Skip to content

A Will Eternal 435

บทที่ 435 อานุภาพของยารวมวิญญาณ

เห็นวิญญาณอาฆาตที่มากมายขนาดนี้ ใจป๋ายเสี่ยวฉุนก็สั่นระรัว สำหรับพวกภูตผีวิญญาณแล้วเขาจะมีความกลัวอย่างบอกไม่ถูก แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ แต่เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว!

“หุบปาก!” วิญญาณพยาบาทร้องคำราม ป๋ายเสี่ยวฉุนก็แผดเสียงด้วยความเดือดดาลเช่นกัน เวลาของเขากระชั้นชิด ในสมองไม่มีพื้นที่หลงเหลือให้กับความคิดอื่นใด เวลานี้ในสมองของเขามีเพียงเรื่องเดียวก็คือต้องเหยียบเข้าไปในสายรุ้งสีม่วงภายในเวลาหกชั่วยามให้ได้

เพราะนี่เกี่ยวข้องกับชีวิตของจางต้าพั่ง!

หลังเสียงคำรามคลั่งแค้นของเขา วิญญาณพยาบาทเหล่านั้นต่างก็พากันกระโจนเข้าใส่ป๋ายเสี่ยวฉุนพร้อมร้องเสียงแหบโหยไม่หยุด ขณะเดียวกันป๋ายเสี่ยวฉุนก็ไม่ได้ถอยหนี อีกทั้งความเร็วของเขาก็ยังไม่ลดน้อยลงแม้แต่นิด แล้วก็พุ่งทะยานเข้าหาพวกวิญญาณพยาบาทเช่นกัน

บัดนี้ นักพรตสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราส่วนใหญ่ที่อยู่ด้านนอกล้วนจับตามองภาพเหตุการณ์นี้ แต่ละคนมองตาไม่กะพริบ ต้องการเห็นว่าป๋ายเสี่ยวฉุนจะผ่านสายรุ้งสีน้ำเงินที่เขาเคยหยุดชะงักไปเมื่อคราวก่อนได้อย่างไร

“ดูท่าป๋ายเสี่ยวฉุนผู้นี้คงจะร่ายเวทอภินิหารอะไรสักอย่าง…”

“สิ่งที่สายรุ้งสีน้ำเงินทดสอบก็คือจะยืนหยัดอยู่ท่ามกลางวิญญาณพยาบาทที่มีมากมายจนไม่มีที่สิ้นสุดได้นานแค่ไหน รวมไปถึงจำนวนวิญญาณพยาบาทที่สังหารไป โดยเฉพาะข้อหลังที่สำคัญที่สุด ดังนั้นห้ามสิ้นเปลืองพลังวิญญาณในร่างกายของตัวเองไปเด็ดขาด จะต้องควบคุมให้ได้อย่างเข้มงวด”

“กงซุนหว่านเอ๋อร์ผู้นั้นสร้างปาฏิหาริย์เพราะพวกวิญญาณพยาบาทไม่เพียงแต่ไม่กล้าประมือกับนาง ทั้งยังพร้อมใจหลีกทางให้ มีเพียงวิญญาณจักรพรรดิเท่านั้นที่ไม่ได้รับอิทธิพล ทว่านี่ก็ยังเป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน”

“ไม่รู้ว่าป๋ายเสี่ยวฉุนผู้นี้จะทำลายวิญญาณไปมากน้อยแค่ไหน…”

ขณะที่ทุกคนที่อยู่ภายนอกวิพากษ์วิจารณ์กันอยู่นั้น ในสายรุ้งสีน้ำเงิน เห็นได้ว่าป๋ายเสี่ยวฉุนที่ระเบิดความเร็วอย่างบ้าระห่ำกำลังจะพุ่งชนเข้ากับวิญญาณพยาบาทที่มากมายจนหาที่สิ้นสุดไม่ได้

มองไปไกลๆ ความมากมายของวิญญาณพยาบาทเหล่านั้นราวกับกลายมาเป็นมหาสมุทรวิญญาณ อีกทั้งเสียงร้องคำรามแหบโหยของวิญญาณพยาบาทจำนวนนับไม่ถ้วนก็ยิ่งสะท้านฟ้าสะเทือนดิน

ทว่าวินาทีที่พวกมันจะปะทะเข้ากับป๋ายเสี่ยวฉุน ป๋ายเสี่ยวฉุนพลันยกมือขวาขึ้นตบลงไปบนถุงเก็บของ และกลางฝ่ามือก็มียาเม็ดหนึ่งปรากฏขึ้น

ยานี้เป็นสีขาว ไม่มีกลิ่นหอมใดๆ ของยาแผ่ออกมา มองดูแล้วธรรมดาอย่างมาก ไม่สะดุดตาเลยสักนิดเดียว หลังจากกลุ่มคนที่อยู่ภายนอกมองเห็นต่างก็อึ้งงันกันไปครู่หนึ่ง ไม่เข้าใจนักว่าป๋ายเสี่ยวฉุนจะหยิบยาขึ้นมาในช่วงเวลาที่สำคัญแบบนี้ทำไม

ทว่าวินาทีถัดมาเมื่อป๋ายเสี่ยวฉุนขว้างยาเม็ดนี้ลงไปบนพื้นอย่างแรง ปากของเขาก็คำรามคำหนึ่งออกมา

“รวม!”

ยานั้นกระแทกลงบนพื้นจนเกิดเสียงดังตูม จากนั้นมันก็แตกกระจายออกเป็นเสี่ยงๆ วินาทีที่แตกออก คลื่นระลอกหนึ่งที่คนภายนอกมองไม่เห็นพลันแผ่กระจายไปทั่ว เวลาเดียวกันนั้น พวกวิญญาณพยาบาทที่คำรามอู้เข้าใส่ป๋ายเสี่ยวฉุนต่างก็หน้าเปลี่ยนสี ร่างกายของพวกมันถูกเปลี่ยนทิศทางอย่างมิอาจควบคุมได้ ไม่ได้กระโจนเข้าใส่ป๋ายเสี่ยวฉุน แต่ตรงดิ่งไปยังจุดที่ยาแตกออก!

ราวกับว่ามีแรงดึงดูดน่าตะลึงระลอกหนึ่งที่มิอาจบรรยายได้ระเบิดออกมาจากยาเม็ดนั้น ท่ามกลางเสียงดังสนั่นหวั่นไหว วิญญาณพยาบาทเหล่านั้นก็ถูกดูดให้เข้ามารวมอยู่ด้วยกัน สิบตน ร้อยตน พันตน จนกระทั่งถึงหมื่นตน!!

เมื่อมองไปมหาสมุทรวิญญาณพยาบาทก็คล้ายจะเอนเอียงไปอยู่แถบเดียวกันหมด ทำให้เบื้องหน้าป๋ายเสี่ยวฉุนปรากฏเป็นพื้นที่ว่างขนาดใหญ่ ท่ามกลางแรงดึงดูดมหาศาลนั้นเหล่าวิญญาณพยาบาทนับหมื่นตนพากันร้องโหยหวน เวลาเพียงชั่วกะพริบตา จุดที่เม็ดยาแตกกระจายก็เกิดเป็นลูกแสงสีดำที่มีขนาดเท่ากำปั้นหนึ่งลูก!

ในลูกแสงนี้บรรจุวิญญาณพยาบาทไว้รวมกันนับหมื่นตน

ภาพเหตุการณ์นี้ทำให้ทุกคนที่อยู่ด้านนอกเกิดเสียงดังอึงอลในสมอง มองเซ่อกันไปทันที เวลาเดียวกันนั้น ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ไม่ได้หยุดชะงัก เขายังคงห้อทะยานต่อไป และมือของเขาก็มียารวมวิญญาณเม็ดแล้วเม็ดเล่าปรากฏขึ้น

ทุกครั้งที่โยนออกไปจะต้องทำให้วิญญาณของพื้นที่แถบหนึ่งถูกดูดให้มารวมกันในชั่วพริบตาเดียว วิญญาณพยาบาทของตลอดทั้งสายรุ้งสีน้ำเงินยิ่งลดน้อยลงไปเรื่อยๆ มีเพียงลูกแสงสีดำลูกแล้วลูกเล่าที่ล่องลอย สามารถมองเห็นได้ว่าในลูกแสงทุกลูกล้วนมีวิญญาณพยาบาทจำนวนมากรวมตัวกันอยู่ พวกมันต่างก็ร้องแหบโหยอย่างดุร้าย ทว่ากลับไม่มีประโยชน์อันใด

จนกระทั่งป๋ายเสี่ยวฉุนมาถึงช่วงกลางของสายรุ้ง เสียงคำรามเกรี้ยวกราดเสียงหนึ่งพลันดังมาจากทิศไกล วิญญาณจักรพรรดิขนาดใหญ่ยักษ์นั้นก็จำแลงร่างออกมา ท่ามกลางเสียงคำรามนั้นตบะของมันก็แผ่ออกมาโจมตีใส่ป๋ายเสี่ยวฉุนด้วย

“ไสหัวออกไปจากที่นี่ซะ!” บัดนี้ความทรงพลังของอำนาจป๋ายเสี่ยวฉุนได้ระเบิดออกทุกด้าน ทำให้ฟ้าดินมืดมัว แล้วเขาก็เขายกมือขวาขึ้นขว้างยารวมวิญญาณออกไปทีเดียวหลายสิบเม็ด

“รวม!” วินาทีนั้น ยามากมายที่โยนไประเบิดออกตรงหน้าวิญญาณจักรพรรดิ ทำให้เสียงคำรามฉุนเฉียวของวิญญาณจักรพรรดิขาดหายไปกลางคัน สีหน้าของมันเผยความเหลือเชื่อและตะลึงพรึงเพริด

เรือนกายของมันกลับแตกออกเป็นหลายสิบส่วนอย่างมิอาจควบคุมได้ และถูกยาเหล่านั้นดูดดึงไปปิดผนึกทั้งหมด…

ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่แม้แต่จะชายตามอง ขยับร่างได้ก็พุ่งพรวดออกไป ผ่านที่ใด โยนยาออกไปหนึ่งเม็ด วิญญาณพยาบาทก็จะถูกดึงดูดมารวมกันทันที หนึ่งก้านธูปหลังจากนั้น…วิญญาณพยาบาทจำนวนนับไม่ถ้วนบนสายรุ้งสีน้ำเงินซึ่งเป็นตัวสร้างความยากลำบากให้แก่นักพรตมากมาย กลับ…หายเกลี้ยงไปหมด

เมื่อมองออกไป รอบด้านมีแต่ความว่างเปล่า มีเพียงป้ายหลุมศพเรียงรายเท่านั้นที่ยังคงอยู่ มองไม่เห็นวิญญาณพยาบาทตัวใดอีก ป๋ายเสี่ยวฉุนพุ่งทะยานมาปรากฏตัวอยู่ที่ปลายทางของสายรุ้งสีน้ำเงิน พอเหยียบเข้าไปด้านใน ร่างของเขาก็หายวับไป

ทุกคนที่มองอยู่จากข้างนอกบัดนี้ล้วนตัวสั่นเทิ้ม เสียงสูดลมหายใจดังรุนแรง ก่อนหน้านี้พวกเขาจินตนาการไว้มากมาย แต่ไม่ว่าอย่างไรก็คาดเดาไม่ได้เลยว่าป๋ายเสี่ยวฉุนจะใช้วิธีการเช่นนี้ผ่านด่านนี้ไป!

นับแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ยังไม่เคยมีใครทำอย่างป๋ายเสี่ยวฉุน ต้องรู้ว่าในสายตาของคนอื่น กุญแจสำคัญในการทดสอบของด่านนี้ก็คือจำนวนของวิญญาณพยาบาทที่สังหารได้ ทว่าตอนนี้ วิญญาณพยาบาทของที่นี่กลับหายไปหมดแล้ว…

“นี่…นี่…”

“เดิมทีข้านึกว่ากงซุนหว่านเอ๋อร์ทำให้ข้าตกตะลึงได้มากพออยู่แล้ว แต่กลับนึกไม่ถึงเลยว่า ป๋ายเสี่ยวฉุนผู้นี้…จะเหนือล้ำเกินกงซุนหว่านเอ๋อร์ไปอีก!”

“กงซุนหว่านเอ๋อร์ทำให้วิญญาณพยาบาทพวกนั้นไม่กล้าลงมือ ฝีมือสูสีกับวิญญาณจักรพรรดิ ทว่าป๋ายเสี่ยวฉุนผู้นี้…แม้แต่วิญญาณจักรพรรดินั่นก็ยังถูกเขารวบตัวไปด้วย…”

ไม่นาน หลังจากความเงียบสงัดผ่านไป เรื่องการฝ่าด่านของป๋ายเสี่ยวฉุนก็สร้างความครึกโครมให้กับทั้งสำนักไม่ต่างจากที่กงซุนหว่านเอ๋อร์ทำก่อนหน้านี้ หลังจากที่คนจำนวนนับไม่ถ้วนได้รับข่าวก็รีบหันมามองยังกระดานเกียรติคุณอันตมรรคาฟ้าดาราทันที

บนสายรุ้งแดนฟ้า ในตำหนักใหญ่ของศาลาปราบมาร จางต้าพั่งนั่งขัดสมาธิอยู่ตรงนั้น เขาไม่มีจิตสำนึกหลงเหลืออยู่แล้ว ไฟแห่งชีวิตก็เหลืออยู่เพียงแค่เส้นใยบางๆ หากไม่ได้เฝิงโหย่วเต๋อใช้ตบะของตัวเองช่วยประคับประคองเอาไว้ ไฟแห่งชีวิตของเขาก็คงมอดดับไปนานแล้ว

นอกตำหนักใหญ่ สวีเป่าไฉ เสินซ่วนจื่อและเฉินม่านเหยาเวลานี้พวกเขาต่างก็หันไปมองกระดานเกียรติคุณอันตมรรคาฟ้าดารา เห็นป๋ายเสี่ยวฉุนที่ฝ่าด่านไปตลอดทางด้วยความแกร่งกร้าว ลมหายใจของพวกเขาก็ไม่มั่นคง สั่นสะเทือนไปยันจิตวิญญาณ

คนอื่นไม่รู้จักป๋ายเสี่ยวฉุน แต่พวกเขารู้จักดี พวกเขารู้ว่าด้วยนิสัยของป๋ายเสี่ยวฉุนแล้วเดิมทีเขาย่อมไม่ยอมเสี่ยงอันตรายเช่นนี้แน่นอน ทว่าทุกอย่างที่เขาทำลงไปในตอนนี้ก็เพื่อจางต้าพั่ง

ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนสร้างความฮือฮาให้กับสำนัก บนสายรุ้งสีคราม ร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ปรากฏขึ้นเป็นครั้งแรก สายรุ้งทั้งห้าก่อนหน้านี้เวลาที่เขาใช้ไปเมื่อรวมกันแล้วยังไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม ทว่าเขากลับไม่รู้สึกผ่อนคลายเลยแม้แต่นิดเดียว ต่อให้ตอนนี้จะมาอยู่ที่ด่านสุดท้ายแล้ว และเพียงแค่ผ่านด่านนี้ไปได้ก็จะสามารถเหยียบเข้าสู่สายรุ้งสีม่วงได้แล้วก็ตาม

ส่วนเรื่องของอันดับ เขาไม่ได้สนใจเลยสักนิด แต่เขาก็เข้าใจดีว่าด่านนี้ก็คือด่านที่ยากที่สุด!

เพราะในด่านนี้ ศัตรูของเขาก็คือ…กงซุนหว่านเอ๋อร์!

หรือจะพูดให้แม่นยำยิ่งกว่านั้นก็คือรูปปั้นของกงซุนหว่านเอ๋อร์!

สายรุ้งสีครามนี้ไม่กว้าง มีขอบเขตเพียงแค่หมื่นจั้งเท่านั้น นอกอาณาเขตหมื่นจั้งคือพื้นที่ที่พร่าเลือน มองไม่ออกว่ามีสิ่งใดดำรงอยู่ และก็ไม่สามารถเดินผ่านไปได้ จุดศูนย์กลางของพื้นที่หมื่นจั้งนี้คือรูปปั้นหนึ่งที่ตั้งตระหง่าน

นี่คือรูปปั้นของหญิงสาวคนหนึ่งที่มีรูปโฉมงามพิลาส ทว่าขณะเดียวกันก็ให้ความรู้สึกแปลกประหลาดแก่คนมอง คล้ายว่ามีไอความเย็นเป็นระลอกแผ่ออกมา ทำให้พื้นดินรอบด้านเกิดเป็นสีฟ้าอ่อนจาง

แทบจะวินาทีเดียวกับที่ป๋ายเสี่ยวฉุนปรากฏตัว ดวงตาทั้งคู่ของรูปปั้นก็เปล่งประกายรุบรู่ มีสติปัญญาปรากฏ ค่อยๆ เงยหน้าขึ้น นัยน์ตาที่เผยแสงเย็นเยียบมองตรงมายังร่างของป๋ายเสี่ยวฉุน

สายตานั้นคมกริบราวใบมีด คล้ายสามารถมองทะลุทะลวงดวงตาทั้งคู่ของป๋ายเสี่ยวฉุนแล้วตรงเข้าเสียดแทงจิตวิญญาณของเขา ป๋ายเสี่ยวฉุนชะงักฝีเท้า รู้สึกได้ถึงวิกฤตอันตรายที่รุนแรง

มิใช่ว่าเขาจะไม่เคยประมือกับกงซุนหว่านเอ๋อร์มาก่อน ทว่าหลังจากที่เขากลับมาจากสำนักธาราโลหิต ความรู้สึกที่กงซุนหว่านเอ๋อร์มอบให้เขาก็ผิดแผกไปจากเดิมอย่างมาก เขาบอกไม่ถูกว่าปัญหาอยู่ตรงไหน แต่สัญชาตญาณทำให้เขาไม่ยินดีใกล้ชิดสนิทสนมกับนาง

จนกระทั่งมาถึงบัดนี้ เมื่ออยู่ในสายรุ้งสีคราม ท้ายที่สุดแล้วเขาก็ยังต้องมาอยู่ฝ่ายตรงข้ามกับกงซุนหว่านเอ๋อร์ ต่อให้นี่จะเป็นเพียงแค่รูปปั้นของกงซุนหว่านเอ๋อร์

แต่ป๋ายเสี่ยวฉุนก็รู้ดีว่ารูปปั้นนี้สามารถแสดงพลังที่แท้จริงออกมาได้เหมือนกับที่กงซุนหว่านเอ๋อร์แสดงออกตอนอยู่บนกระดานเกียรติคุณอันตมรรคาฟ้าดาราแห่งนี้

และเขาก็ยิ่งรู้ด้วยว่านอกเสียจากกงซุนหว่านเอ๋อร์จะซุกซ่อนฝีมือที่แท้จริงเอาไว้แล้ว มิฉะนั้นในด้านพลังการสู้รบ รูปปั้นกับตัวจริงของนางจะไม่มีความต่างกันมากเท่าไหร่นัก ต่อให้มีสติปัญญาน้อยกว่าตัวจริง แต่เนื่องจากรูปปั้นนี้ไม่ใช่สิ่งมีชีวิตจึงไม่รู้จักความเจ็บปวด ดังนั้นหากพูดกันในบางระดับแล้วนี่ก็ถือว่าพอลดทอนกันไปได้จนทำให้เกิดเป็นความสมดุล

แทบจะวินาทีเดียวกับที่ป๋ายเสี่ยวฉุนประสานสายตากับรูปปั้นของกงซุนหว่านเอ๋อร์ นัยน์ตาของรูปปั้นกงซุนหว่านเอ๋อร์ก็ฉายแสงคมกล้า พลันขยับร่างมาปรากฏอยู่ท่ามกลางความว่างเปล่าแล้วกลายเป็นร่างจำแลงที่มีสี่ร่าง ซึ่งทั้งสี่ร่างล้วนทำมุทราแล้วชี้มายังป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างพร้อมเพรียงกัน

ภายใต้การชี้ครั้งนี้ แสงสี่เส้นที่สีสันแตกต่างกันก็พลันแผ่กระจายออก หลังจากเข้ามารวมตัวกันแล้วก็กลายร่างมาเป็นดอกไม้น้ำแข็งที่มีกลีบสี่สี ดอกไม้นั้นหมุนคว้างอยู่กลางอากาศแล้วพุ่งเข้าใส่ป๋ายเสี่ยวฉุน

ทุกที่ที่ผ่าน พื้นดินล้วนจับตัวกันเป็นน้ำแข็ง แม้แต่พื้นที่หมื่นจั้งรอบด้านก็ยังตกอยู่ท่ามกลางความเย็นยะเยือก เมื่อเสียงเปรี๊ยะๆๆ ดังลั่น ชั้นน้ำแข็งบนพื้นก็ยิ่งแผ่ขยายออกไป

บนกลีบดอกไม้สี่สีทุกกลีบล้วนมีใบหน้าหนึ่งใบหน้า ซึ่งทุกใบหน้าคือดวงหน้าของกงซุนหว่านเอ๋อร์ที่เหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ใช่ มองดูพิลึกพิลั่นถึงขีดสุด เมื่อเข้ามาใกล้ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็คล้ายจะได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักดังอยู่ข้างหู

เสียงหัวเราะนี้ทำให้เขาขนลุกขนพองขึ้นมาทันที ทว่าตอนนี้เขาไม่มีเวลามามัวคิดมาก คาถาหันเหมินเลี้ยงความคิดพลันเคลื่อนโคจร มือขวาทำมุทราแล้วกดลงไปด้านหน้าอย่างแรง!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version