Skip to content

A Will Eternal 429

บทที่ 429 คนผสานรวมกับภูเขา

“สายรุ้งสีน้ำเงินนั่นน่ารังเกียจจริงๆ ข้าไม่คุ้นเคยกับมัน มิฉะนั้นอันดับรายชื่อของข้าป๋ายเสี่ยวฉุนมีหรือจะอยู่แค่สี่ร้อยเก้าสิบกว่าแบบนี้?”

“ข้าจะต้องให้ดวงดาวลอยขึ้นสูงอีกครั้ง ข้ามผ่านสายรุ้งสีน้ำเงิน ลอดผ่านสายรุ้งสีคราม สุดท้ายเหยียบย่างเข้าสู่การประลองสูงสุดสีม่วง! รอครั้งหน้า ข้าผู้แซ่ป๋ายจะต้องทำได้แน่นอน!” น้ำเสียงของป๋ายเสี่ยวฉุนเด็ดเดี่ยว ทั้งยังมีปณิธานที่กร้าวแกร่งระเบิดออกมาจากร่างของเขา

ภาพนี้ทำให้จิตใจของจางต้าพั่งและเสินซ่วนจื่อถูกสั่นคลอนอีกครั้ง พวกเขายืนอึ้งอยู่ตรงนั้น มองหน้ากันไปมา หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็รีบเอ่ยปลอบใจ

“เสี่ยวฉุนอย่าเพิ่งท้อถอยไป ข้าได้ยินมาว่าหากฝ่าด่านสายรุ้งสีครามที่อยู่ต่อจากสายรุ้งสีน้ำเงินไปได้ ก็สามารถทิ้งรูปปั้นของตัวเองไว้ที่นั่น ต่อไปหากมีใครก็ตามที่ฝ่าด่านไปถึงสายรุ้งสีครามก็ต้องเอาชนะรูปปั้นของคนก่อนหน้านี้ให้ได้เสียก่อน ครั้งหน้าเจ้าต้องทำได้แน่นอน ทั้งยังสามารถทิ้งรูปปั้นของเจ้าไว้ให้คนหลังได้ท้าทายด้วย!”

“นั่นสิบุรพาจารย์น้อย สำนักอันตมรรคาฟ้าดารากว้างใหญ่ถึงเพียงนี้ ท่านได้เข้าไปอยู่ห้าร้อยอันดับแรกก็สร้างความสะเทือนขวัญให้กับทุกคนได้มากพออยู่แล้ว ข้าเชื่อว่าครั้งหน้าท่านต้องยิ่งทำให้พวกเขาสะท้านสะเทือนกันได้มากยิ่งกว่านี้แน่นอน!” ภายใต้การพูดปลอบใจของคนทั้งสอง สีหน้าของป๋ายเสี่ยวฉุนถึงได้คลายลง หน้าก็ก้มลงมา เพียงแต่ว่าความเสียดายและความไม่ยอมแพ้ยังคงอยู่

จางต้าพั่งและเสินซ่วนจื่อต่างก็รู้สึกแปลกๆ หลังจากเอ่ยเกลี้ยกล่อมอีกสองสามคำ เห็นว่าอารมณ์ของป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ดีขึ้นเท่าไหร่ ดังนั้นคนทั้งสองจึงมองหน้ากัน ลังเลอยู่เล็กน้อยก็ประสานมือคารวะแล้วจากไป

เมื่อคนทั้งสองจากไปแล้ว สีหน้าของป๋ายเสี่ยวฉุนก็คลายลงมาทันที เผยให้เห็นความลำพองใจ

“ฮ่าๆ การแสดงออกของข้าเช่นนี้ช่างถูกต้องยิ่งนัก สวีเป่าไฉสร้างคุณความชอบครั้งใหญ่เลยทีเดียว” เมื่อป๋ายเสี่ยวฉุนนึกถึงสีหน้าของจางต้าพั่งและเสินซ่วนจื่อก็พลันฮึกเหิมขึ้นมาในใจ แล้วทันใดนั้นบนท้องฟ้าที่ห่างออกไปไกลก็มีรุ้งยาวอีกเส้นบินตรงมา ซึ่งก็คือเฉินม่านเหยา

ชั่วขณะที่เฉินม่านเหยามาถึง ป๋ายเสี่ยวฉุนก็รีบเชิดหน้าขึ้นอีกครั้งทันที เอามือไพล่หลัง สีหน้ายังคงมีความไม่ยอมแพ้ นัยน์ตายังคงฉายแววลึกล้ำต่อไป ไม่รอให้เฉินม่านเหยาพูดเขาก็ชิงเอ่ยขึ้นมาก่อน

“เจ้าไม่ต้องเกลี้ยกล่อมข้าแล้ว!”

“สายรุ้งสีน้ำเงินนั่นน่ารังเกียจ…”

ท่ามกลางอาการมองตาค้างอ้าปากกว้างของเฉินม่านเหยา ป๋ายเสี่ยวฉุนก็เอาคำพูดก่อนหน้านี้มาพูดซ้ำอีกรอบ

“เสี่ยวฉุน เจ้า…” เฉินม่านเหยามองเห็นป๋ายเสี่ยวฉุนในยามนี้ก็จิตวิญญาณแกว่งไหวราวกับเพิ่งได้รู้จักเขาเป็นครั้งแรก

และก็เป็นเช่นนี้ หลายวันต่อจากนั้น ไม่ว่าใครก็ตามที่มาเยี่ยมเยียน…สิ่งที่พวกเขาจะได้เห็นก็คือป๋ายเสี่ยวฉุนที่มีท่าทีเช่นนี้ และที่ได้ยินก็คือประโยคนี้ ทุกคนต่างพกพาเอาความยินดีมาเยี่ยมเยือนและจากไปด้วยความเคารพนับถือ

สามวันหลังจากนั้น สวีเป่าไฉเองก็จัดการเรื่องราวในโรงเตี๊ยมเสร็จเรียบร้อยแล้วจึงบินขึ้นมาอยู่บนสายรุ้งแดนฟ้า สิ่งแรกที่เขาทำหลังจากมาถึงที่นี่ก็คือมาหาป๋ายเสี่ยวฉุนทันที ในถ้ำของป๋ายเสี่ยวฉุน คนทั้งสองปรึกษากันอยู่นานมาก สุดท้ายเมื่อสวีเป่าไฉขอคะแนนคุณความดีก้อนใหญ่เพื่อใช้เป็นค่าใช้จ่ายเรียบร้อยแล้วถึงได้จากไปด้วยความภาคภูมิใจ

ในด้านการสืบข่าวและการป่าวประกาศเรื่องราว สวีเป่าไฉมีวิธีการที่พิเศษอย่างแท้จริง ทั้งยังมีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง คราวนี้เพื่อแสดงออกถึงความสามารถและพรสวรรค์ทั้งหมดที่มีออกมา เขาจึงเริ่มป่าวประกาศเรื่องที่ป๋ายเสี่ยวฉุนคือศิษย์แห่งความภาคภูมิใจ ไม่นานตลอดทั้งสายรุ้งแดนฟ้าก็เริ่มปรากฏคำเล่าลือจำนวนนับไม่ถ้วน คำเล่าลือเหล่านี้มีทั้งคุยโว มีทั้งประเมินค่าต่ำ และยังมีทั้งจุดที่ขัดแย้งกันเอง ทว่ายิ่งเป็นเช่นนี้ก็ยิ่งทำให้มีหัวข้อมากมายเกิดขึ้น

หัวข้อเหล่านี้ไม่มีเรื่องไหนที่ไม่เกี่ยวข้องกับป๋ายเสี่ยวฉุน ไม่นานชื่อเสียงของป๋ายเสี่ยวฉุนก็เริ่มเลื่องลือในสายรุ้งแดนฟ้า เวลาเดียวกันนั้น ตัวป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็ให้ความร่วมมืออย่างสุดชีวิต ทุกวันจะต้องออกไปข้างนอกอยู่หลายครั้ง และจะต้องเอามือไพล่หลัง ทำท่าไม่ยอมแพ้ นัยน์ตาเผยความหมายลึกล้ำ สีหน้ามีความเด็ดเดี่ยวเวลาที่อยู่ในสถานที่ที่มีคนมาก ทำให้พวกนักพรตบนสายรุ้งแดนฟ้าที่ไม่รู้จักป๋ายเสี่ยวฉุนต่างก็สัมผัสได้ถึงความมั่นใจในตัวเองอย่างแรงกล้าของเขาและยังมีความภาคภูมิใจที่ฝังลึกอยู่ในกระดูกของคนที่เป็นศิษย์แห่งความภาคภูมิใจอย่างแท้จริง

พอยิ่งเป็นเช่นนี้ก็ยิ่งทำให้นักพรตจำนวนไม่น้อยของสายรุ้งแดนฟ้าเริ่มรอคอยการฝ่ากระดานเกียรติคุณอันตมรรคาฟ้าดาราครั้งหน้าของป๋ายเสี่ยวฉุน

ป๋ายเสี่ยวฉุนดื่มด่ำไปกับสายตาของคนมากมายเวลาที่ออกไปข้างนอก ในใจหัวเราะร่าด้วยความปิติสุข ส่วนหญ้าทะเลหมอกเจ็ดสีที่จำเป็นต้องอยู่หนึ่งพันอันดับแรกถึงจะซื้อได้นั้น ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ซื้อมาไว้นานแล้ว

เมื่อเอามารวมกับพืชหญ้าที่เตรียมไว้ก่อนหน้านี้ หลังจากปิดด่านอยู่หลายวันเขาก็หลอมยาเม็ดหนึ่งที่มีสรรพคุณให้ตัวเองลืมตนได้

มองยาในมือที่เปล่งประกายแสงเจ็ดสี ดวงตาป๋ายเสี่ยวฉุนก็เผยความลำพองใจ

“คราวนี้ข้าต้องประจักษ์แจ้งคาถาคนขุนเขาได้แน่ๆ!” ป๋ายเสี่ยวฉุนฮึกเหิมเป็นกำลัง นึกถึงความรู้สึกที่ตัวเองได้รับมาจากมนุษย์หินตอนอยู่บนกระดานเกียรติคุณอันตมรรคาฟ้าดาราเขาก็มั่นใจเต็มร้อย ดังนั้นจึงถือยาบินออกไปนอกถ้ำ ขึ้นไปบนสายรุ้งหมื่นดวงดาว ตรงดิ่งที่ไปหุบเขาหมื่นภูเขา

เมื่อป๋ายเสี่ยวฉุนมาถึงนอกหุบเขาหมื่นภูเขาก็มองเห็นสือซานที่นั่งนิ่งอยู่บนก้อนหินใหญ่คล้ายหินรูปลิงทันที

“ป๋ายเสี่ยวฉุนคารวะศิษย์พี่สือ” ครั้งนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนสังเกตสือซานผู้ที่นั่งอยู่ข้างหน้าอย่างละเอียด แม้จะยังคงมองไม่ออกถึงความตื้นลึกของตบะอีกฝ่าย แต่กลับสัมผัสได้ว่าบนร่างของอีกฝ่ายเหมือนจะมีปราณที่คล้ายคลึงกับมนุษย์หินในกระดานเกียรติคุณอันตมรรคาฟ้าดารา ในใจป๋ายเสี่ยวฉุนกระตุกจึงถอนสายตากลับคืนมาแล้วคารวะหนึ่งครั้ง

สือซานลืมตาทั้งคู่ขึ้น ดวงตาของเขาคมกล้า หลังจากมองป๋ายเสี่ยวฉุน บนใบหน้าก็เผยรอยยิ้มบางๆ ที่หาได้ยาก นัยน์ตายิ่งมีความหมายลึกล้ำ พอพยักหน้ารับก็ไม่ได้พูดอะไรมาก แต่ยกมือขวาขึ้นชี้ไปด้านข้าง

ทันใดนั้นพื้นดินก็พลันสั่นไหว มือหินขนาดใหญ่ยักษ์ข้างหนึ่งลอยขึ้นมาจากพื้นดิน ป๋ายเสี่ยวฉุนคุ้นเคยดีอยู่แล้ว ขยับร่างหนึ่งครั้งจึงมาเหยียบอยู่บนมือหิน เมื่อมือหินจมลง ดวงตาของป๋ายเสี่ยวฉุนก็พร่าลายคล้ายถูกนำส่ง พอทุกอย่างมองเห็นได้ชัดเจนอีกครั้ง เขาก็มาปรากฏตัวอยู่ในโลกประหลาดที่เต็มไปด้วยภูเขาจำนวนนับไม่ถ้วนแล้ว

เมื่อได้มาเยือนอีกครั้ง ดวงตาของป๋ายเสี่ยวฉุนก็เผยความมั่นใจ ทะยานดิ่งตรงไปยังสถานที่ตั้งของภูเขามนุษย์หินตามเส้นทางที่ตัวเองมาคราวก่อน ครั้งนี้มีเป้าหมายที่แน่นอน เขาจึงไม่ได้ใช้เวลานานนักก็มาถึงสถานที่ตั้งของภูเขามนุษย์หิน และนั่งขัดสมาธิอยู่บนยอดเขาโดยตรง

หลังจากนั่งลงไป ป๋ายเสี่ยวฉุนก็หยิบเอายาออกมา หลังจากลังเลอยู่เล็กน้อยเขาก็กัดฟันกรอด

“คาถาคนขุนเขานี้คือวิชาที่ข้าได้มาหลังจากที่ได้รับตราประทับทั้งหมดในภูเขาพื้นที่สืบทอดของปีนั้น หากไม่ฝึกมันให้สำเร็จก็จะเป็นการสิ้นเปลืองเกินไป ครั้งนี้ต้องทำสำเร็จให้ได้!” ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง มองยาในมือที่มีสรรพคุณให้ลืมตนเม็ดนั้น

“คนผสานรวมกับภูเขา จำเป็นต้องลืมตน แล้วค่อยลืมภูเขา หลังจากนั้นก็ฟื้นตื่นขึ้นมา เจ้าคือภูเขา ภูเขาก็คือเจ้า…” ป๋ายเสี่ยวฉุนพึมพำเบาๆ เริ่มโคจรคาถาคนขุนเขาเพื่อพยายามทดลองทำความเข้าใจกับภูเขาที่อยู่ด้านล่าง พยายามสื่อสารและผสานรวมเข้ากับมัน จนกระทั่งการทดลองนี้ดำเนินไปหลายสิบครั้ง พอเขาฝืนตัวเองจนการกระทำเช่นนี้กลายมาเป็นสัญชาตญาณอย่างหนึ่งที่สามารถดำเนินต่อเนื่องไปได้ในช่วงระยะเวลาสั้นๆ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็โยนยาเม็ดนั้นเข้าปากแล้วกลืนลงไปทันที

เมื่อยาเม็ดนั้นเข้าไปอยู่ในปากมันก็ไปละลายอยู่ในท้องของเขา กลายมาเป็นกระแสความร้อนจำนวนนับไม่ถ้วนที่แผ่ซ่านไปทั่วทั้งร่าง หลังจากไหลวนครบหนึ่งรอบแล้วก็พากันพวยพุ่งขึ้นมาบนศีรษะของเขา เสียงตูมดังหนึ่งครั้ง ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกเหมือนแค่ว่ามีฟ้าผ่าลงมาที่หัวของตัวเอง สมองของเขาเปลี่ยนมาเป็นว่างเปล่าขาวโพลน

แม้สมองของเขาจะว่างเปล่า ทว่าร่างกายของเขายังคงดำเนินไปตามสัญชาตญานก่อนหน้านั้น ยังทดลองสื่อสารกับภูเขาลูกนี้ ทดลองผสานรวมกันวัน

เวลาผันผ่านไปสามวัน สามวันมานี้ป๋ายเสี่ยวฉุนนั่งนิ่งไม่ขยับ เขาลืมตัวเอง ตลอดทั้งร่างมีเพียงจิตวิญญาณเปล่าๆ ส่วนภูเขามนุษย์หินที่อยู่ด้านล่างเขาก็ลืมมันไปแล้วเช่นกัน สมองของเขาพร่าเลือน ไม่มีความคิดใดๆ หลงเหลืออยู่

จนกระทั่งมาถึงวันที่เจ็ด สมองของเขาถึงได้มีความคิดง่ายๆ บางส่วนเกิดขึ้น การปรากฏขึ้นของความคิดเหล่านี้ เนื่องจากสมองของเขาว่างเปล่า ดังนั้นมันจึงล่องลอยไปเรื่อยๆ และก็ผ่านไปอีกหลายวัน ความคิดเหล่านี้ถึงได้ค่อยๆ เข้ามารวมตัวกัน และก่อกลายมาเป็นเค้าโครงของมนุษย์หินในสมองของเขา

เค้าโครงนี้คล้ายคลึงกับภูเขาที่อยู่ด้านล่าง และก็คล้ายคลึงกับมนุษย์หินที่เขาทำความเข้าใจในกระดานเกียรติคุณอันตมรรคาฟ้าดารา…

จนกระทั่งผ่านไปอีกครึ่งเดือน ป๋ายเสี่ยวฉุนยังไม่ตื่นขึ้นมา ทว่าเค้าโครงของมนุษย์หินในสมองของเขากลับเริ่มสมบูรณ์แบบมากขึ้นเรื่อยๆ มองแล้วเหมือนมีชีวิตจริง เวลาเดียวกันนั้นโลกภายนอกของสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราก็เกิดเรื่องหนึ่งที่เขย่าคลอนไปทั้งสำนัก ซึ่งแม้แต่เจ้าสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราก็ยังให้ความสนใจเรื่องนี้

กงซุนหว่านเอ๋อร์…ฝ่าด่านกระดานเกียรติคุณอันตมรรคาฟ้าดารา!

การฝ่าด่านของนางเดิมทีไม่มีใครสนใจ ทว่าเมื่อดวงดาวของนางเลื่อนขึ้นสูงด้วยความเร็วที่มากจนน่าตกใจ รวมไปถึงวิธีการประลองที่แตกต่างไปจากคนอื่นก็ยิ่งทำให้นักพรตจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ตะลึงลาน!

สายรุ้งสีแดง บนทะเลเพลิงแห่งนั้น กงซุนหว่านเอ๋อร์กลายร่างเป็นเทพแห่งการสังหาร นางเข่นฆ่าสัตว์ร้ายไปตลอดทาง เหยียบย่ำอยู่บนซากศพของสัตว์ร้ายจำนวนนับไม่ถ้วนเพื่อข้ามผ่านทะเลเพลิงแห่งนั้น ภาพเหตุการณ์นี้ทำให้พวกลูกศิษย์ที่อยู่ในการประลองสายรุ้งสีแดงเหมือนกันต่างก็หนังหัวชาหนึบ เพราะบนทะเลเพลิงคล้ายมีสะพานซากศพเกิดขึ้น!

และการต่อสู้ระหว่างมนุษย์หินในสายรุ้งสีส้ม คนอื่นๆ ล้วนพยายามหลบเลี่ยง ทว่ากงซุนหว่านเอ๋อร์กลับเดินผ่านไปปกติราวกับเดินอยู่บนพื้นดินธรรมดาๆ และยังมีการตีดาบเหล็กในสายรุ้งสีเหลืองที่นางยังคงผ่านไปได้สบายๆ เช่นเดิม

และเมื่อมาอยู่ท่ามกลางสายฟ้าของสายรุ้งสีเขียว นางก็สูดลมหนึ่งครั้ง ดูดเอาสายฟ้าจำนวนไม่น้อยเข้าไปในปากแล้วเหยียบย่างอยู่บนสายฟ้า เดินไปจนถึงปลายทาง

ที่น่าตะลึงมากที่สุดก็คือบนสายรุ้งสีน้ำเงิน แค่กงซุนหว่านเอ๋อร์ปรากฏตัวก็ทำให้วิญญาณพยาบาททั้งหมดที่อยู่ที่นั่นตัวสั่นสะท้าน ไม่มีตนใดกล้าออกมาปรากฏตัว มีเพียงวิญญาณจักรพรรดิร่างใหญ่ยักษ์ตนนั้นที่ออกมาพร้อมเสียงคำราม หลังจากประมือกับนางฝีมือกลับสูสีกันจนแยกไม่ได้ว่าใครแพ้ใครชนะ!!

ภาพเหตุการณ์นี้สร้างความครึกโครมให้แก่ตลอดทั้งสำนักอันตมรรคาฟ้าดารา

ต้องรู้ว่าฝีมือของวิญญาณจักรพรรดิเทียบเคียงได้กับก่อกำเนิดขั้นต้นทั่วไป!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version