บทที่ 433 หกชั่วยาม
ทว่าชั่วขณะที่เสียงของซือหม่าเฟยหรูดังขึ้น พลังตบะรวมโอสถช่วงท้ายก็ระเบิดออกมาจากในบ่อลึกด้วย
และรอบบ่อเย็นแห่งนี้ รวมไปถึงบนท้องฟ้าก็มีเงาร่างของนักพรตหลายสิบคนปรากฏออกมา คนเหล่านี้ล้วนเป็นผู้ที่ติดตามซือหม่าเฟยหรู หลังจากที่ปรากฏตัวแต่ละคนก็เผยรอยยิ้มเย็นชา พวกเขาเชื่อว่าจุดจบของนักพรตคนที่กล้ามารบกวนนายน้อยของพวกเขาต้องอนาถมากอย่างแน่นอน
ต้องรู้ว่าการล้อมพื้นที่บำเพ็ญตบะของซือหม่าเฟยหรูไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้นแค่ครั้งสองครั้งแล้ว และใช่ว่าจะไม่มีใครพยายามลองดี แต่สุดท้ายแล้วคนเหล่านั้นล้วนเป็นฝ่ายเสียเปรียบอย่างหนัก และหลังจากนั้นก็ไม่มีใครกล้ามาข้องแวะกับซือหม่าเฟยหรูอีกเลย
ความร้อนใจของป๋ายเสี่ยวฉุนที่อยู่บนท้องฟ้าบัดนี้ก็ได้แปรเปลี่ยนมาเป็นความเดือดดาลเช่นกัน นัยน์ตาเขาฉายแสงเย็นเยียบ มือขวาทำมุทราแล้วชี้ลงไปยังบ่อลึกที่อยู่ด้านล่างหนึ่งครั้ง
“หุบปาก!” ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนคำรามกร้าว คาถาหันเหมินเลี้ยงความคิดของเขาก็โคจรและระเบิดออกตามนิ้วชี้ของมือขวาที่ชี้ไป ไอความเย็นที่เกือบจะไกล้เคียงกับความเย็นระดับสูงพลันระเบิดตูมเข้าใส่บ่อลึกที่อยู่เบื้องล่าง
ไอความเย็นทรงพลัง วินาทีที่ซือหม่าเฟยหรูซึ่งอยู่ในบ่อลึกทำท่าจะกระโจนขึ้นมา ไอความเย็นนี้ก็ตกกระทบลงบนผิวน้ำของบ่อลึกโดยที่ไม่มีหยุดชะงัก เสียงเปรี๊ยะๆๆ ดังกังวานไปทั่วทิศ น้ำของบ่อลึกนั้นกลายมาเป็นน้ำแข็ง…ในชั่วพริบตาเดียว!
เวลาเพียงแค่หนึ่งชั่วลมหายใจ บ่อทั้งบ่อก็ถูกปิดผนึกด้วยน้ำแข็ง และที่ถูกปิดผนึกไปพร้อมกันยังมีใบหน้าขนาดใหญ่ยักษ์ รวมไปถึงซือหม่าเฟยหรูที่อยู่ในบ่อซึ่งกำลังจะพุ่งตัวออกมาด้วย
ซือหม่าเฟยหรูหน้าเปลี่ยนสี ยังไม่ทันรอให้เขาได้ดิ้นรนอะไร ร่างของเขาก็พลันแข็งค้าง ถูกไอความเย็นที่ในสายตาของเขาช่างน่ากลัวอย่างหาอะไรมาเปรียบไม่ได้ปิดผนึกร่างทั้งร่างของเขาในชั่วพริบตา ทำให้เขากลายมาเป็นรูปปั้นน้ำแข็งรูปหนึ่ง…
เขาอ้าปากกว้างมาก ดวงตาของเขาก็ถลึงจนกลมโต ส่วนความเหลือเชื่อที่เผยออกมาทางสีหน้าก็ยิ่งเด่นชัดถึงขีดสุด
พวกผู้ติดตามที่อยู่รอบบ่อเย็นสำลักลมหายใจ ทุกคนมองตะลึงตาค้างกันไปหมด
“นี่…นี่จะเป็นไปได้อย่างไร!”
“นั่นคือ…ป๋ายเสี่ยวฉุน? สวรรค์ เขาอยู่ในอันดับที่สี่ร้อยเก้าสิบกว่าไม่ใช่หรือ แต่นี่แค่ชี้ครั้งเดียวเขากลับปิดผนึกซือหม่าเฟยหรูได้แล้ว!!”
ขณะที่ในสมองของพวกผู้ติดตามซือหม่าเฟยหรูมีแต่เสียงดังอึงอล เห็นว่าป๋ายเสี่ยวฉุนบินมาอย่างรวดเร็ว แต่ละคนก็พากันหลีกทางให้พร้อมสูดลมหายใจเฮือกๆ ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนผ่านไปได้อย่างไร้อุปสรรค จนกระทั่งบินออกไปจากรัศมีพันลี้
ไม่นานหลังจากนั้น ภายใต้การห้อตะบึงของป๋ายเสี่ยวฉุน ในที่สุดเขาก็มาถึงศาลาปราบมาร และพุ่งเข้าไปข้างในอย่างไร้ซึ่งความลังเล เมื่ออยู่นอกศาลาปราบมาร แม้ว่าป๋ายเสี่ยวฉุนจะมีชื่อเสียง ทว่าคนที่เคารพนับถือเขานั้นมีไม่มาก แต่ในศาลาปราบมารแห่งนี้ เนื่องด้วยมีเฝิงโหย่วเต๋อหนุนหลัง จึงมากพอที่จะทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนใช้อำนาจบาตรใหญ่ได้เต็มที่ ตลอดทางที่ผ่านมาจึงไม่มีใครขัดขวางเขา จนกระทั่งเขามาปรากฏตัวอยู่ในตำหนักใหญ่ของศาลาปราบมาร
“ป๋ายเสี่ยวฉุนคารวะเจินเหริน!” ป๋ายเสี่ยวฉุนบุกเข้ามาในตำหนักใหญ่ หลังจากมองเห็นเฝิงโหย่วเต๋อที่นั่งอยู่ข้างในนั้นเขาก็ประสานมือคารวะโค้งตัวลงต่ำ
“ขอเจินเหรินโปรดช่วยข้าด้วย!!” หลังจากเงยหน้าขึ้น ป๋ายเสี่ยวฉุนก็เอ่ยอย่างร้อนรน
“มีอะไรอีกรึ?” เฝิงโหย่วเต๋อเหนื่อยใจอย่างมาก เหลือบตามามองป๋ายเสี่ยวฉุนหนึ่งครั้ง
ป๋ายเสี่ยวฉุนจึงรีบเล่าเรื่องของจางต้าพั่งออกมา ขอร้องให้เฝิงโหย่วเต๋อช่วยเหลือครั้งแล้วครั้งเล่า อีกทั้งยังโค้งคำนับไม่หยุด
สีหน้าของเฝิงโหย่วเต๋อเริ่มเปลี่ยนมาเป็นเคร่งเครียด เขาไม่เคยเห็นป๋ายเสี่ยวฉุนในสภาพแบบนี้มาก่อน จึงตั้งใจฟังอย่างจริงจัง หลังจากฟังจบเขาก็ขมวดคิ้วครุ่นคิดอยู่พักใหญ่
“ยาแห่งความคิด…เอาเถอะ ตัวข้าจะไปดูให้ก็แล้วกัน” เฝิงโหย่วเต๋อลุกขึ้นยืน ป๋ายเสี่ยวฉุนซาบซึ้งใจ หลังจากประสานมือคารวะอีกครั้ง เฝิงโหย่วเต๋อก็สะบัดปลายแขนเสื้อ พาป๋ายเสี่ยวฉุนหายตัวไปพร้อมกัน
เมื่อปรากฏตัวอีกครั้งก็มาอยู่นอกรัศมีพันลี้ หลังจากหายตัวด้วยความเร็วเหนือแสงอีกครั้งก็มาอยู่นอกถ้ำของจางต้าพั่งแล้ว วิธีการหายตัวเช่นนี้ทำให้จิตใจของป๋ายเสี่ยวฉุนสั่นไหว ทว่าไม่มีเวลามามัวอิจฉา เขารีบพาเฝิงโหย่วเต๋อตรงดิ่งเข้าไปในถ้ำของจางต้าพั่งทันที
เสินซ่วนจื่อ เฉินม่านเหยาและสวีเป่าไฉเมื่อเห็นว่าป๋ายเสี่ยวฉุนถึงกับพา
เฝิงโหย่วเต๋อมาได้จึงรีบคารวะและถอยออกไปเพื่อหลีกทางให้
เฝิงโหย่วเต๋อสนใจแค่ป๋ายเสี่ยวฉุน คนอื่นๆ เขาไม่เคยเห็นอยู่ในสายตาจึงไม่แม้แต่จะมองหน้า หลังจากเดินมาหยุดอยู่ข้างกายจางต้าพั่งแล้ว มือขวาของเขาก็ยกขึ้นและกดลงไปบนหว่างคิ้วของจางต้าพั่ง แผ่กระแสจิตออกมาตรวจสอบอย่างละเอียด
แล้วสีหน้าของเขาก็เริ่มเคร่งเครียดมากขึ้นเรื่อยๆ
มองเห็นสีหน้าของเฝิงโหย่วเต๋อ ใจของป๋ายเสี่ยวฉุนก็หล่นลงดังโครม หน้าเขาซีดขาวขึ้นมาทันทีทันใด
“เป็นยาแห่งความคิดจริงๆ ด้วย…” ผ่านไปครู่ใหญ่เฝิงโหย่วเต๋อถึงได้เอามือออก แล้วจึงพูดเนิบนาบพร้อมขมวดคิ้วมุ่น
“หากเด็กคนนี้รวมโอสถภายในครึ่งเดือน ข้าผู้อาวุโสยังมีวิธีช่วยเขา ทว่าตอนนี้พลังแห่งชีวิตของเขาแห้งเหือดไปแล้ว ลมหายใจก็เบาบางดุจเส้นใหม อยู่ห่างจากความตายอีกแค่ก้าวเดียว ข้าผู้อาวุโสไม่สามารถขัดบัญชาสวรรค์ ช่วยเขาไม่ได้หรอก” เฝิงโหย่วเต๋อถอนหายใจหนึ่งครั้ง แล้วมองมายังป๋ายเสี่ยวฉุน
ป๋ายเสี่ยวฉุนราวกับถูกค้อนหนักๆ ทุบลงบนหัวใจ ใบหน้าเขาซีดเผือด เซถอยหลังไปหลายก้าว สีหน้ามีความเจ็บปวดเศร้าอาดูร เขารู้สึกว่าใจของตัวเองในเวลานี้ราวกับถูกบดขยี้ให้แหลกละเอียด ความเจ็บปวดที่พูดไม่ออกทำให้แม้แต่การหายใจของเขาก็ยังยากลำบาก
สิ่งที่ปรากฏขึ้นในสมองของเขามีแต่ภาพเหตุการณ์ระหว่างตนและจางต้าพั่ง
“ไม่มีวิธีอื่นแล้วหรือ” ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ยอมแพ้ เขามองจางต้าพั่งที่ผอมราวกับโครงกระดูก นัยน์ตาเริ่มปรากฏเส้นเลือดฝอยจำนวนมาก มองดูแล้วราวกับคนสติวิปลาส
“เขาเป็นอะไรกับเจ้า?” นัยน์ตาของเฝิงโหย่วเต๋อฉายแววลึกล้ำ เอ่ยถามเสียงหนัก
“เขาคือศิษย์พี่ใหญ่ของข้า!” ป๋ายเสี่ยวฉุนมองเฝิงโหย่วเต๋อ ในดวงตาทั้งคู่เผยความดึงดันรวมไปถึงการตัดสินใจเด็ดเดี่ยวที่ไม่ว่าต้องจ่ายค่าตอบแทนเท่าไหร่ก็ต้องช่วยจางต้าพั่งให้ได้ ทำให้เฝิงโหย่วเต๋อที่มองดูอยู่ใจสั่นสะท้าน
สำหรับป๋ายเสี่ยวฉุนผู้นี้ เฝิงโหย่วเต๋อให้การดูแลและสนใจเป็นพิเศษก็เพราะเห็นแก่คำสัญญาที่บุคคลยิ่งใหญ่ผู้นั้นมอบให้แก่ตน ทว่ามาจนกระทั่งบัดนี้ เมื่อเขามองเห็นสายตาของป๋ายเสี่ยวฉุน เขาก็สัมผัสได้ว่าบนร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนมีอารมณ์อย่างหนึ่งที่ตนไม่เคยได้เห็นมานานมากแล้ว
“นึกไม่ถึงว่าเด็กคนนี้จะมีน้ำใจรักพวกพ้องมากถึงเพียงนี้…” เฝิงโหย่วเต๋อพึมพำอยู่กับตัวเองในใจ ด้วยตบะและอายุของเขาย่อมดูออกว่าการกระทำของป๋ายเสี่ยวฉุนนั้นเสแสร้งหรือจริงใจ หลังจากใคร่ครวญอยู่พักใหญ่ เขาก็หันกลับไปตรวจสอบจางต้าพั่งอีกครั้ง ผ่านไปครึ่งก้านธูป เฝิงโหย่วเต๋อก็พลันเอ่ยขึ้นมา
“หากคิดจะช่วยศิษย์พี่ใหญ่ของเจ้าก็ใช่ว่าจะไม่มีวิธีเสียเลย แม้ว่านักพรตก่อกำเนิดจะไม่สามารถช่วยได้ ทว่าหากมีผู้อาวุโสคนฟ้ายอมลงมือช่วยเหลือต้องทำได้แน่นอน และอาจจะไม่จำเป็นต้องให้คนฟ้าลงมืออะไรมาก เพียงแค่ใช้พลังของคนฟ้าเสี้ยวเดียวก็สามารถทำให้ยาแห่งความคิดในร่างของศิษย์พี่ใหญ่เจ้าเปลี่ยนจากยุ่งเหยิงมาเป็นปกติ และรวมโอสถได้อย่างราบรื่น!” เฝิงโหย่วเต๋อมองมายังป๋ายเสี่ยวฉุน เมื่อคำพูดของเขาดังออกมา ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ตัวสั่นเยือก นัยน์ตาพลันฉายแสงคมกล้าร้อนแรง
“พลังของคนฟ้า? จะเอามาได้อย่างไร! ข้ายินดีจ่ายคะแนนคุณความดีทั้งหมดเพื่อซื้อมา!” ป๋ายเสี่ยวฉุนพูดขึ้นอย่างฉับไวโดยไร้ซึ่งความลังเลใจ นัยน์ตาเขาเผยความเด็ดเดี่ยวและยืนกราน จนพวกเสินซ่วนจื่อที่อยู่ข้างกันก็ยังสัมผัสได้อย่างชัดเจน
“พลังของคนฟ้า อันที่จริงแล้วก็คือปราณที่ผู้อาวุโสคนฟ้าใช้เวลาหลอมออกมาจากในร่างของตัวเอง รวบรวมให้กลายมาเป็นเส้นใยจำนวนมาก แล้วปิดผนึกไว้ในยันต์รูปแบบพิเศษ เป็นเหมือนอาวุธวิเศษชิ้นหนึ่งที่ใช้ได้ครั้งเดียว ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะมอบให้ลูกศิษย์ไว้ใช้ป้องกันกาย”
“วัตถุเช่นนี้จำเป็นต้องให้คนฟ้าใช้เวลาหลายปีถึงจะหลอมออกมาได้สักชิ้นหนึ่ง ความมากของมูลค่านั้นมิใช่ว่าคะแนนคุณความดีจะหาซื้อได้” เฝิงโหย่วเต๋อส่ายหน้า
เสินซ่วนจื่อสูดลมหายใจหนึ่งครั้ง มองหน้ากับสวีเป่าไฉที่อยู่ข้างกัน วัตถุที่จะต้องเป็นลูกศิษย์ของคนฟ้าเท่านั้นถึงจะมีป้องกันกายได้เช่นนี้ หากคิดจะครอบครองก็ช่างเป็นเรื่องที่ลำบากยากเย็นยิ่งนัก
ใบหน้าของป๋ายเสี่ยวฉุนขาวซีดอีกครั้ง
ทว่าก็ยังคงมีความหวัง เขาเชื่อว่าเฝิงโหย่วเต๋อยังพูดไม่จบ
“คิดจะเอาพลังของคนฟ้ามา หากไม่ไหว้คนฟ้าเป็นอาจารย์ ตัวเป็นศิษย์ของคนฟ้าย่อมได้รับมาชิ้นหนึ่ง ถ้าเช่นนั้นก็ต้อง…ไปฝ่ากระดานเกียรติคุณอันตมรรคาฟ้าดารา ขอแค่เข้าไปในสายรุ้งสีม่วงได้ ก็สามารถเสนอของรางวัลชิ้นหนึ่งที่ไม่มากเกินไปจากสำนัก ซึ่งเจ้าสามารถขอพลังของคนฟ้ามาชิ้นหนึ่ง!”
เฝิงโหย่วเต๋อมองป๋ายเสี่ยวฉุน เอ่ยปากเนิบช้า
“รุ้งสีม่วง? นั่นจะเป็นไปได้อย่างไร…” สวีเป่าไฉร้องเสียงหลง เขามาอยู่สำนักอันตมรรคาฟ้าดาราได้นานพอสมควรแล้ว แม้ว่าเพิ่งจะขึ้นมาอยู่บนสายรุ้งได้แค่ไม่กี่เดือน ทว่าตอนที่อยู่นครฟ้า เขาเองก็ได้ทำความเข้าใจและสืบข่าวเกี่ยวกับกระดานเกียรติคุณอันตมรรคาฟ้าดารามาเป็นจำนวนมาก รู้ว่าระดับความยากในการเข้าไปอยู่บนสายรุ้งสีม่วงนั้นมีมากจนมิอาจบรรยายได้
สายรุ้งสีม่วงก็คือการประลองชั้นสุดท้ายของกระดานเกียรติคุณอันตมรรคาฟ้าดารา ลูกศิษย์ของสำนักอันตมรรคาฟ้าดารารุ่นนี้ ก่อนหน้ากงซุนหว่านเอ๋อร์ก็มีเพียงแปดคนเท่านั้นที่ทำสำเร็จ กงซุนหว่านเอ๋อร์เป็นคนที่เก้า
หากมีคนเหยียบลงไปบนสายรุ้งสีม่วงได้อีกก็เท่ากับจะกลายมาเป็นคนที่สิบ!
ไม่เพียงสวีเป่าไฉเท่านั้นที่ร้องเสียงหลง เสินซ่วนจื่อและเฉินม่านเหยาที่อยู่ข้างกันที่ถึงแม้ว่าพวกเขาจะมั่นใจในตัวป๋ายเสี่ยวฉุน แต่พอได้ยินว่าจะได้พลังคนฟ้ามาก็ต่อเมื่อเหยียบลงไปบนสายรุ้งสีม่วง
พวกเขาก็ยังหน้าเปลี่ยนสี พากันหันมามองป๋ายเสี่ยวฉุน
ป๋ายเสี่ยวฉุนเงียบงัน ทว่าแค่เงียบไปไม่กี่ชั่วลมหายใจเขาก็เงยหน้าขึ้น
“ข้ายังเหลือเวลาอีกมากน้อยเท่าไหร่?”
“เอาเถอะ ข้าผู้อาวุโสจะพาศิษย์พี่ใหญ่ของเจ้ากลับไปยังศาลาปราบมารและเป็นผู้พิทักษ์ให้ด้วยตัวเอง ทว่าต่อให้เป็นเช่นนี้ เวลามากสุดที่เจ้ามีก็แค่…หกชั่วยามเท่านั้น!” เฝิงโหย่วเต๋อถอนหายใจเบาๆ หนึ่งครั้ง
“ขอบพระคุณเจินเหรินมาก ข้าจะไปเดี๋ยวนี้!” ป๋ายเสี่ยวฉุนได้ยินประโยคนี้ดวงตาที่แดงก่ำของเขาก็ราวกับแฝงเร้นไว้ด้วยใบมีดคมกริบ ทว่าลมหายใจกลับราบเรียบผิดปกติ เขาไร้ซึ่งความลังเลใจ และไม่แม้แต่จะพิจารณาถึงความปลอดภัยของตัวเอง ตอนนี้เขาไม่มีเวลาให้มัวใคร่ครวญอะไรมากนัก จึงหมุนตัวขวับแล้วพุ่งออกไปนอกถ้ำ ตรงดิ่งไปที่ค่ายกลนำส่งทันที!