บทที่ 444 อันดับหนึ่งจ้าวเทียนเจียว
ขณะที่ทุกคนทยอยกันลงไปบนเรือรบลำใหญ่มหึมา ผู้เฒ่าสามตาคนเมื่อครู่ที่เดินออกมาจากสายรุ้งคนฟ้าเวลานี้ก็สะบัดร่างหนึ่งครั้งแล้วหายวับไปจากสายรุ้ง มาปรากฏตัวอีกทีก็อยู่กลางเรือแล้ว อีกทั้งยังไม่ได้มาคนเดียว ข้างกายเขายังมีนักพรตก่อกำเนิดติดตามมาอีกห้าคน
ขณะที่เรือรบกำลังจะออกเดินทาง ทว่าเวลานี้เองทิศทางที่ห่างไปไกลมีรุ้งยาวเส้นหนึ่งพุ่งแหวกผ่าความว่างเปล่าคำรามอู้เข้ามาใกล้อย่างรวดเร็วพร้อมเสียงดังสะเทือนแก้วหู
“เรื่องใหญ่ขนาดนี้จะขาดข้าจ้าวเทียนเจียวไปได้อย่างไร!”
นั่นคือชายหนุ่มคนหนึ่งที่ร่างเต็มไปด้วยฝุ่นผงมอมแมมคล้ายเร่งรุดเดินทางมาด้วยความรีบร้อน รูปร่างของเขาสูงโปร่ง ผมยาวสลวย ตลอดทั้งร่างให้ความรู้สึกถึงความเย่อหยิ่งเย็นชา ทั้งยังมีคลื่นตบะที่น่ากริ่งเกรงแผ่ออกมาจากร่างของเขาอย่างต่อเนื่องจนส่งอิทธิพลผลต่อความว่างเปล่ารอบด้าน แม้จะรวมโอสถขั้นสมบูรณ์แบบ ทว่าความลึกล้ำของพลังแฝงที่ซุกซ่อนอยู่กลับเทียบเคียงได้พอๆ กับก่อกำเนิดทั่วไป โดยเฉพาะหากมองอย่างละเอียด ชายหนุ่มที่เยื้องกรายมาถึงผู้นี้เขาไม่ได้แค่บินมาเท่านั้น ทว่าร่างของเขาบางครั้งก็ยังพร่าเลือน และบางครั้งก็ชัดเจน
นี่ต่างหาก…ถึงจะเรียกว่าการเคลื่อนที่เหนือความเร็วแสงอย่างแท้จริง ต่อให้เป็นเพียงช่วงระยะทางสั้นๆ ทว่าเรื่องแบบนี้มาปรากฏอยู่กับตัวของนักพรตรวมโอสถคนใด ระดับความน่าตื่นตะลึงก็เหนือล้ำเกินกว่าที่จั่วเต้าทำไปก่อนหน้านี้ทันที!
พริบตาเดียวชายหนุ่มผู้นี้ก็เยื้องกรายลงมาบนเรือ ยืนอยู่เบื้องหน้าทุกคน เขาที่ยืนอยู่ตรงนั้นโดดเด่นสะดุดตา ไม่ธรรมดาเป็นอย่างยิ่ง คนรอบด้านเมื่อเปรียบเทียบกับเขาแล้วก็ราวกลุ่มดาวกับดวงจันทรา!
“นั่นศิษย์พี่ใหญ่!”
“สวรรค์ เมื่อครู่นี้ศิษย์พี่ใหญ่ก็…เคลื่อนที่เหนือแสง?”
“ศิษย์พี่จั่วเต้าเรียกว่าเลี่ยงลม ศิษย์พี่ใหญ่ต่างหากถึงจะเรียกว่าเคลื่อนที่เหนือความเร็วแสงอย่างแท้จริง!” ทุกคนที่อยู่รอบด้านร้องอุทานด้วยความตกตะลึง สายตาของแต่ละคนที่มองมายังจ้าวเทียนเจียวต่างก็เผยความเคารพยำเกรง
“ข้าก็เคลื่อนที่เร็วกว่าแสงได้เหมือนกัน!” ป๋ายเสี่ยวฉุนที่เห็นเหตุการณ์พูดพร้อมรู้สึกเจ็บจี๊ดในใจ แม้ว่าจะรู้สึกยอมไม่ได้เล็กน้อย แต่เขาก็ยังรู้สึกว่าจ้าวเทียนเจียวผู้นี้มีความสามารถอย่างแท้จริง ยิ่งปราณที่แผ่ออกมาจากร่างของคนผู้นี้ด้วยแล้ว ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยิ่งสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าในร่างของอีกฝ่ายซุกซ่อนคลื่นที่น่าครั่นคร้ามระลอกหนึ่งเอาไว้ ซึ่งแข็งแกร่งทรงพลังยิ่งกว่ารูปปั้นของกงซุนหว่านเอ๋อร์เสียอีก
“เลยเวลามาแล้ว เจ้ามีเหตุผลอะไรถึงได้มาล่าช้าแบบนี้!” ตอนที่ผู้เฒ่าสามตาขอบเขตคนฟ้ามองไปยังจ้าวเทียนเจียว ดวงตาของเขาเผยความอ่อนโยน ทว่าคำพูดกลับเย็นชา
“เมื่อหนึ่งปีก่อนลูกศิษย์ของสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราได้ออกไปข้างนอกและคนมากมายหายตัวไป ศิษย์พบเจอโดยบังเอิญจึงสืบสาวราวเรื่องต่อ พบว่าต้นเหตุของเรื่องก็คือเหล่าไกว้สามคนจึงเริ่มไล่ล่าพวกเขา แต่เนื่องจากพวกเขาหนีกันไปคนละทิศละทาง ดังนั้นจึงกินเวลาไปเล็กน้อย” จ้าวเทียนเจียวประสานมือคารวะ แล้วจึงยกมือขวาขึ้นมาโบกหนึ่งครั้ง ทันใดนั้นชายแขนเสื้อของเขาก็มีศีรษะสามหัวลอยออกมาแล้ววางซ้อนกันอยู่บนพื้นเรือ
ในบรรดาศีรษะสามหัวนี้ สองหัวในนั้นคือผู้เฒ่า และอีกหัวหนึ่งคือชายวัยกลางคน คนทั้งสามล้วนเบิกตากว้าง ดวงตายังคงมีความตะลึงพรึงเพริดหลงเหลืออยู่ จากปราณที่ส่งออกมาสามารถสัมผัสได้ว่าตอนที่ยังมีชีวิตอยู่สามคนนี้คือนักพรตก่อกำเนิด!
“บุรพาจารย์สุ่ยเหอ!”
“นี่เฟิงเจินเหริน!”
“นั่นมัน…เหยียนอวิ๋นเหล่าไกว้!!”
“ทั้งสามคนนี้ต่างก็เป็นก่อกำเนิด…สวรรค์ ศิษย์พี่ใหญ่สังหารพวกเขาทั้งสามคน!!”
“นี่…สมแล้วที่เป็นศิษย์พี่ใหญ่!!” หลังจากคนรอบด้านมองเห็นศีรษะทั้งสามนี้ก็พลันร้องเสียงหลงทันใด
ดวงตาของเฉินเยว่ซานหดตัวลง ไม่ได้เอ่ยอะไร ส่วนจั่วเต้าผู้นั้นตอนนี้มีสีหน้ามืดคล้ำนิ่งสนิท ลมหายใจถี่กระชั้นน้อยๆ
ป๋ายเสี่ยวฉุนเบิกตากว้างสำลักลมหายใจ ก่อนหน้านี้เขาแค่รู้สึกว่าจ้าวเทียนเจียวมีฝีมือเก่งกาจ แต่พอมาเห็นอย่างนี้เขาก็ตัดสินใจเด็ดขาดเลยว่าจะไม่ไปมีเรื่องกับจ้าวเทียนเจียวแน่ๆ
“เอาเถอะๆ เรื่องที่ชื่อของเจ้าไพเราะกว่าชื่อข้า ข้าจะยอมทนให้ก็แล้วกัน!” ป๋ายเสี่ยวฉุนมองศีรษะทั้งสามนั้นแล้วพึมพำอยู่กับตัวเองในใจ
ผู้เฒ่าสามตาพยักหน้าน้อยๆ ไม่ได้เอ่ยอะไร จากนั้นจึงหมุนกายเดินขึ้นไปยังชั้นที่สูงสุดของเรือรบแห่งนี้ ทิ้งพวกนักพรตก่อกำเนิดที่อยู่ข้างกายเอาไว้ซึ่งพวกเขากำลังมองทุกคนด้วยสายตาเย็นชา
“พวกเจ้าทุกคนล้วนเป็นศิษย์แห่งความภาคภูมิใจของสำนักอันตมรรคาฟ้าดารา สำหรับการประลองครั้งนี้ต่างก็พอจะเข้าใจกันมาบ้างแล้ว พวกข้าผู้อาวุโสจึงไม่ขอพูดมากอีก”
“มีแค่เรื่องเดียวที่จะสั่งความพวกเจ้า เนื่องจากเวลาเดินทางนานถึงครึ่งปี ดังนั้นที่พักของพวกเจ้าภายในระยะเวลาครึ่งปีนี้จึงแบ่งตามลำดับรายชื่อบนกระดานเกียรติคุณอันตมรรคาฟ้าดารา!”
“สามอันดับแรกอาศัยอยู่บนชั้นสอง ที่นั่นได้เปิดห้องที่พักไว้สำหรับพวกเจ้าแล้ว พวกเจ้าสามารถเลือกได้ตามใจชอบ ตั้งแต่อันดับที่สี่ถึงสิบ พวกเจ้าอาศัยอยู่ชั้นสาม ซึ่งก็มีห้องที่จำเป็นสำหรับการฝึกบำเพ็ญตบะของพวกเจ้าเตรียมรอไว้แล้วเช่นกัน”
“ตั้งแต่อันดับที่สิบเอ็ดถึงร้อยอันดับแรก พวกเจ้าอยู่ชั้นที่สี่ ส่วนอันดับที่เหลือหลังจากนั้นอยู่รวมกันที่ชั้นห้าให้หมด!” ชายวัยกลางคนคนหนึ่งในบรรดานักพรตก่อกำเนิดหลายคนเอ่ยเสียงราบเรียบด้วยใบหน้าไร้อารมณ์
เวลาเดียวกันนั้นเรือรบลำนี้ก็เริ่มแล่นไปบนผิวมหาสมุทรช้าๆ และความเร็วก็ค่อยๆ เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เสียงลูกคลื่นที่กระทบเข้ากับลำเรือก่อให้เกิดเป็นเสียงครืนครั่นดังสะท้อนไปรอบด้าน
ทั้งยังมีลมแรงโชยมาปะทะใบหน้า แถมบางครั้งก็ยังพัดพาเอาน้ำทะเลที่มีฤทธิ์กัดกร่อนรุนแรงให้สาดกระเซ็นขึ้นมาด้วย แม้จะไม่สามารถทำอะไรเรือรบได้ ทว่าหากโดนตัวนักพรตจะทำให้ผิวเนื้อเปื่อยเละทันที
ป๋ายเสี่ยวฉุนมองเห็นสิ่งเหล่านี้ก็รู้สึกตื่นตระหนกอีกครั้ง ทว่าพอได้ยินคนเหล่านี้พูดว่าที่พักจะจัดให้ตามอันดับที่แตกต่างกัน ป๋ายเสี่ยวฉุนก็คึกคักขึ้นมาทันใด
“แบบนี้สิถึงจะถูก อยู่อันดับสูงๆ ก็ยิ่งควรได้อยู่ในสถานที่ที่ดียิ่งกว่า” ป๋ายเสี่ยวฉุนฮึกเหิม เริ่มอดใจรอไม่ไหวอยากเห็นเต็มทีแล้วว่าห้องของตัวเองจะมีสภาพเป็นเช่นไร
“จงใช้ป้ายตัวตนของพวกเจ้าไปหาห้องของตัวเอง แยกย้ายกันได้!” นักพรตวัยกลางคนผู้นี้กล่าวจบก็หมุนกายบินขึ้นไปยังชั้นที่หนึ่งพร้อมกับนักพรตก่อกำเนิดคนอื่นๆ ต่างคนต่างกลับเข้าไปในห้องของตัวเองแล้วนั่งสมาธิเข้าฌาน ไม่สนใจทุกคนที่อยู่ด้านนอกอีก
เห็นว่าผู้อาวุโสล้วนจากไปหมดแล้ว นักพรตหนึ่งพันคนที่อยู่บนเรือรบจึงพากันแยกย้าย ไม่ยินดีจะยืนอยู่บนแผ่นไม้กระดานที่โล่งโจ้งอีก เพราะอย่างไรซะลมทะเลของที่นี่ก็แรงเกินไป น้ำทะเลที่กระเซ็นมาโดนนั้นก็น่าพรั่นพรึงไม่น้อย
จ้าวเทียนเจียวบินขึ้นไปบนชั้นสองเป็นคนแรก เฉินเยว่ซานและจั่วเต้าก็ทยอยกันตามไป ไม่นานคนทั้งสามก็หายตัวไปในชั้นที่สอง มองเห็นว่าตลอดทั้งชั้นกลับมีคนได้อยู่เพียงสามคน ในใจของคนไม่น้อยก็รู้สึกอิจฉาและริษยาน้อยๆ แน่นอนว่าย่อมมีความจำใจรวมอยู่ด้วย
คราวนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่รู้สึกเจ็บจี๊ดในใจ เขาบินออกไปยังชั้นสามพร้อมกับนักพรตคนอื่นๆ ที่อยู่สิบอันดับแรกด้วยความเบิกบาน กงซุนหว่านเอ๋อร์เองก็ยิ้มน้อยๆ แล้วบินทะยานออกไปเช่นกัน
ส่วนคนอื่นๆ แม้จะจนใจ แต่กลับทำอะไรไม่ได้ ต่างคนต่างแยกย้ายกันไปตามหาห้องของตัวเอง
ป๋ายเสี่ยวฉุนโบยบินอย่างรวดเร็ว หลังจากพกพาเอาความคาดหวังมาถึงชั้นที่สามแล้ว เขาก็ค้นพบด้วยความตะลึงระคนดีใจทันทีว่า ตลอดทั้งชั้นสามนี้คล้ายถูกปรับปรุงใหม่ ถึงได้มีห้องแค่เพียงเจ็ดห้องเท่านั้น
เขาเลือกห้องหนึ่งอย่างไม่ใส่ใจมากนัก หลังจากใช้ป้ายตัวตนของตัวเองแตะลงไปก็ทำการนาบตราประทับของตัวเองทันที ประตูห้องเปิดออก พอเดินเข้าไปและได้เห็นในห้อง ต่อให้ป๋ายเสี่ยวฉุนจะเคยพบเคยเห็นอะไรมามากก็ยังต้องสูดลมหายใจเฮือกใหญ่อย่างอดไม่อยู่
ห้องนี้ใหญ่อย่างถึงที่สุด ใหญ่พอร้อยจั้ง อีกทั้งไม่ได้มีแค่ห้องเดียว ยังแยกออกเป็นห้องย่อยๆ รวมเป็นเจ็ดห้อง แถมยังมีห้องสำหรับหลอมยาด้วย ไม่ใช่แค่อุปกรณ์ที่ครบครัน ทั้งยังหรูหราอย่างหาอะไรมาเปรียบไม่ได้
บนพื้นไม่ใช่แผ่นไม้ แต่เป็นหินสีเขียวที่แฝงเร้นไว้ด้วยพลังวิญญาณในระดับที่แน่นอน หินสีเขียวนี้มีลักษณะกึ่งโปร่งใสคล้ายมีก้อนเมฆลอยวนอยู่ด้านใน มองดูแล้วงดงามจับตาอย่างมาก ทั้งยังมีปราณวิญญาณเข้มข้นแผ่ออกมา ขณะเดียวกันก็มีค่ายกลให้การคุ้มกัน ทำให้พอเข้ามาในห้องแล้ว เสียงกัมปนาทจากข้างนอกก็จะหายวับไปทันใด
โดยเฉพาะในนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนยังมองเห็นหุ่นเชิดหญิงรับใช้อีกหกตนที่รับผิดชอบดูแลความเป็นอยู่ให้กับตน แถมด้านข้างยังมีหน้าต่างบานหนึ่งที่ไว้ดูมหาสมุทรสีทองกว้างใหญ่ไพศาลด้านนอก
นอกจากนี้ห่างออกไปไกลยังมีระเบียงโล่งอีกแห่งหนึ่ง สามารถยืนรับลมทะเลอยู่ตรงนั้น หรือต่อให้คิดจะยืนตกปลาอยู่ตรงนั้นก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ ยิ่งตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงวันด้วยแล้ว แสงอาทิตย์ก็ยิ่งงดงามพร่างพราย ป๋ายเสี่ยวฉุนมองออกไปก็มีความรู้สึกวู่วามอยากจะพุ่งตัวไปนอนอาบแดดอยู่ตรงนั้นทันที
ห้องใหญ่โตขนาดนี้อย่าว่าแต่เขาอยู่คนเดียวเลย ต่อให้เอาคนมาอยู่สักร้อยคนก็ยังมีพื้นที่เหลือเฟือ
“นี่มันหรูหราฟุ่มเฟือยเกินไปแล้ว การปฏิบัติด้วยความแตกต่างเช่นนี้ของสำนักอันตมรรคาฟ้าดารา ข้า…ข้าชอบเหลือเกินแล้ว!” ป๋ายเสี่ยวฉุนดีใจถึงขีดสุด หลังจากเดินชมไปทั่วรอบหนึ่งแล้วก็นั่งลงทำสมาธิเริ่มเข้าฌาน
เวลาสามวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว สามวันมานี้ป๋ายเสี่ยวฉุนพึงพอใจต่อห้องของตัวเองอย่างยิ่งยวด โดยเฉพาะเขาพบว่าทุกวันจะต้องมีหุ่นเชิดเอาอาหารวิเศษปริมาณมากมาส่งให้ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยิ่งเบิกบานใจ
อาหารวิเศษพวกนั้นมีมากมายจนป๋ายเสี่ยวฉุนพยายามกินเท่าไหร่ก็กินไม่หมด ทุกสิ่งทุกอย่างนี้ทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองได้เสวยสุขเสียยิ่งกว่าตอนอยู่ในสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราเสียอีก ดังนั้นจึงตบท้องของตัวเองเบาๆ
นอนแผ่อยู่บนเก้าอี้ตรงระเบียง รับลมที่โชยมาและอาบไล้ร่างด้วยแสงอาทิตย์ สุขสบายไปทั้งตัวจนหัวเราะหึหึอย่างครึ้มใจ
“ข้าอยู่อันดับที่สิบยังได้ดื่มด่ำไปกับการปฏิบัติเช่นนี้ ไม่รู้ว่าห้องของพวกจ้าวเทียนเจียวสามคนจะใหญ่แค่ไหนกันนะ?”
นึกถึงจ้าวเทียนเจียว ป๋ายเสี่ยวฉุนก็อดนึกถึงพวกซ่งเชวียไม่ได้ เขารู้สึกว่าห้องของตนใหญ่ขนาดนี้ ตนอยู่คนเดียวก็โล่งเกินไป สามารถให้คนอื่นๆ มาอยู่ด้วยกันได้ ดังนั้นจึงเปลี่ยนใจพุ่งตัวออกไปจากห้องด้วยความคึกคัก เริ่มเดินเตร่อยู่ข้างนอก เดินไปเดินมาก็มาถึงชั้นที่สี่
เขาจงใจมาเยือนที่นี่เพราะอยากรู้ว่าสภาพห้องของคนอื่นเป็นเช่นไร เพราะว่าชั้นสี่นี้มีคนอยู่ไม่น้อย ซึ่งแต่ละคนก็เดินเข้าๆ ออกๆ ต่อเนื่อง หลังจากวนรอบชั้นสี่ครบหนึ่งรอบแล้วจึงทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนมองเส้นสนกลในออกในที่สุด
เห็นได้ชัดว่าชั้นที่สี่นี้เล็กกว่ามาก ห้องแต่ละห้องก็มีขนาดแค่สิบกว่าจั้งเท่านั้น แม้จะเป็นเช่นนี้แต่ก็ล้วนเป็นห้องเดี่ยวแยกกันอยู่เป็นสัดส่วน ทว่าเมื่อป๋ายเสี่ยวฉุนมาถึงชั้นห้า…เขาก็ต้องหรี่ตาลงอย่างอดไม่อยู่