บทที่ 423 ไม่มีหยุดพัก
มองมนุษย์หินสองตนที่กำลังต่อสู้กัน เวลานี้ป๋ายเสี่ยวฉุนห่างจากทางออกของสายรุ้งสีส้มอีกไม่ถึงพันจั้ง ด้วยความเร็วของเขาในตอนนี้ ไม่นานก็สามารถข้ามผ่านที่แห่งนี้ เหยียบย่างเข้าสู่สายรุ้งสีเหลืองได้
และด้านหลังของป๋ายเสี่ยวฉุนยังมีนักพรตอีกไม่น้อยที่ยังคงพยายามลอดทะลุมาอย่างยากลำบาก หมายข้ามผ่านฟ้าดินที่มีลมพายุ หินยักษ์ และเวทอภินิหารอีกหลายอย่าง เพื่อที่จะบรรลุไปถึงปลายทาง
พวกเขาเองก็เห็นการห้อตะบึงมาตลอดทางของป๋ายเสี่ยวฉุน ในใจก็ตกตะลึงเช่นกัน แต่กลับไม่มีเวลามาสนใจป๋ายเสี่ยวฉุนมากนัก เวลานี้ที่พวกเขาให้ความสนใจมากที่สุดก็คือตัวเอง เพราะแค่เสียสมาธินิดเดียวก็อาจจะถูกหินยักษ์กระแทกตายได้
ภายใต้วิกฤตที่รุนแรงเช่นนี้ ทุกคนจึงต้องพยายามดิ้นรนอย่างสุดชีวิต
เมื่อเป็นเช่นนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนที่ยืนนิ่งจ้องมองมนุษย์หินสองตนนั้นต่อสู้กันจึงดูสะดุดตาเป็นพิเศษ ทำให้นักพรตด้านนอกที่ยังคงจับสังเกตเขาอยู่พากันแปลกใจ
“เจ้าป๋ายเสี่ยวฉุนผู้นี้เป็นอะไรไป? แม้ว่าการแสดงออกในด่านนี้จะปกติ ทว่าความเร็วก็ถือว่าเร็วมาก รีบไปที่ทางออกสิ!”
“เจ้าหมอนี่ร้ายกาจจริง เข้ามาอยู่หนึ่งหมื่นอันดับแรก ขอแค่เขาไปถึงทางออกเหยียบเข้าสู่สายรุ้งสีเหลืองก็จะติดห้าพันอันดับแรกทันที!”
“ทำไมเขาถึงไม่ขยับล่ะ?”
ขณะที่พวกนักพรตซึ่งจับสังเกตป๋ายเสี่ยวฉุนต่างก็ไม่เข้าใจ ทางฝ่ายป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็เริ่มสับสน เวลานี้ความสงสัยมากมายเกี่ยวกับคาถาขุนเขาในสมองเขาต่างก็ถูกไขออกจนกระจ่างแจ้ง โอกาสเช่นนี้เขาไม่อยากละทิ้ง
ในการประลองสีส้มนี้ พลังจิตของเขาเองก็ถูกจำกัด ทำได้เพียงแผ่ออกไปในรัศมีหลายร้อยจั้งเท่านั้น และตาเปล่าที่หันไปมองมนุษย์หินก็คล้ายจะมีผ้าคลุมหน้าบางๆ กางกั้นเอาไว้
“หากสามารถเข้าไปใกล้ได้อีกนิด ใช้พลังจิตสังเกตอย่างละเอียด ถ้าเช่นนั้นข้าก็มั่นใจว่าจะต้องเข้าใจร่างของมนุษย์หินนี้อย่างถ่องแท้!” ดวงตาป๋ายเสี่ยวฉุนเริ่มแดงก่ำ หลังจากลังเลอยู่ชั่วครู่ก็กัดฟันกรอดหนึ่งครั้ง “อย่างมากสุดข้าก็บีบหยกเจ็ดสีให้แตกก็แล้วกัน!”
สะบัดร่างหนึ่งครั้งพริบตาเดียวก็เคลื่อนย้ายออกไป ไม่ได้พุ่งไปยังทางออก แต่ห้อตะบึงกลับไปข้างหลัง!
ภาพเหตุการณ์นี้ทำให้ทุกคนที่จับตามองอยู่ล้วนอึ้งงันกันไปหมด แต่ยังไม่ทันที่พวกเขาจะส่งเสียงอุทานด้วยความตกใจ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็เพิ่มความเร็วกลายร่างเป็นรุ้งยาวเส้นหนึ่งและบินผลุงขึ้นสูงจากพื้นดินของสายรุ้งสีส้ม ทำเอานักพรตเหล่านั้นที่กำลังประลองอยู่ในที่แห่งนี้เบิกตากว้างทุกคน
“เขาจะทำอะไร…”
ท่ามกลางเสียงร้องอุทานด้วยความตกตะลึงนี้ ร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนกลายร่างเป็นรุ้งเส้นยาวบินเลื้อยพันขึ้นไปตามขาของมนุษย์หินตนหนึ่งที่กำลังต่อสู้ และบินขึ้นสู่ด้านบนอย่างรวดเร็ว
เมื่อมองไกลๆ หากเทียบกับมนุษย์หินใหญ่ยักษ์ตนนั้นแล้ว ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ราวกับมดเล็กๆ ตัวหนึ่ง ทว่ากลับคล่องแคล่วว่องไวถึงขีดสุด กระโดดผลุงอยู่ไม่กี่ครั้งก็ใช้ทั้งมือทั้งเท้าปีนป่ายขึ้นมาจนถึงหลังของยักษ์ตนนี้ หลังจากที่คว้าจับหินก้อนหนึ่งที่นูนออกมา เขาก็หาจุดหนึ่งที่เว้าเข้าแล้วไปยืนอยู่ตรงนั้น เมื่อร่างของมนุษย์หินเคลื่อนไหว ร่างของเขาก็โอนเอนไปด้วย หลังจากพยายามนั่งขัดสมาธิแล้ว พลังจิตของป๋ายเสี่ยวฉุนก็พลันแผ่ออกแล้วสังเกตการณ์มนุษย์หินอย่างครบถ้วนทุกด้าน
บัดนี้ไม่ว่าจะเป็นนักพรตที่อยู่ในการประลองหรือว่าทุกคนที่อยู่ด้านนอกที่มองเห็นภาพเหตุการณ์นี้ ต่างก็สำลักลมหายใจกันไปหมด
“เขา…เขาถึงขนาดปีนขึ้นไปอยู่บนร่างของมนุษย์หินเชียวรึ!”
“เจ้าป๋ายเสี่ยวฉุนผู้นี้เป็นบ้าไปแล้วหรือไร?!”
“ดูเหมือนเขาจะกำลัง…ฝึกบำเพ็ญตบะ? สวรรค์ คนผู้นี้คิดอย่างไร คนอื่นมาอยู่ที่นี่ต่างก็ปรารถนาจะออกไปจากที่แห่งนี้ให้ได้โดยเร็ว แต่เขาไม่เพียงย้อนกลับมา ยังบำเพ็ญตบะด้วย ที่นี่คือการประลองนะ ไม่ใช่สถานที่ฝึกบำเพ็ญตบะ!” เสียงฮือฮาดังสะท้อนไปรอบด้าน การกระทำนี้ของป๋ายเสี่ยวฉุนสร้างความตื่นตะลึงให้กับทุกคนที่อยู่ด้านนอกทันที
มาบัดนี้ ดวงดาวของจ้าวอี้ตงกลับไม่มีใครให้ความสำคัญมากเท่าไหร่อีกแล้ว เห็นได้ชัดว่าการแสดงออกของป๋ายเสี่ยวฉุน ต่อให้จะอยู่แค่บนสายรุ้งสีส้มก็ยังสร้างความสะท้านสะเทือนให้กับคนมากมายได้อยู่ดี
อีกทั้งเมื่อเวลาผ่านไป ผู้ที่เฝ้ามองอยู่ด้านนอกก็ยังพากันขยายเรื่องนี้ออกไป ทำให้นักพรตของสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ต่างพากันเงยหน้ามองจากตำแหน่งของตัวเอง
ซ่งเชวียในเวลานี้เดิมทีกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ แต่ไม่นานในถุงเก็บของของเขาก็สั่นสะเทือน หลังจากลืมตาทั้งคู่ขึ้นซ่งเชวียก็หยิบเอาแผ่นหยกขึ้นมา พอเห็นว่าเป็นข้อความเสียงจากสหายนักพรตซึ่งเขารู้จักช่วงที่ผ่านมาจึงกวาดพลังจิตมองไปหนึ่งครั้ง แล้วซ่งเชวียก็ต้องเบิกตากว้าง ลุกพรวดขึ้นยืนทันใด
“ป๋ายเสี่ยวฉุน?!” เขาพุ่งถลันออกไปนอกถ้ำด้วยความเร็วแล้วเงยหน้าขึ้น มองปราดเดียวก็เห็นว่าบนสายรุ้งสีส้มเวลานี้มีดวงดาวส่องแสงพร่างพราว หลังจากสงบจิตใจ ชื่อของป๋ายเสี่ยวฉุนก็พลันลอยขึ้นมาในสมองของเขา
ขณะที่โลกภายนอกกำลังตะลึงลานกันอยู่นั้น ลมหายใจป๋ายเสี่ยวฉุนถี่กระชั้น รัดร่างของมนุษย์หินเอาไว้แน่น ทนรับกับลมพายุที่พัดคำรามอยู่รอบด้าน แผ่พลังจิตออกและไล่สังเกตไปตามโครงสร้างของร่างมนุษย์หิน
ไม่มีสถานที่ใดเหมาะสมให้เขาสังเกตมนุษย์หินไปมากกว่าที่แห่งนี้อีกแล้ว!
“หากต้องการผสานรวมกับภูเขาต้องเข้าใจก่อน!” ป๋ายเสี่ยวฉุนพึมพำเสียงเบา ขยับร่างหนึ่งครั้งแล้วมุดลอดเข้าไปในช่องโหว่งที่ด้านหลังของมนุษย์หินและปีนสูงขึ้นไปอีกครั้ง ตลอดทางที่เขาปีนไป มนุษย์หินตนนี้ยังคงต่อสู้กับศัตรูอย่างดุเดือด ร่างของมันจึงโยกคลอนอย่างรุนแรงคล้ายฟ้าจะถล่มดินจะทลาย เสียงกัมปนาทกึกก้องสะท้อนนภา
อีกทั้งยังมีหลายครั้งที่ร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนเกือบจะถูกสะบัดลอยออกมา โดยเฉพาะทุกครั้งที่ยักษ์สองตนนี้โจมตีกันเอง ตลอดร่างของพวกมันก็สั่นไหว สำหรับป๋ายเสี่ยวฉุนแล้ว การสั่นสะเทือนที่เหมือนแผ่นดินไหวนี้ทำให้เขาเกือบจะพลัดตกลงไปอยู่หลายครั้ง
และยังมีอยู่ครั้งหนึ่ง มนุษย์หินอีกตนที่อยู่ตรงข้ามกับมนุษย์หินที่ป๋ายเสี่ยวฉุนยืนอยู่ต่อยโครมลงมา ก่อให้เกิดเสียงอากาศระเบิด กลายร่างมาเป็นเวทอภินิหาร ท่ามกลางเสียงดังอึกทึกนั้น ป๋ายเสี่ยวฉุนกระอักเลือดสด ต่อให้เขาหลบอยู่ในรอยแยกแห่งนี้ อวัยวะตันห้าอวัยวะกลวงหกของเขาก็ยังคงถูกเขย่าคลอนไปด้วยอยู่ดี
ทว่านัยน์ตาเขากลับแฝงความยึดมั่น หลังจากคว้าจับไว้มั่นก็เดินหน้าไปอีกครั้ง ตอนนี้พลังจิตของเขาได้แผ่ออกไปทุกด้าน ภายใต้การสังเกตการณ์ครั้งนี้ เขาจึงเริ่มเข้าใจร่างของมนุษย์หินตนนี้มากขึ้นเรื่อยๆ
เหตุการณ์อันตรายต่างๆ เหล่านี้ทำให้ทุกคนที่มองอยู่รอบด้านสูดลมหายใจเฮือกอย่างต่อเนื่อง
หรือแม้แต่มนุษย์หินสองตนนั้นก็ยังสังเกตเห็นป๋ายเสี่ยวฉุน นัยน์ตาของพวกมันฉายประกายแสงแปลกใจ แต่กลับไม่ได้ไปขัดขวาง ยังคงจู่โจมกันอย่างดุเดือดเช่นเดิม
เวลาเดียวกันนั้นบนสายรุ้งหมื่นดวงดาว นอกหุบเขาหมื่นภูเขา ชายวัยกลางคนที่นั่งอยู่บนก้อนหินใหญ่สีดำออกเขียวลืมตาขึ้นช้าๆ มองไกลๆ ไปยังกระดานเกียรติคุณอันตมรรคาฟ้าดารา จ้องนิ่งไปยังป๋ายเสี่ยวฉุนที่อยู่บนสายรุ้งสีส้ม ไม่นานดวงตาของเขาก็ฉายแววแปลกประหลาด มุมปากค่อยๆ เผยรอยยิ้ม
“ถือว่ายังพอฉลาดอยู่บ้าง” ขณะที่เขาพึมพำเบาๆ ในสายรุ้งสีส้ม ลมหายใจป๋ายเสี่ยวฉุนไม่มั่นคง ร่างถลาออกไปอีกครั้ง เขาเข้าใจโครงสร้างตลอดร่างของมนุษย์หินตนนี้เกินครึ่งแล้ว ตอนนี้ขาดแค่ส่วนศีรษะเท่านั้น และที่นั่นก็เป็นส่วนที่อันตรายมากที่สุด ทว่าตอนนี้ในสมองของป๋ายเสี่ยวฉุนมีแต่คาถาคนขุนเขาคล้ายสภาวะตอนจมจ่อมอยู่กับการหลอมยา จึงฉวยโอกาสตอนที่มนุษย์หินสองตนนั้นกำลังโจมตีกันบินพรวดขึ้นไปด้านบนอย่างไม่กลัวตาย
ความเร็วมีมากเพราะมีทั้งปีกที่ปรากฏอยู่ด้านหลัง การระเบิดของชนาเขย่าภูเขา หรือแม้แต่เอ็นคงกระพันที่เท้าซ้ายกระทืบลงไปอย่างแรงหนึ่งครั้งจนก่อให้เกิดเสียงอากาศระเบิดดังเสียดแก้วหู กลายร่างเป็นภาพติดตา เมื่อมาปรากฏตัวอีกครั้งก็อยู่เหนือหัวของมนุษแย์หินแล้ว สถานที่แห่งนี้ลมพัดกระโชกแรงจนน่าตกใจ แม้แต่ยืนป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยังทำได้ไม่มั่นคง เขาจึงคว้าจับเส้นผมเส้นหนึ่งที่เป็นหินของมนุษย์หินเอาไว้ พลังจิตแผ่กระจายออกไปอย่างบ้าคลั่งหมายสังเกตส่วนศีรษะของมนุษย์หินตนนี้
ทว่าดูเหมือนที่นี่จะเป็นสถานที่ต้องห้ามของมนุษย์หิน มันขมวดคิ้วน้อยๆ แล้วสะบัดหัวอย่างแรง ทันใดนั้นตลอดร่างของมันก็มีลมพายุลูกใหญ่ระเบิดออก ลมพายุนี้รุนแรงมาก ทั้งยังพัดตะลุยหมุนคว้างไปรอบด้าน พวกนักพรตที่ฝ่าด่านอยู่บนพื้นดินรอบด้านแต่ละคนหวีดร้องโหยหวน รีบบีบหยกให้แตกแล้วนำส่งออกไปทันที
ส่วนทางป๋ายเสี่ยวฉุนก็จับผมหินเอาไว้ไม่อยู่ ร่างจึงถูกสลัดหลุดออกมา เวลาเดียวกันนั้น มือขวาของมนุษย์หินตนนั้นพลันยกขึ้น มือยักษ์ที่ใหญ่ราวกับภูเขาเอื้อมมาคว้าร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนเอาไว้คล้ายคว้าแมลงวันตัวหนึ่ง
เมื่อป๋ายเสี่ยวฉุนมองไป ตลอดทั้งโลกของเขาก็ถูกมือหินใหญ่ยักษ์นี่เข้ามาแทนที่ ทว่าบัดนี้ดวงตาของเขากลับเผยความเข้าใจกระจ่างแจ้งออกมาในที่สุด
“ผสานวิญญาณ!” ป๋ายเสี่ยวฉุนคำรามเบาๆ หนึ่งครั้ง มือทั้งคู่ทำมุทรา ร่ายวิชาผสานวิญญาณตามวิธีการของคาถาคนขุนเขา วิธีการผสานรวมวิญญาณนี้ก่อนหน้านั้นตอนที่อยู่ในหุบเขาหมื่นภูเขาป๋ายเสี่ยวฉุนได้ทดลองทำอยู่หลายครั้ง แต่ก็ล้มเหลวไปเสียทุกครั้ง ทว่าคราวนี้…วินาทีที่ร่ายมันออกมา ในสมองของป๋ายเสี่ยวฉุนกลับมีเสียงตูมดังหนึ่งครั้ง เขาแอบสัมผัสได้ว่าระหว่างตนและมนุษย์หินใหญ่ยักษ์ตนนั้นคล้ายจะเกิดความเชื่อมโยงบางอย่างที่มหัศจรรย์ต่อกัน
การเชื่อมโยงนี้พิเศษมากจนมิอาจอธิบายได้ ราวกับว่าเขาสามารถสัมผัสได้ถึงความเศร้าโศกและความดีใจของมนุษย์หินตนนั้น สัมผัสได้ถึงประสบการณ์ที่โชกโชนของมัน สัมผัสได้ถึงความบ้าคลั่งรวมไปถึงความขมขื่นของมนุษย์หิน และยังมีความเกลียดแค้นชิงชังที่มันมีต่อฟ้าดินแห่งนี้ และมีต่อสำนักอันตมรรคาฟ้าดารา
ป๋ายเสี่ยวฉุนตัวสั่นเยือกไปทั้งร่าง มนุษย์หินตนนั้นก็ตัวสั่นสะท้านอย่างแรงเช่นกัน เมื่อมองมายังป๋ายเสี่ยวฉุน ดวงตาของมันพลันฉายแสงคมกล้า มือขวาที่เอื้อมมาคว้าร่างป๋ายเสี่ยวฉุนกลับหยุดชะงักแล้วเปลี่ยนจากการกำมือมาเป็นการโบก!
การโบกมือครั้งนี้ทำให้ลมพายุพัดตลบขึ้นอีกครั้ง หอบเอาร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนให้ถอยไปด้านหลัง ความเร็วนั้นมากจนทำให้ร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนลอยกระเด็นไปถึงทางออกของสายรุ้งสีส้มในพริบตาเดียว!
ลมหายใจของป๋ายเสี่ยวฉุนยุ่งเหยิงไม่เป็นระเบียบ เมื่อมาถึงทางออก ร่างของเขาก็ถูกการนำส่งโอบล้อมทันที
ขณะที่กำลังจะถูกส่งไปยังสายรุ้งสีเหลืองชั้นที่สาม เขามองไกลๆ มายังมนุษย์หินตนนั้นด้วยความตื่นตะลึง ซึ่งเวลานี้มนุษย์หินตนนั้นได้ถอนสายตากลับไปแล้วและเริ่มต่อสู้กับมนุษย์หินเผ่าเดียวกับมันอีกครั้ง
เสียงกัมปนาทยังคงดังสะท้านฟ้าดิน ราวกับว่าการแสดงนี้ไม่มีวันยุติลง หรือจนกว่าจะตายกันไปข้าง!