บทที่ 437 เขตแดนทลายรูปปั้น
แทบจะวินาทีเดียวกับที่ป๋ายเสี่ยวฉุนเอ่ยปาก ในรัศมีพันจั้งที่ถูกน้ำแข็งปิดผนึกก็พลันมีไอความชื้นเสียดแทงกระดูกเป็นระลอกแผ่กระจายออกมา และในรัศมีพันจั้งก็เปลี่ยนมาเป็นพร่าเลือนทันใด!
เมื่อมองไกลๆ ก็ราวกับว่าพื้นที่หมื่นจั้งนี้กลายมาเป็นหนองน้ำแห่งหนึ่งที่เย็นเฉียบ!
และชั่วขณะที่หนองน้ำก่อตัวขึ้นมาสำเร็จ เส้นผมและอาภรณ์บนร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนก็โบกสะบัดเองทั้งที่ไม่มีลม ลักษณะพลังที่น่ากริ่งเกรงระลอกหนึ่งระเบิดครืนครั่นมาจากใต้ฝ่าเท้าของเขา!
การระเบิดออกของอานุภาพนั้นยังพกพาปราณที่เหี้ยมหาญ ทั้งยังมากด้วยความอำมหิตป่าเถื่อนแทรกซอนเข้ามาด้วย บัดนี้ในสมองของนักพรตทุกคนที่มองภาพนี้จากโลกภายนอกต่างก็มีเสียงคำรามของสัตว์ร้ายดึกดำบรรพ์ที่ราวกับดังมาไกลจากยุคบรรพกาลดังก้องสะท้อนไปพร้อมกัน ดังสะเทือนไปยันจิตวิญญาณของพวกเขา!
โฮก!!
เสียงคำรามนี้ไม่เพียงแต่คนที่ดูอยู่เท่านั้นที่ได้ยิน แม้แต่นักพรตบางส่วนที่ไม่ได้จับตามองการประลองของป๋ายเสี่ยวฉุนที่เนื่องจากสาเหตุบางประการของตัวพวกเขาก็ทำให้สัมผัสได้ถึงเสียงคำรามนี้ไม่มากก็น้อย!
ทำให้ลูกศิษย์ของสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราที่อยู่ภายนอกพากันหน้าเปลี่ยนสี ทั้งยังมีคนจำนวนไม่น้อยที่สูดลมหายใจเฮือกใหญ่ สีหน้าตะลึงพรึงเพริด
“นั่นคืออะไร!”
“พวกเจ้าก็ได้ยินใช่ไหม นั่นมันเสียงร้องของสัตว์อะไร!!”
“สวรรค์ ทั้งๆ ที่พวกเราอยู่ข้างนอกแท้ๆ แต่กลับยังได้ยินอย่างชัดเจน นี่…นี่มันวิชาอภินิหารอะไรกัน!!”
ขณะที่ทุกคนกำลังสะท้านสะเทือนกันอยู่นั้น บนสายรุ้งแดนดาราของสำนักอันตมรรคาฟ้าดารา บนยอดเขาสีแดงฉานแห่งหนึ่ง มีหญิงสาวผู้หนึ่งกำลังนั่งขัดสมาธิ หญิงสาวผู้นี้มีผมยาวสีแดงเพลิง ใบหน้างามพิสุทธิ์ ตลอดทั้งเรือนกายคล้ายมีเปลวไฟที่มองไม่เห็นลุกโชน ให้ความรู้สึกว่าหากเข้าไปใกล้อีกสักนิดก็อาจจะถูกเผามอดไหม้ทั้งกายและจิต
เดิมทีนางนั่งทำสมาธิอยู่ และไม่ได้สนใจกระดานเกียรติคุณอันตมรรคาฟ้าดารา ทว่าวินาทีที่เสียงคำรามของสัตว์ร้ายดังกังวานอยู่ในจิตวิญญาณของทุกคนที่มองดูกระดานเกียรติคุณอันตมรรคาฟ้าดารา นางก็คล้ายจะสัมผัสได้ สีหน้าจึงเปลี่ยนน้อยๆ หลังจากเงยหน้ามองกระดานเกียรติคุณอันตมรรคาฟ้าดารา สีหน้าของนางก็เผยความประทับใจ
“เดิมทีนึกว่าก่อนหน้าการประลองดับวิญญาณ บนสายรุ้งสีม่วงคงมีเพียงกงซุนหว่านเอ๋อร์เพิ่มขึ้นมาคนเดียวเท่านั้น ทว่าดูจากตอนนี้เหมือนว่าจะ…มีคนมาเพิ่มอีกคนแล้ว”
หญิงสาวผู้นี้ก็คือผู้ที่อยู่อันดับสามของกระดานเกียรติคุณอันตมรรคาฟ้าดารา…เฉินเยว่ซาน!
มิใช่นางคนเดียวเท่านั้นที่แสดงความสนใจ บัดนี้บนสายรุ้งแดนอันตะ ในบ่อลึกแห่งหนึ่ง มีชายหนุ่มผู้หนึ่งที่เปลือยท่อนบน สีหน้าเย็นชาเย่อหยิ่ง ริมฝีปากทั้งคู่บางเฉียบ ทำให้คนมองรู้สึกได้ถึงความโหดเหี้ยมอำมหิต เวลานี้เขากำลังประหัตประหารกับสิ่งมีชีวิตกลุ่มหนึ่งที่คล้ายกับวิญญาณพยาบาทในบ่อลึก วิญญาณพยาบาทเหล่านั้นเรือนกายบูดเบี้ยว คำรามแหบโหยพร้อมกระโจนเข้าใส่ ทว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าชายหนุ่มผู้นี้กลับไม่มีเรี่ยวแรงใดๆ เหลือให้ต้านทาน ได้แต่ถูกเขาดับสังหารไปตลอดทาง
ทว่าวินาทีที่เสียงคำรามของสัตว์ดังออกมา ชายหนุ่มผู้นี้กลับชะงักฝีเท้าแล้วเงยหน้าขึ้นพรวด นัยน์ตาโชนแสงคมกริบ
“ไม่ว่าบนสายรุ้งสีม่วงจะมีคนเพิ่มขึ้นมาอีกสักกี่คน ทว่าในการประลองดับวิญญาณ ใครที่แย่งกับข้า ข้าก็จะสังหารมันผู้นั้น!”
คนผู้นี้ก็คือบุคคลยิ่งใหญ่แห่งกระดานเกียรติคุณอันตมรรคาฟ้าดาราเช่นกัน ทั้งยังเหนือกว่าเฉินเยว่ซานหนึ่งระดับอีกด้วย เพราะเขาอยู่อันดับที่สอง ชื่อของเขามีนามว่า…จั่วเต้า!
แม้แต่โลกภายนอกก็ยังสั่นสะเทือนไปเพราะเสียงคำรามของสัตว์ตัวนี้ ก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงรูปปั้นของกงซุนหว่านเอ๋อร์ที่อยู่ในสายรุ้งสีครามเลย เพราะนางยิ่งสัมผัสได้รุนแรงกว่าผู้ใด นัยน์ตาของนางโชนแสงวาววับ แต่กลับไม่ได้ถอยหนี ทว่ายิ่งกระตุ้นใช้กระบี่กระดูกให้พุ่งเข้าไปหาป๋ายเสี่ยวฉุนรวดเร็วยิ่งกว่าเดิม!
ก่อเกิดเป็นเสียงแหวกอากาศคล้ายฉีกกระชากความว่างเปล่า!
ปราณดุร้ายน่าตะลึงบนร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนทำให้ผมทั้งศีรษะของเขาปลิวสยาย มือทั้งคู่ของเขากางขึ้นสูงสู่ท้องฟ้าแล้วโบกสะบัดอย่างรุนแรง
“ธารา!!”
เสียงกึกก้องสะเทือนเลือนลั่นปฐพีดังเขย่าคลอนจนแก้วหูแทบดับ พื้นดินในอาณาเขตหมื่นจั้งกลายมาเป็นหนองน้ำ หนามแหลมแท่งหนึ่งที่ใหญ่จนมิอาจหาคำมาบรรยายได้คล้ายยอดเขาที่ทิ่มแทงขึ้นมาจากใต้ดินพร้อมเสียงดังตูมตาม มันพุ่งดิ่งขึ้นมาค้ำฟ้า กินอาณาเขตหมื่นจั้ง ขณะเดียวกันก็คล้ายจะเข้ายึดครองโลกทั้งใบ อีกทั้งเบื้องใต้หนามแหลมนั้นยังมีผิวหนังที่เป็นแผ่นเกล็ดสีดำ…ปรากฏตามขึ้นมาด้วย!!
เมื่อมองออกไปยังเห็นด้วยว่าในพื้นที่อื่นก็มีหนามแหลมเป็นแท่งๆ ตั้งเรียงรายกันขึ้นมา ราวกับว่า…อาณาเขตหมื่นจั้งนี้เป็นเพียงแค่หน้าต่างบานหนึ่งเท่านั้น
และเมื่อมองผ่านหน้าต่างนี้ไปก็จะได้เห็นเพียงเรือนกายส่วนเล็กของสัตว์ใหญ่ยักษ์น่าครั่นคร้ามตัวหนึ่ง ซึ่งยังคง…ไม่สามารถมองเห็นตลอดทั้งร่างของมันได้!
พริบตานั้นหนามแหลมนี้ก็ชนโครมเข้ากับรูปปั้นของกงซุนหว่านเอ๋อร์ที่พุ่งมาใกล้
ความน่าตื่นตะลึงของภาพนี้มีมากจนมิอาจพรรณนา ชั่วขณะที่มองเห็นหนามแหลมนั่น ทุกคนล้วนสูดลมหายใจเฮือกใหญ่ คนที่อยู่อันดับยิ่งสูง ความสะเทือนขวัญก็ยิ่งมีมาก โดยเฉพาะเฉินเยว่ซานและจั่วเต้าก็ยิ่งเป็นเช่นนี้ พวกเขาสองคนที่อยู่ในสถานที่ต่างกันเวลานี้ลูกตาดำของพวกเขาต่างก็หดตัวเข้าหากัน
ขณะที่คนภายนอกตะลึงพรึงเพริดกันอยู่นั้น ในสายรุ้งสีคราม เสียงอึกทึกยังคงระเบิดขึ้นอย่างไม่ขาดสาย ดังเกินอสนีบาตคล้ายการปะทะกันระหว่างผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสอง ก่อให้เกิดลมพายุที่มากพอจะทำลายทุกอย่างให้พินาศวอดวาย และท่ามกลางลมพายุนี้ กระบี่กระดูกที่อยู่ในมือของกงซุนหว่านเอ๋อร์ก็แตกออกไปทีละชุ่น จนสุดท้ายก็ระเบิดดังตูม
ส่วนร่างของนางก็มืดสลัวลงทั้งยังมีรอยปริแตกจำนวนมากปรากฏขึ้นคล้ายจะแตกกระจายออกเป็นเสี่ยงๆ นางถอยกรูดออกไปอย่างรวดเร็ว แต่ถึงแม้ว่านางจะถอย ทว่าอานุภาพการตวัดฟันของกระบี่กระดูกนั่นก็ไม่ใช่น้อยๆ แม้กระบี่จะแตกทลายไปแล้ว ทว่าปราณกระบี่ยังคงอยู่ ปราณกระบี่นี้คำรามอู้ลอดทะลุปุ่มกระดูกขนาดมโหฬารราวภูเขา…ตรงดิ่งเข้าหาป๋ายเสี่ยวฉุน!
นี่ถือเป็นครั้งแรกที่เขตแดนธารา…ถูกคนแทงทะลุเข้ามาได้ เมื่อปราณกระบี่คำรามเข้าหา ป๋ายเสี่ยวฉุนจึงมิอาจหลบเลี่ยง เสียงตูมดังหนึ่งครั้งปราณกระบี่นั้นก็กระแทกลงเบื้องหน้าของเขาจังๆ
ป๋ายเสี่ยวฉุนกระอักเลือด รู้สึกเจ็บปวดรวดร้าวไปทั้งร่าง ไม่ว่าจะเป็นกระดูกหรือเลือดเนื้อบัดนี้ก็คล้ายว่าจะแตกสลายเป็นเสี่ยงๆ ร่างถูกเหวี่ยงกระเด็นออกไปไกลคล้ายว่าวที่สายป่านขาด
คู่ต่อสู้คู่นี้ฝีมือสูสีกัน ต่างฝ่ายต่างเจ็บหนักทั้งคู่!!
ภาพเหตุการณ์นี้ทำให้ทุกคนที่อยู่ข้างนอกเกิดคลื่นยักษ์ถาโถมในจิตใจ ด้านหนึ่งตื่นตะลึงไปกับเวทคาถาของป๋ายเสี่ยวฉุน อีกด้านหนึ่งคือสะท้านสะเทือนไปกับการต่อสู้ด้วยพลังสูงสุดของรวมโอสถ ทำให้พวกเขาเกิดความกระตือรือร้นบ้าคลั่งอย่างไร้ที่สิ้นสุด!
สามารถจินตนาการได้เลยว่า ต่อให้ศึกครั้งนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนจะพ่ายแพ้ ทว่าในสายตาของทุกคนแล้ว เขาจะยิ่งกลายเป็นที่จับตามองมากกว่าเดิม!
“ทั้งสองคนนี้ต่างก็บรรลุไปถึงระดับที่เข้าใกล้กับคำว่าก่อกำเนิดเหล่าไกว้ได้แล้ว!”
“กงซุนหว่านเอ๋อร์คือรวมโอสถช่วงท้าย ทว่าป๋ายเสี่ยวฉุนผู้นี้…เขาเพิ่งจะรวมโอสถช่วงกลางเองนะ!”
“ข้าเคยไปสืบข่าวมาก่อนเลยรู้ว่าป๋ายเสี่ยวฉุนผู้นี้มาจากสำนักสยบธารของแม่น้ำตอนกลางแดนฟ้า กงซุนหว่านเอ๋อร์ก็มาจากที่นั่นเหมือนกัน สวรรค์ สำนักสยบธารช่างน่ากริ่งเกรงยิ่งนัก ขนาดคนที่ส่งมาเป็นตัวประกันก็ยังมีฝีมือสยบฟ้าได้ถึงเพียงนี้!!”
ขณะที่ทุกคนกำลังวิพากษ์วิจารณ์กันไม่หยุดนั้น ในสายรุ้งสีคราม รูปปั้นของกงซุนหว่านเอ๋อร์ที่เต็มไปด้วยรอยร้าวจำนวนมากพลันเงยหน้าขึ้น ดวงตาของนางฉายแสงเย็นเยียบ ยกมือขวาขึ้นแล้วกดลงไปบนหว่างคิ้วของตัวเอง
เสียงปังดังหนึ่งครั้ง หว่างคิ้วของรูปปั้นแตกทลาย และยิ่งทำให้รอยปริร้าวบนร่างของนางเพิ่มมากขึ้น ทว่าขณะเดียวกันกลับคล้ายจะมีความเย็นแห่งชีวิตระลอกหนึ่งที่ซุกซ่อนอยู่ในส่วนลึกของร่างของนางไหลทะลักทลายออกมาตามรอยแยกเหล่านั้นอย่างบ้าคลั่ง
เมื่อความเย็นนั้นแผ่ขยายออกมา เสียงเปรี๊ยะๆๆ ก็ดังไม่ขาดสาย ไอความเย็นพวกนั้นรวมตัวกันเป็นผนึกน้ำแข็งอยู่นอกร่างรูปปั้นของกงซุนหว่านเอ๋อร์อย่างต่อเนื่อง ทำให้พริบตาเดียวเรือนกายของกงซุนหว่านเอ๋อร์ก็กลายมาเป็นมนุษย์น้ำแข็งขนาดยักษ์ที่สูงหลายจั้ง
หากเป็นเพียงแค่มนุษย์น้ำแข็งก็ยังพอว่า ทว่าขณะเดียวกันกับที่ร่างกายของนางขยายใหญ่โตก็คล้ายว่าจะมีไอความเย็นชนิดหนึ่งที่สามารถดับทำลายทุกชีวิตแผ่กระจายตามมาด้วย พริบตาเดียวไอความเย็นนั้นก็อบอวลไปทั่วพื้นที่หมื่นจั้ง และตลอดทั้งสายรุ้งสีครามก็กลายมาเป็นฟ้าดินที่ถูกไอความเย็นปิดผนึกให้กลายเป็นน้ำแข็ง!
ไอความเย็นนี้ทรงพลังมากเกินไป เพียงแค่ปรากฏขึ้นพื้นที่รอบนอกรัศมีหมื่นจั้งก็ถึงกับทนรับไม่ไหว จึงกลายมาเป็นน้ำแข็งเย็นเฉียบโดยตรง หรือแม้กระทั่งบนพื้นดิน บนรอยปริแตก ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ในนี้ล้วนถูกผนึกไปด้วยน้ำแข็งทั้งหมด!
เสียงเปรี๊ยะปร๊ะกลายมาเป็นเสียงเดียวที่ดังอยู่ในโลกใบนี้!
และเรือนกายของนางก็ใหญ่โตมโหฬารอย่างถึงที่สุด!
“ความเย็นแห่งดับการทำลาย!” ทุกคนที่อยู่ด้านนอกแตกตื่นกันอีกครั้ง แม้แต่นักพรตก่อกำเนิดก็ยังจับตามองศึกครั้งนี้ หลังจากเห็นไอความเย็นนี้ นักพรตก่อกำเนิดบางคนที่จำที่มาของไอความเย็นนี้ได้ก็ยิ่งร้องอุทานด้วยความตกใจ
และนักพรตจำนวนมากก็มองเส้นสนกลในออกอย่างรวดเร็ว พวกเขาพากันหน้าเปลี่ยนสี แม้แต่เจ้าสำนักก็ยังเบิกตากว้างจากจุดที่ปิดด่าน รีบหันมามองยังสมรภูมิรบ
พวกเขายังเป็นขนาดนี้ก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนอื่นๆ ที่เวลานี้สายตานับหมื่นล้วนจับจ้องมายังสายรุ้งสีคราม ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็หน้าถอดสี เขาสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าไอความเย็นรอบด้านพกพาพลังแห่งการดับทำลายชีวิตมาด้วย หากถูกปิดผนึกเมื่อใดก็จะต้องดับสลายไปทั้งกายและจิต
“บัดซบ ทำไมไอความเย็นของกงซุนหว่านเอ๋อร์ผู้นี้ถึงน่ากลัวได้ขนาดนี้!!” วิกฤตคับขัน ดวงตาป๋ายเสี่ยวฉุนเห็นว่าไอความเย็นแผ่ขยายมาที่ตนอย่างรวดเร็ว และใกล้จะสัมผัสกับร่างของตนเข้าทุกที เขาจึงเงยหน้าขึ้นพรวด ปากพ่นคำสี่คำออกมา
“คาถาคนขุนเขา!” วินาทีที่สี่คำนี้หลุดออกมาจากปาก ในลูกตาดำของเขาก็มีภาพมายาของภูเขามนุษย์หินปรากฏขึ้น และเมื่อภาพมายานี้เผยตัว นอกร่างของเขาก็มีภูเขามนุษย์หินโผล่พรวดออกมาเช่นกัน!
คนผสานกับภูเขา คนก็คือภูเขา ภูเขาก็คือคน!
ตูมๆๆ!
ร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนหายวับไป เมื่อปรากฏอยู่ในเส้นสายตาของทุกคนอีกครั้งเขาก็กลายมาเป็นมนุษย์หินขนาดใหญ่ยักษ์ตนหนึ่ง…ที่สูงหลายสิบจั้ง!
มนุษย์หินตนนี้เพิ่งจะปรากฏตัวก็แผ่พลังอำนาจอันเกรี้ยวกราดที่ทำให้นักพรตรวมโอสถตะลึงลาน ทำให้นักพรตก่อกำเนิดมองตาค้างได้ทันที เมื่อพลังอำนาจนี้ปรากฏขึ้นก็ปะทะเข้ากับไอความเย็นที่เข้ามาใกล้จนทำให้เกิดเป็นเสียงกัมปนาทดังเกินฟ้าคำรณ
“คาถาคนขุนเขา!!” ในบรรดานักพรตที่อยู่ภายนอกมีคนจำได้จึงร้องอุทานเสียงหลง ชักนำให้เกิดเสียงอึกทึกเอ็ดอึงจากคนจำนวนนับไม่ถ้วน และยิ่งทำให้นักพรตก่อกำเนิดแสดงสีหน้าประทับใจ
ความเย็นแห่งดับการทำลายของกงซุนหว่านเอ๋อร์ก็ทำให้พวกเขาตะลึงพออยู่แล้ว เวลานี้ยิ่งมาเห็นว่าคาถาคนขุนเขาปรากฏขึ้นอีกครั้ง ความตะลึงพรึงเพริดนั้นก็ยิ่งมีมากเข้าไปอีก
“ไม่นึกเลยว่าจะมีคนฝึกคาถาคนขุนเขาได้สำเร็จอีกครั้ง!!”
“ป๋ายเสี่ยวฉุนผู้นี้…ไม่ธรรมดา!!”
แม้แต่เจ้าสำนักเองเวลานี้ก็ยังมีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมา
นอกหุบเขาหมื่นภูเขา ดวงตาของสือซานที่นั่งอยู่บนหินก้อนใหญ่ฉายประกายแสงแวววาว มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม ทั้งยังมากด้วยความฮึกเหิม!
เมื่อมองไกลๆ ยักษ์น้ำแข็งอยู่ซ้าย มนุษย์หินอยู่ขวา ตรงกลางระหว่างพวกเขาคือการพุ่งชนกันอย่างดุเดือดระหว่างไอความเย็นและปราณแห่งพลังอำนาจจนทำให้สั่นสะเทือนไปทั้งสายรุ้งสีคราม
“ฆ่า!!” ป๋ายเสี่ยวฉุนที่กลายร่างเป็นคนภูเขาคำรามกร้าวหนึ่งครั้งแล้วกระโจนเข้าใส่มนุษย์น้ำแข็งที่แปลงกายมาจากกงซุนหว่านเอ๋อร์ พลังอำนาจกร้าวแกร่งโหมผงาด ขจัดนภาทำลายปฐพี!