที่น่าครั่นคร้ามของพวกมันประกอบขึ้นมาจากหินทั้งหมด มองดูแล้วทั้งเหมือนรูปปั้นและทั้งเหมือนหุ่นเชิด ซึ่งตอนนี้พวกมันกำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือด!

ทุกครั้งที่ร่างของมนุษย์หินทั้งสองกระแทกเข้าหากัน นอกจากเสียงคำรามเกรี้ยวกราดที่ดังเกินเสียงฟ้าผ่าแล้ว ยังมีก้อนหินจำนวนมากหลุดกระเด็นออกมากระแทกเบื้องล่างจนพื้นดินเป็นหลุมเป็นบ่อ พอเท้าใหญ่ยักษ์ของมนุษย์หินสองตนนั้นขยับไหว ทุกครั้งที่เหยียบลง พื้นดินก็กลายมาเป็นหลุมลึก

ผืนแผ่นดินทุกส่วนสะเทือนไหว ขณะที่พวกมันประหัตประหารกันเองยังมีลมพายุหมุนคว้างที่พัดตะลุยไปทั่วโลก รวมไปถึงวิชาอภินิหารมากมายที่จำแลงมาเป็นมังกรหิน หนามหินซึ่งปรากฏอยู่ในฟ้าดินแห่งนี้อย่างต่อเนื่อง

ความรู้สึกถึงวิกฤตที่รุนแรงทำให้สีหน้าของป๋ายเสี่ยวฉุนเปลี่ยนแปลงไม่หยุด ขณะที่คอยหลบเลี่ยงอย่างว่องไว เขาเองก็เห็นว่าในโลกใบนี้นอกจากเขาแล้วยังมีนักพรตอีกไม่น้อย

คนเหล่านี้ต่างก็เป็นผู้ประลองของที่นี่ ซึ่งมีคนเกินครึ่งที่กำลังวิ่งไปข้างหน้าด้วยความรวดเร็วราวกับมดตัวเล็กๆ ที่คอยหลบเลี่ยงก้อนหิน ลมพายุ เวทอภินิหารจำนวนนับไม่ถ้วนไปตลอดทาง พยายามลอดผ่านการต่อสู้ระหว่างมนุษย์หินยักษ์สองตนนี้ไปให้ได้

ทว่านี่เป็นเรื่องที่ยากมาก…ราวกับคำที่ว่าประตูเมืองเกิดเพลิงไหม้ เดือดร้อนถึงปลาในบ่อ (เรื่องเล่าคำสุภาษิตของจีนที่ว่าเมื่อประตูเมืองแห่งหนึ่งถูกไฟไหม้ ชาวบ้านจึงตักน้ำในบ่อมาดับไฟจนน้ำในบ่อเหือดแห้ง ปลาที่อยู่ในบ่อจึงตายหมด เป็นคำเปรียบเปรยว่าคนบริสุทธิ์ติดร่างแหเดือดร้อนไปด้วย) มนุษย์หินที่ราวกับประตูเมืองสองตนนี้ต่อสู้กันเอง พวกมันไม่เป็นอะไร ทว่านักพรตที่อยู่ด้านล่างกลับเสี่ยงอันตรายสูงมาก

โดยเฉพาะในความรู้สึกของป๋ายเสี่ยวฉุน ดูเหมือนว่าตบะของมนุษย์หินสองตนนี้น่าจะเกินก่อกำเนิด หรืออาจถึงขั้นพอๆ กับเด็กชายคนฟ้าที่พาตัวเขามาจากสำนักสยบธารด้วยซ้ำ นั่นทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมเย็นๆ เฮือกใหญ่ ในสมองก็มีข้อมูลของการประลองสีส้มลอยขึ้นมา

สถานที่แห่งนี้ก็คือการดำรงอยู่ที่ไม่ต่างไปจากคุก มันกักขังเผ่ามนุษย์หินเอาไว้ และจะต้องให้ผู้แข็งแกร่งในบรรดามนุษย์หินเหล่านี้คอยเข่นฆ่ากันเองอย่างต่อเนื่อง เป็นทั้งการแสดง และเป็นทั้งการลงโทษ

พวกมันไม่สามารถสังหารลูกศิษย์ของสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราได้โดยตรง แต่กลับสามารถสังหารพวกเขาทางอ้อมผ่านการต่อสู้นี้ เมื่อเป็นเช่นนี้ ระดับความยากของการประลองครั้งนี้จึงมีมากกว่าด่านที่แล้วหลายเท่านัก

“มินาล่ะดวงดาวของที่นี่จึงมีแค่หลายหมื่นดวง ไม่เหมือนบนสายรุ้งสีแดงที่มีมากจนนับไม่ถ้วน…และคนที่สามารถผ่านด่านนี้เหยียบเข้าไปในสายรุ้งสีเหลืองได้อย่างแท้จริงก็มีเพียงหลายพันคนเท่านั้น” ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจเข้าลึก เคลื่อนหน้าไปด้วยความระมัดระวัง ตลอดทางที่พุ่งไปนั้นเขาอาศัยความเร็วของตัวเองจึงถือว่ายังพอรอดปลอดภัย การแสดงออกเช่นนี้เมื่อเทียบกับคนอื่นถือว่าไม่ธรรมดาแล้ว แต่บัดนี้ภายนอกมีคนไม่น้อยที่ใช้ป้ายพิเศษเฝ้ามองการฝ่าด่านของป๋ายเสี่ยวฉุน ซึ่งนั่นต้องเผาผลาญคะแนนคุณความดีไปทุกเวลานาที

ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ การแสดงออกของป๋ายเสี่ยวฉุนจึงทำให้คนภายนอกไม่พอใจกันขึ้นมาทันที

“อะไรกัน ตอนอยู่รุ้งสีแดงยังว่ายน้ำอยู่เลยไม่ใช่หรือ มาถึงที่นี่ทำไมถึงเป็นแบบนี้เล่า”

“นั่นสิ นี่มันไม่เท่ากับปล่อยให้ข้าเสียคะแนนคุณความดีไปเปล่าๆ งั้นหรือ ไม่ดูแล้ว!”

ขณะที่ทุกคนที่อยู่ด้านนอกสบถด้วยความไม่สบอารมณ์ ทางฝ่ายป๋ายเสี่ยวฉุนพลันเพิ่มความเร็วห้อตะบึงไปข้างหน้า ทว่าทันใดนั้นเบื้องหน้าของเขาก็มีลมพายุหมุนคว้างเข้ามาหา ในลมพายุนั้นยังมีครึ่งร่างของมังกรหินฟาดโครมลงมา

ป๋ายเสี่ยวฉุนหน้าถอดสี เมื่อไม่มีทางให้หลีกห่างแล้ว ดวงตาของเขาก็โชนแสงเย็นเยียบ ร่างของเขาพลันก้าวออกมาหนึ่งก้าว ขาซ้ายตวัดขึ้นแล้วเตะลงไปบนมังกรหินนั้นโดยตรง

เสียงตูมดังหนึ่งครั้ง มังกรหินแตกทลาย เมื่อลมพายุสลายหายไป ป๋ายเสี่ยวฉุนร่างสั่นเยือก แต่ยังกัดฟันพุ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว และเขาก็ทำเช่นนี้ไปตลอดทาง ขณะที่ขยับเข้าไปใกล้ทางออกเรื่อยๆ ฝีเท้าของเขาพลันหยุดชะงัก เงยหน้าขึ้นมองมนุษย์หินที่เรือนกายใหญ่มโหฬารสองตนนั้นที่ยังคงจู่โจมกันไม่หยุด ดวงตาของเขาก็ค่อยๆ ฉายแววฉลาดปราดเปรื่อง

ก่อนหน้านี้เขาก็รู้สึกแล้วว่ามนุษย์หินสองตนนี้หน้าตาคุ้นๆ พอขยับเข้ามาข้างหน้า สังเกตอยู่นานมากเขาจึงพลันนึกขึ้นได้ว่าทำไมตัวเองถึงได้รู้สึกคุ้นเคยนัก

“มนุษย์หินสองตนนี้หากนั่งชันเข่าอยู่นิ่งๆ มันก็คือ…รูปปั้นในหุบเขาหมื่นภูเขานั่นชัดๆ!!” ป๋ายเสี่ยวฉุนลมหายใจสะดุด จิตใจสะท้านไหว ยิ่งมองก็ยิ่งเหมือน พอมาถึงท้ายที่สุดเขาก็แทบจะมั่นใจได้เต็มร้อยว่ารูปปั้นของหุบเขาหมื่นภูเขาก็คือประเภทเดียวกันกับมนุษย์หินสองตนนี้!

“หากคิดจะฝึกคาถาคนขุนเขา จำเป็นต้องผสานรวมกับภูเขา ต้องเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างของภูเขา และทำความเข้าใจกับจิตวิญญาณของมัน จากนั้นก็ลืมตัวเอง กลายมาเป็นคนขุนเขา จากนั้นค่อยลืมว่าตัวเองคือคนขุนเขา แล้วจึงฟื้นตื่น…เหมือนวงกลมวงหนึ่ง หลังจากตื่นแล้วก็จะฝึกวิชาอภินิหารนี้ได้สำเร็จ กลายมาเป็น…คนขุนเขา!” ลมหายใจของป๋ายเสี่ยวฉุนถี่กระชั้น เมื่อได้เห็นมนุษย์หินทั้งสองเข่นฆ่ากัน ความคิดของเขาจึงพลันเปิดกว้าง หลายจุดที่ก่อนหน้านี้ไม่เข้าใจ มาบัดนี้ทุกอย่างกลับกระจ่างแจ้ง

“ไม่มีสถานที่ใดเหมาะสมกับการทำความเข้าใจ…คาถาคนขุนเขาของข้า…มากเท่าที่นี่อีกแล้ว!” ป๋ายเสี่ยวฉุนตื่นเต้นขึ้นมาทันที

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version