บทที่ 434 ฝ่ากระดานเกียรติคุณอันตมรรคาฟ้าดาราอีกครั้ง
“หกชั่วยาม…” บนสายรุ้งแดนฟ้า บัดนี้พลานุภาพตลอดร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนเกรียงไกรเขย่าคลอนฟ้าดิน อีกทั้งบนร่างของเขายามนี้ยังมีปณิธานแห่งชายเลือดเหล็กที่ไม่ยอมแพ้ให้กับชะตาชีวิตซึ่งไม่ได้เห็นมานานแล้ว!
เขาไม่ต้องการให้จางต้าพั่งตาย ไม่ต้องการให้ใบหน้าของทุกคนที่ตัวเองคุ้นเคยสูญหายไป ต่อให้เขาจะรู้ถึงความเหี้ยมโหดของโลกแห่งการบำเพ็ญตบะแล้ว ต่อให้เขาจะรู้ว่าพละกำลังของตัวเองอ่อนแอจนแทบจะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้มากนัก ทว่าเขาไม่ยอมแพ้ ปีนั้นตอนที่เทพโลหิตเปิดศึกกัน เขาไม่ยอมแพ้ ศึกระหว่างสยบธารและธารฟ้า เขาไม่ยอมแพ้ ศึกในภูเขาแห่งการสืบทอด เขาก็ยังคงไม่ยอมแพ้
ตอนนี้ เขาก็ยิ่งไม่ควรยอมแพ้!
เพราะว่านี่ ถึงจะเป็นเส้นทางแห่งการฝึกตนเป็นเซียนของเขา นี่คือสิ่งที่เขาเลือก นี่คือความยึดมั่นของเขา!
ป๋ายเสี่ยวฉุนแผ่ตบะออกครบทุกด้าน พุ่งทะยานตรงดิ่งไปยังค่ายกลนำส่งท่ามกลางเสียงดังสนั่นหวั่นไหว หลังจากถูกนำส่งจนเข้ามาอยู่ในสายรุ้งหมื่นดวงดาว เขาก็ห้อตะบึงมาถึงจุดที่ตั้งของกระดานเกียรติคุณอันตมรรคาฟ้าดารา
ตั้งแต่ออกจากถ้ำของจางต้าพั่งมาถึงทางเข้ากระดานเกียรติคุณอันตมรรคาฟ้าดารา เขาใช้เวลาไปแค่ครึ่งก้านธูปเท่านั้น เวลานี้นอกประตูใหญ่ของกระดานเกียรติคุณอันตมรรคาฟ้าดารามีนักพรตเข้าๆ ออกๆ มากพอหลายร้อยคน และยังมีคนไม่น้อยที่เฝ้าสังเกตการณ์อยู่ที่นี่เป็นเวลานาน คิดจะใช้ภาพเหตุการณ์การฝ่าด่านของคนอื่นมาเพิ่มความมั่นใจในความสำเร็จของตัวเอง
นอกทางเข้ากระดานเกียรติคุณอันตมรรคาฟ้าดาราเต็มไปด้วยเสียงผู้คนดังเซ็งแซ่ ฟังแล้วหนวกหูอย่างมาก ตอนที่ป๋ายเสี่ยวฉุนมาถึงก็มีคนสังเกตเห็นเขาทันที เพราะอย่างไรซะก่อนหน้านี้ถึงแม้ว่าป๋ายเสี่ยวฉุนจะฝ่าด่านไปถึงอันดับที่สี่ร้อยกว่า
แต่ตลอดทั้งการประลองเขาก็ได้แสดงความไม่เหมือนใครจนทำให้กลายเป็นที่จับตามองของคนมากมาย
“ป๋ายเสี่ยวฉุน!”
“เขามาอีกแล้ว นี่เพิ่งจะผ่านไปได้ไม่นานเท่าไหร่เองนะ!”
“ข้าได้ยินมาว่าคนผู้นี้เหมือนจะไม่พอใจกับความล้มเหลวก่อนหน้านี้อย่างยิ่ง ครั้งนี้ไม่แน่ว่าเขาอาจจะขยับเลื่อนขั้นไปได้อีก!” ทุกคนที่อยู่รอบด้านรีบส่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์ออกมาทันที เมื่อสายตาเหล่านั้นย้ายมาอยู่บนร่างของป๋ายเสี่ยวฉุน หากเปลี่ยนเป็นในอดีต ป๋ายเสี่ยวฉุนต้องหยุดชะงักและเปิดโอกาสให้ทุกคนได้ชื่นชมตัวเองอย่างเต็มที่ ทว่าตอนนี้เขาไม่มีอารมณ์แบบนั้นหลงเหลืออยู่แม้แต่นิดเดียว สีหน้าของเขามืดทะมึน อีกทั้งบนร่างก็แผ่กลิ่นอายดุร้ายเข้มข้น
แค่สะบัดตัวครั้งเดียวเขาก็กระโดดผลุงข้ามกลุ่มคนมาปรากฏตัวอยู่นอกประตูใหญ่ของกระดานเกียรติคุณอันตมรรคาฟ้าดารา แล้วพุ่งเข้าไปในประตูอย่างไร้ซึ่งความลังเลใด!
ทุกครั้งที่เข้าไปในกระดานเกียรติคุณอันตมรรคาฟ้าดารา จำเป็นต้องเริ่มต้นจากด่านแรกทุกครั้ง นี่คือกฎที่กำหนดไว้ ใครก็มิอาจเปลี่ยนแปลงได้ ต่อให้ตอนนี้ดวงดาวของป๋ายเสี่ยวฉุนจะลอยเด่นอยู่บนรุ้งสีน้ำเงิน เขาก็ยังคงต้องเริ่มต้นตั้งแต่ด่านแรก
เมื่อเบื้องหน้าพร่าลาย ยังไม่ทันรอให้เส้นสายตาเห็นชัดเจน เพียงแค่รู้สึกได้ถึงคลื่นความร้อนที่มาปะทะใบหน้าเล็กน้อย ป๋ายเสี่ยวฉุนก็พุ่งตัวออกไปเพราะต้องการช่วงชิงเวลาทุกวินาที ความเร็วของเขาทำให้พริบตาเดียวก็กระโดดขึ้นมาอยู่กลางอากาศ ออกห่างจากหน้าผาและมาปรากฏตัวอยู่บนทะเลเพลิง เนื่องด้วยพื้นที่แห่งนี้ห้ามให้บินกลางอากาศ ร่างของเขาจึงร่วงลงสู่ด้านล่างอย่างรวดเร็ว
ทว่าวินาทีที่ร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนร่วงลงนั้น ดวงตาป๋ายเสี่ยวฉุนก็ฉายประกายคมกริบ แล้วเหยียบอยู่บนทะเลเพลิง ระเบิดความเร็วทุกด้าน
พุ่งตัวออกไปพร้อมเสียงดังสนั่นหวั่นไหว ความเร็วของเขานั้นแทบไม่ต่างอะไรไปจากการบิน ตลอดทางที่ผ่านก็ก่อให้เกิดคลื่นลูกยักษ์ถาโถม เสียงกัมปนาทกึกก้องสี่ทิศ ท่าทางที่เหยียบลงบนทะเลเพลิงเหมือนเดินอยู่บนพื้นดินธรรมดาเช่นนั้น บวกกับปราณดุร้ายบนร่างของเขาในเวลานี้ทำให้คนอื่นๆ ที่อยู่ในการประลองทะเลเพลิงล้วนสำลักลมหายใจ
เวลาเดียวกันนั้นทุกคนที่อยู่ด้านนอกก็มีคนส่วนหนึ่งที่จ่ายคะแนนคุณความดีเพื่อจับตามองการประลองของป๋ายเสี่ยวฉุน เดิมทีคิดอยากจะเห็นภาพว่ายน้ำเพื่อยืนยันกับตัวเองอีกครั้ง ทว่ากลับได้เห็นภาพนี้แทน จิตใจของพวกเขาจึงสั่นระรัวอย่างบ้าคลั่ง ร้องอุทานด้วยความตกใจทันควัน หลังจากดึงดูดความสนใจจากคนอื่นได้ก็ยิ่งมีนักพรตมากกว่าเดิมพากันหันมามองป๋ายเสี่ยวฉุน
“ไม่เหมือนกับครั้งที่แล้ว คราวนี้เขาเหยียบผ่านทะเลไปเลย!”
“สวรรค์ แม้กงซุนหว่านเอ๋อร์สังหารสัตว์ร้ายจะสร้างความสะท้านสะเทือนก็จริง ทว่าการเหยียบทะเลครั้งนี้ของป๋ายเสี่ยวฉุนก็น่าอัศจรรย์ไม่ต่างกัน!”
ท่ามกลางเสียงร้องอุทานฮือฮาของคนภายนอก ป๋ายเสี่ยวฉุนสีหน้าเย็นชามืดทะมึน ความเร็วไม่เพียงแต่ไม่ลดน้อยลง กลับยิ่งเร็วมากขึ้นกว่าเดิม ใช้เวลาเพียงแค่เกือบหนึ่งก้านธูป เขาก็ข้ามผ่านทะเลเพลิงที่กว้างใหญ่ไพศาลแห่งนี้มาจนถึงจุดสิ้นสุดแล้วเหยียบเข้าไปยังด่านที่สอง!
ด่านที่สอง ในสายรุ้งสีเหลือง เมื่อมนุษย์หินสองตนกำลังประหัตประหารกัน มีเศษหินยักษ์จำนวนนับไม่ถ้วน รวมไปถึงหนามแหลมที่ร่วงหล่นลงมา และลมพายุที่พัดตลบอบอวล เมื่อร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนปรากฏขึ้น เขาก็ยังคงไม่หยุดชะงักแม้แต่นิด ยังคง…ห้อตะบึงไปเบื้องหน้าดุจเดิม!
หินยักษ์ก็ดี พายุคลั่งก็ช่าง และยังมีหนามแหลมพวกนั้น ทั้งหมดทั้งมวลนี้ก็ไม่รู้ว่าทำไมเมื่อเข้ามาใกล้ป๋ายเสี่ยวฉุนถึงได้พังทลายลงทั้งหมด!
นี่ยังไม่เท่าไหร่ ที่ทำให้ผู้ชมภายนอกตะลึงพรึงเพริดได้อย่างแท้จริงก็คือหลังจากที่มนุษย์หินสองตนซึ่งกำลังต่อสู้กันมองเห็นป๋ายเสี่ยวฉุน กลับ…หยุดการเข่นฆ่ากันลง!
“ส่งข้าออกไป!” ป๋ายเสี่ยวฉุนกระโดดผลุงขึ้น โคจรคาถาคนขุนเขา ต่อให้ไม่ได้กลายร่างเป็นมนุษย์หิน แต่เมื่อปล่อยปราณของคาถาคนขุนเขาออกมา พอเขามาอยู่ที่นี่และได้เห็นมนุษย์หินทั้งสองตนนั้นอีกครั้ง เขาก็มีความรู้สึกรุนแรงอย่างหนึ่ง ความรู้สึกนั้นคือความใกล้ชิดสนิทสนม จนแทบจะสื่อสารกันเข้าใจ
เมื่อคำพูดของเขาดังออกมา ภาพเหตุการณ์ที่ทำให้ทุกคนที่อยู่ด้านนอกไม่อยากจะเชื่อสายตาก็เกิดขึ้น ดวงตาของมนุษย์หินหนึ่งในสองตนนั้นฉายประกายประหลาดและคว้าตัวป๋ายเสี่ยวฉุนเอาไว้ แต่ไม่ได้ทำอันตรายใดๆ ต่อเขา แค่เหวี่ยงเขาแรงๆ ไปยังทางออกเท่านั้น
เสียงตูมดังหนึ่งครั้ง อาศัยพละกำลังมหาศาลของมนุษย์หินตนนั้น บวกกับความเร็วของตัวป๋ายเสี่ยวฉุนเองที่ระเบิดขึ้นอีกครั้ง เมื่อผสานรวมทั้งสองสิ่งเข้าด้วยกัน ร่างของเขาก็คล้ายกลายมาเป็นเหมือนดาวตกที่พุ่งทะยานออกไปจากสนามประลองของด่านที่สอง เหยียบย่างเข้าไปในค่ายกลนำส่งตรงปลายทาง และมาปรากฏตัวอยู่ที่ด่านสาม!
ตลอดทั้งด้านที่หนึ่งและด้านที่สองใช้เวลาไปแค่หนึ่งก้านธูปเท่านั้น!
ภาพเหตุการณ์นี้ทำให้ทุกคนที่อยู่ข้างนอกใจเต้นกระหน่ำอย่างบ้าคลั่ง เสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังเอ็ดอึง
“สวรรค์ นี่…ป๋ายเสี่ยวฉุนผู้นี้…”
“ก่อนหน้านี้เขาซุกซ่อนความสามารถที่แท้จริงเอาไว้!!”
ท่ามกลางเสียงฮือฮานี้ นักพรตที่อยู่ข้างนอกรีบเล่าเรื่องนี้ต่อๆ กันออกไป ไม่นานนักพรตของตลอดทั้งสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราก็เงยหน้าขึ้นมองสายรุ้งกระดานเกียรติคุณอันตมรรคาฟ้าดาราจากสถานที่ต่างกัน
เวลาเดียวกันนั้น ป๋ายเสี่ยวฉุนมาปรากฏตัวอยู่ที่ด่านสาม ด่านนี้ก็คือการประลองในพื้นที่ของยักษ์ช่างตีเหล็ก ซึ่งเส้นทางที่ทอดยาวไปยังปลายทางก็คือกระบี่เล่มใหญ่ที่กำลังถูกหล่อหลอม
มาถึงที่นี่ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยังไร้ซึ่งความลังเลใด อีกทั้งเขายังไม่เลือกเดินผ่านตัวกระบี่นั่น แต่กระโดดพุ่งดิ่งลงไปยัง…ทะเลเย็นที่อยู่ด้านล่าง!
ไม่ได้ดูดซับเอาปราณความเย็น แต่วินาทีที่เหยียบลงไปบนทะเลเย็นนั้น ไอความเย็นทั่วร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนพลันระเบิดออก ทุกที่ที่ผ่าน บ่อน้ำเย็นล้วนปรากฏลางที่จะกลายมาเป็นผนึกน้ำแข็ง ป๋ายเสี่ยวฉุนใช้วิธีเดียวกันกับทะเลเพลิงในด่านแรก นั่นคือระเบิดความเร็วเต็มรูปแบบ ห้อทะยานไปพร้อมเสียงดังสนั่นหวั่นไหว
ทว่าด่านนี้กลับเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิด เพราะยักษ์ช่างตีเหล็กผู้นั้นกลับสังเกตเห็นป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างรวดเร็ว พอก้มหน้าลงก็มองเห็นป๋ายเสี่ยวฉุนที่อยู่บนบ่อเย็นทันที ใบหน้าของเขาพลันเผยความขุ่นเคือง เห็นได้ชัดว่าจำป๋ายเสี่ยวฉุนได้
หลังจากคำรามดังลั่น มือใหญ่ของช่างตีเหล็กก็ยื่นพรวดออกมาที่บ่อเย็น หมายจะคว้าร่างของป๋ายเสี่ยวฉุน
และวินาทีที่มือใหญ่พุ่งเข้ามาใกล้ ปราณดุร้ายทั่วร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ระเบิดตูมออก ไม่เพียงแต่ไม่หลบเลี่ยง กลับยังโคจรวิชาอมตะมิวางวายถึงขีดสุด โดยเฉพาะเท้าซ้ายของเขาที่ระเบิดพลังกล้ามเนื้อซึ่งรวบรวมมาจากเอ็นคงกระพันทั้งหมด แล้วเตะโครมไปยังมือใหญ่ที่เข้ามาใกล้
เสียงตูมตามดังสะเทือนเลือนลั่นปฐพี ทั้งยังทำให้น้ำทะเลจำนวนนับไม่ถ้วนในบ่อเย็นกระเพื่อมขึ้น ป๋ายเสี่ยวฉุนตัวสั่นไปทั้งร่าง กระอักเลือดออกมาหนึ่งคำ แต่กลับอาศัยพลังสั่นสะเทือนของมือใหญ่ทำให้ความเร็วของเขาเพิ่มขึ้นพรวดพราดอีกหลายเท่า จนพริบตาเดียวก็พุ่งตัวห่างออกไปไกล
และมือใหญ่นั่นก็ได้แต่หยุดชะงักอยู่ตรงนั้น พื้นที่ที่สัมผัสเข้ากับเท้าซ้ายของป๋ายเสี่ยวฉุนกลับเกิดเป็นเส้นเอ็นสีเขียวจำนวนเหลือนับไม่ถ้วน เส้นเอ็นเหล่านี้เป็นเหมือนการปิดผนึกอย่างหนึ่ง มันโผล่ขึ้นมาเต็มพรืดและขยายยาวไปทั่ว ทำให้มือใหญ่มิอาจยกขึ้นได้ ช่างตีเหล็กคำรามเดือดดาล พลันกำมือเข้าหากัน ทันใดนั้นเส้นเอ็นพวกนั้นก็พังทลายลง นั่นถึงทำให้เขาสามารถยกมือขึ้นมาใหม่ได้อีกครั้ง
ทว่าการถ่วงเวลาครั้งนี้เมื่อบวกกับความเร็วที่เพิ่มขึ้นพรวดพราดของป๋ายเสี่ยวฉุน ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนมาปรากฏตัวอยู่ตรงปลายทางแล้ว หลังจากที่กระโดดผลุงขึ้นกลางอากาศหนึ่งครั้ง ร่างของเขาก็พลันหายวับไป ตลอดทั้งขั้นตอนนี้ยังคงใช้เวลาไม่เกินครึ่งก้านธูป!
เหยียบย่างเข้าสู่ด่านที่สี่!
สายรุ้งสีเขียว สะพานที่เกิดจากการรวมตัวกันของสายฟ้า เมื่อป๋ายเสี่ยวฉุนมาปรากฏตัวอยู่ในการประลองของด่านนี้ เขาก็ยังคงรักษาการระเบิดความเร็วโดยไม่คิดสนใจสิ่งใด ปล่อยให้สายฟ้าเหล่านั้นฟาดผ่าลงมา ทว่าความเร็วของเขาก็ยังคงมากดุจเดิม เมื่อเหยียบลงบนสะพาน เขาก็คำรามอู้ไปข้างหน้าอย่างเดียว ซึ่งสายฟ้าก็ฟาดผ่าลงมาอย่างบ้าคลั่งตลอดทาง หรือแม้แต่ร่างของเขาก็ยังถูกกลบอยู่ในสายฟ้าเหล่านั้น ทว่ากลับมิอาจทำให้เขาหยุดชะงักได้แม้แต่นิดเดียว ครึ่งก้านธูปให้หลัง ร่างของเขาก็มาปรากฏอยู่ที่ปลายทางของด่านนี้
เมื่อเขาหายตัวไป คนด้านนอกที่จับตามองอยู่ล้วนมองตาค้างอ้าปากกว้างกันหมด รอบด้านมีแต่ความเงียบสงัด…
“สี่ด่านแรก…ใช้เวลาไปแค่สองก้านธูป…สวรรค์…”
“คราวก่อนเขาซุกซ่อนความสามารถที่แท้จริงไว้มากน้อยแค่ไหนกันแน่ ครั้งนี้ถึงได้แสดงออกอย่างน่าตะลึงถึงเพียงนี้”
“ดูเหมือนว่าจะเผด็จการยิ่งกว่า บ้าคลั่งยิ่งกว่ากงซุนหว่านเอ๋อร์เสียอีก!”
“เขาจะเข้าไปอยู่ในสายรุ้งสีน้ำเงินแล้ว ก่อนหน้านี้ป๋ายเสี่ยวฉุนผู้นี้ก็หยุดอยู่ที่สายรุ้งสีน้ำเงิน…” ทุกคนที่อยู่ด้านนอกล้วนมองออกว่าสภาพของป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ปกติ แต่กลับไม่ได้คิดลึก แต่ยิ่งจับตามองมากขึ้นว่านี้ป๋ายเสี่ยวฉุนจะผ่านสายรุ้งสีน้ำเงินไปอย่างไร
สายรุ้งสีน้ำเงิน โลกของวิญญาณพยาบาท ป้ายหลุมศพวางเรียงรายไร้ที่สิ้นสุด วินาทีที่ป๋ายเสี่ยวฉุนปรากฏตัว ป๋ายหลุมศพเหล่านี้ก็มีควันสีเขียวลอยกรุ่นขึ้นทันใด แล้วจึงรวมตัวกันขึ้นมาเป็นวิญญาณพยาบาทที่มีลักษณะดุร้ายตนแล้วตนเล่า พวกมันจ้องเขม็งมาที่ป๋ายเสี่ยวฉุน พร้อมกับเปล่งเสียงคำรามแหบโหยสะท้านฟ้าสะเทือนดิน