Skip to content

A Will Eternal 445

บทที่ 445 ทีนี้ข้าก็จะได้กินข้าวดีๆ เสียที

ห้องของที่นี่มีร้อยกว่าห้อง ทุกห้องมีขนาดไม่ใหญ่ก็ยังพอว่า แต่นี่ยังไม่ใช่ห้องเดี่ยวอีกต่างหาก ห้องหนึ่งอยู่กันตั้งห้าคน…

แม้ว่าแต่ละมุมในห้องจะมีค่ายกลแบ่งพื้นที่ให้ความเป็นส่วนตัว ทว่าหากเทียบกับห้องของเขาแล้วก็ช่างแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว ราวก้อนเมฆกับก้อนดิน

ป๋ายเสี่ยวฉุนหาอยู่นานมากในที่สุดก็เจอเสินซ่วนจื่อในห้องหนึ่ง เวลานี้เสินซ่วนจื่อกำลังนั่งอยู่ในพื้นที่ของตัวเองด้วยสีหน้ากลัดกลุ้ม เขามองห้องที่มืดอึมครึม พอคิดว่าจะต้องอยู่ที่นี่นานถึงครึ่งปี ในใจก็ให้อึดอัดขับข้องยิ่งนัก

ขณะที่กำลังหม่นหมองก็มองเห็นป๋ายเสี่ยวฉุน…

“บุรพาจารย์น้อย…” เสินซ่วนจื่อตะโกนเสียงดังขึ้นมาทันที

“เอาล่ะ มากับข้าเถอะ ที่ห้องข้ากว้างขวาง” ป๋ายเสี่ยวฉุนโบกมือหนึ่งครั้ง เอ่ยด้วยท่าทางอวดโอ่อย่างเห็นได้ชัด เสินซ่วนจื่อดีใจอย่างบ้าคลั่ง รีบติดตามไปด้านหลังป๋ายเสี่ยวฉุนท่ามกลางความอิจฉาของนักพรตคนอื่นๆ ที่อยู่ในห้อง

ป๋ายเสี่ยวฉุนไอแห้งๆ หนึ่งที เอามือไพล่หลังแล้วเดินหาคนอื่นต่อ ไม่นานก็มาเจอซ่งเชวียที่ห้องหนึ่ง…และที่บังเอิญก็คือ เฉินม่านเหยาก็อยู่ห้องเดียวกับซ่งเชวียด้วย

ลังจากที่มองเห็นป๋ายเสี่ยวฉุนมาเยือน เฉินม่านเหยาก็ยิ้มแป้นทันที นัยน์ตาฉายประกายมีชีวิตชีวา ในดวงนั้นราวกับมีตะขอมากมายพุ่งมาเกี่ยวใจป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างต่อเนื่อง ส่วนซ่งเชวียก็มีสีหน้ามืดทะมึนอย่างที่เคยเป็น หลายวันมานี้เขาหงุดหงิดมากพออยู่แล้ว และนี่ก็เป็นครั้งแรกเลยที่เขาต้องมาอยู่กับคนอื่น

“เชวียเอ๋อร์ อาหญิงน้อยของเจ้าฝากฝังเจ้าไว้กับข้า มีหรือที่ข้าจะทนยอมเห็นเจ้าได้รับความลำบากเช่นนี้ มาเถอะ ไปกับอาเขย ไปอยู่กับข้า อาหารวิเศษมื้อใหญ่ที่ข้ากินตอนเช้า กินคนเดียวไม่เคยหมดเลย”

ป๋ายเสี่ยวฉุนเอ่ยด้วยความปลงอนิจจัง

หน้าซ่งเชวียยิ่งมืดดำเข้าไปใหญ่ เขากัดฟันกรอดอยู่ในใจ เงยหน้ามองป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยความขุ่นเคือง

ในใจป๋ายเสี่ยวฉุนยิ้มร่า ซ่งเชวียไม่ชอบขี้หน้าเขา เขาเองก็ไม่ค่อยชอบขี้หน้า

ซ่งเชวียเหมือนกัน สบโอกาสเมื่อไหร่จึงเป็นต้องพูดจายั่วแหย่กวนโมโหอีกฝ่าย ขณะที่กำลังจะเอ่ยปากชวนเฉินม่านเหยา ทว่าเฉินม่านเหยากลับกล่าวขึ้นมาเอง

“พี่เสี่ยวฉุน ข้าไปกับท่าน ไปอยู่กับท่านข้ารู้ว่าท่านมีอาหารเช้ามื้อใหญ่ที่กินคนเดียวไม่เคยหมด ข้าจะไปช่วยท่านกินเอง!” เฉินม่านเหยาปิดปากหัวเราะ เดินมาอยู่ข้างกายป๋ายเสี่ยวฉุนเช่นเดียวกับเสินซ่วนจื่อ

ป๋ายเสี่ยวฉุนเห็นว่าซ่งเชวียไม่เอ่ยอะไรจึงส่ายหน้า พาเฉินม่านเหยาและ

เสินซ่วนจื่อเดินออกไป ขณะที่เดินมาถึงหน้าประตู เขาก็อดไม่ไหวจนต้องหันกลับมามองซ่งเชวียอีกครั้ง

“เจ้าไม่ไปจริงๆ รึ? ที่ห้องข้าดีนักล่ะ…ปราณวิญญาณเข้มข้นกว่าที่นี่เยอะมาก บำเพ็ญตบะก็เร็ว”

ซ่งเชวียไม่อยากไปจริงๆ แต่เมื่อต้องมาอยู่ในห้องที่แบ่งเป็นห้าส่วน มองเห็นนักพรตแปลกหน้ารอบกายเช่นนี้ เขาก็นึกขึ้นมาว่าชีวิตนี้ของตนไม่เคยต้องประสบพบเจอกับอะไรแบบนี้มาก่อน ดังนั้นเขาจึงเริ่มครุ่นคิด

โดยเฉพาะได้ยินป๋ายเสี่ยวฉุนบอกว่าปราณวิญญาณในห้องของเขาเข้มข้น สามารถช่วยให้บำเพ็ญตบะเร็วขึ้น ในที่สุดซ่งเชวียก็หาเหตุผลให้ตัวเองได้

“ข้าต้องอยู่เหนือกว่าเขา ลูกผู้ชายต้องรู้จักความยืดหยุ่น เวลาครึ่งปีนี้ข้าจะล้าหลังมากไม่ได้ ที่ข้ายอมไปด้วยไม่ใช่เพราะอื่นใด

แต่เป็นเพราะข้าต้องการฝึกบำเพ็ญตบะ!” หลังจากที่ซ่งเชวียบอกกับตัวเองในใจเช่นนี้เขาก็กัดฟันกรอด ลุกขึ้นยืนมาหยุดอยู่ข้างกายป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยสีหน้าดำคล้ำ

ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย เขายังนึกว่าซ่งเชวียจะไม่ยอมตามมาด้วย ดังนั้นจึงตบไหล่อีกฝ่ายป้าบๆ

“แบบนี้สิถึงจะถูก พวกเราเป็นคนครอบครัวเดียวกัน ข้ากับอาหญิงน้อยของเจ้ามีความสัมพันธ์เช่นไรเจ้าก็รู้ดี ต่อไปเจ้าต้องเชื่อฟังข้านะ อาเขยอย่างข้าเคยปฏิบัติกับเจ้าอย่างไม่ยุติธรรมเมื่อไหร่กัน?” ป๋ายเสี่ยวฉุนเอ่ยด้วยความปลงอนิจจัง รู้สึกว่าตนเป็นผู้อาวุโส ไม่ว่าอย่างไรก็ยังดูแลซ่งเชวียดีมากๆ รอกลับไปที่สำนักสยบธารแล้ว หากซ่งจวินหว่านรู้จะต้องซาบซึ้งใจมากแน่นอน

หลังจากหัวเราะเบาๆ อีกครั้ง ป๋ายเสี่ยวฉุนก็พาพวกซ่งเชวียสามคนกลับไปที่ชั้นสาม…

เพิ่งจะเข้ามาในห้องของเขา ด้วยตบะที่มั่นคงของซ่งเชวียก็ยังอดไม่ได้ที่จะสูดลมหายใจเฮือกใหญ่ มองเซ่อไปทันใด เขาเหม่อมองห้องที่ใหญ่มากถึงเพียงนี้ มองอาหารวิเศษพวกนั้น มองหุ่นเชิดที่คอยให้การรับใช้ มองหินสีเขียวที่ปูพื้น มองระเบียงด้านนอก หัวใจของเขาก็ถูกทิ่มแทงให้เจ็บปวด…

เขาสาบานกับตัวเองในใจอย่างบ้าคลั่งว่าเขาจะต้องตั้งใจฝึกตน จะต้องช่วงชิงเพื่อให้เข้าไปอยู่ในสิบอันดับแรกให้ได้ สิ่งตอบแทนของที่นี่ช่างแตกต่างกับที่ที่เขาอยู่มากมายยิ่งนัก

มากมายจนทำให้ดวงตาของซ่งเชวียเอ่อคลอไปด้วยน้ำตา

เสินซ่วนจื่อที่อยู่ข้างกันก็สูดลมหายใจอย่างต่อเนื่อง เขามองไปที่หน้าต่าง สามวันแล้ว…สามวันที่เขาจะได้มองเห็นแสงอาทิตย์ก็ต่อเมื่อออกมาอยู่บนดาดฟ้าเรือเท่านั้น เพียงแต่ว่าที่นั่นเสียงดังเกินไป อีกทั้งลมทะเลก็แรงมาก

ทว่าในห้องของป๋ายเสี่ยวฉุนไม่เพียงแต่มีหน้าต่าง ยังมีระเบียงยื่นออกไปอีกด้วย

ทุกสิ่งทุกอย่างนี้ก็ทำให้เสินซ่วนจื่อถูกกระตุ้นอย่างรุนแรงเช่นกัน

แม้แต่เฉินม่านเหยาเองก็ยังมองตาค้าง ก่อนหน้านี้ไม่มีข้อเปรียบเทียบนางก็ยังไม่รู้สึกรุนแรงเท่าใดนัก แต่พอมาเปรียบเทียบให้เห็นกันจะๆ แบบนี้ ต่อให้เป็นนางเองก็ยังรู้สึกว่าการเลือกปฏิบัติที่แตกต่างของสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราช่างมีมากจนทำให้คนปวดใจ

ป๋ายเสี่ยวฉุนกระแอมเบาๆ หนึ่งครั้ง มองเห็นสีหน้าของคนทั้งสาม ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้มีใจอยากโอ้อวดเท่าใดนัก แต่กลับกังวลว่าจะถูกทุกคนเข้าใจผิด ดังนั้นจึงรีบอธิบาย

“ต้องโทษข้าเอง หากครั้งก่อนข้าพยายามมากกว่านี้ก็ไม่แน่ว่าอาจจะติดสามอันดับแรกก็ได้ ได้ยินมาว่าสถานที่ที่สามคนนั้นอยู่ใหญ่กว่าที่นี่เสียอีก ห้องข้านี่ยังเรียกได้ว่าธรรมดามาก…” ป๋ายเสี่ยวฉุนอยากจะอธิบายจริงๆ แต่คำพูดของเขาพอดังเข้าหูของคนทั้งสามความหมายกลับเปลี่ยนไปเสียนี่

ป๋ายเสี่ยวฉุนเห็นว่าท่าไม่ดี ขณะที่กำลังจะอธิบายอีกครั้ง ทันใดนั้นบนผิวมหาสมุทรที่อยู่นอกระเบียงพลันมีเสียงหวีดร้องแหลมดังบาดแก้วหูลอยมา เสียงร้องนี้ดังมาก ต่อให้ในห้องจะมีค่ายกลเก็บเสียงก็ยังดังเล็ดรอดเข้ามาให้ได้ยินอย่างชัดเจน อีกทั้งยังเหมือนมีการโจมตีจากแรงมหาศาลที่ทำให้เรือรบตลอดทั้งลำโยกคลอนอย่างรุนแรง

ป๋ายเสี่ยวฉุนหน้าเปลี่ยนสี พวกซ่งเชวียสามคนก็หน้าถอดสีไม่ต่างกัน ทั้งสี่คนรีบมาอยู่ตรงระเบียงแล้วมองออกไปอย่างพร้อมเพรียงกัน แล้วก็เห็นทันทีว่าระหว่างน้ำทะเลและผืนฟ้าที่ห่างออกไปไกลมีแสงสีเงินเส้นหนึ่งที่พุ่งจากใต้มหาสมุทรทะยานเข้าหานภากาศ

แรงโจมตีก่อนหน้านี้ก็เป็นเพราะคลื่นลูกยักษ์ที่เกิดจากการแหวกผ่านน้ำทะเลของเส้นสีเงินนี้ ลำพังเพียงแค่ลูกคลื่นก็ทำให้เรือรบโยกคลอนอย่างรุนแรง สามารถจินตนาการได้เลยว่าแสงสีเงินนี้ต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน!

ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจเฮือกใหญ่ มองไม่ออกว่าด้านในแสงสีเงินนั้นมีอะไร แต่กลับสัมผัสได้ว่าในแสงสีเงินเส้นนั้นคล้ายจะมี…ปราณวิถีฟ้าดำรงอยู่!

ปราณนี้คนนอกสัมผัสไม่ได้ แต่ป๋ายเสี่ยวฉุนคือยาอายุวัฒนะวิถีฟ้า การรับสัมผัสจึงเฉียบคมมากที่สุด

“นั่นคืออะไร…” ป๋ายเสี่ยวฉุนอดไม่ไหวจึงเปิดรอยแยกกลางหว่างคิ้วเผยให้เห็นเนตรทงเทียน แล้วจึงมองไกลๆ ไปยังจุดนั้น แค่มองครั้งเดียวจิตวิญญาณของเขาก็เกิดเสียงดังอึงอล แถมหว่างคิ้วยังรู้สึกปวดร้าวจนต้องรีบปิดตาลง เวลาเพียงแค่ชั่ววินาที เนตรทงเทียนของเขาก็รับไม่ไหวแล้ว ตอนที่ปิดลงยังมีเลือดสดไหลซึมลงมาด้วย

แม้จะเป็นเช่นนี้ ทว่าจิตวิญญาณของป๋ายเสี่ยวฉุนกลับมีคลื่นลูกยักษ์ยิ่งกว่าเดิมถาโถมขึ้น การมองเมื่อครู่นี้แม้ว่าเขาจะไม่ได้เห็นทุกอย่างอย่างชัดเจน แต่ก็พอจะมองออกถึงเค้าโครงของมัน

ในแสงสีเงินนั้นมี…มังกรสีเงินอยู่ตัวหนึ่ง!

มังกรตัวนี้คล้ายจะได้รับบาดเจ็บและกำลังห้อทะยานจากไปไกล…อีกทั้งเลือดของมังกรตัวนี้ก็ยังเป็นสีเงินด้วย…

และวินาทีที่มังกรเงินตัวนี้เผยกาย ในชั้นแรกของเรือรบ ผู้เฒ่าสามตาขอบเขตคนฟ้าที่กำลังนั่งทำสมาธิอยู่พลันเบิกตาโพลง ดวงตาที่สามของเขาก็ลืมขึ้นพร้อมกัน ไม่นานหน้าเขาก็เปลี่ยนสี นัยน์ตาเผยความเหลือเชื่อทั้งมากด้วยความปิติยินดีอย่างบ้าคลั่ง

“ปลามังกรจันทร์สีเงิน!!”

“ข่งเลี่ย พวกเจ้าทั้งห้าคนจงออกไปจับสัตว์ตัวนั้นมาให้ข้าผู้อาวุโสเดี๋ยวนี้!”

ผู้เฒ่าสามตาคำรามหนึ่งครั้งร่างของเขาก็พลันหายวับไป เมื่อปรากฏตัวอีกครั้งก็มาอยู่กลางอากาศแล้ว

เวลาเดียวกันนั้นนักพรตก่อกำเนิดอีกห้าคนที่อยู่ชั้นเดียวกับเขาก็พากันหายตัวออกมาปรากฏกายอยู่รอบๆ ผู้เฒ่าสามตา ตอนที่มองเห็นแสงสีเงินที่ห่างไปไกลนั้น แต่ละคนก็หน้าเปลี่ยนสี นัยน์ตาเผยความกระหายใคร่

“ไป จับปลามังกรตัวนั้นได้ พวกเจ้าทั้งห้าคนจะได้รับรางวัล!” ดวงตาทั้งคู่ของผู้เฒ่าสามตาฉายประกายเร่าร้อนแล้วจึงพุ่งตัวออกไปทันที ก่อกำเนิดทั้งห้าคนนั้นรีบตามติด พริบตาเดียวกลุ่มคนหกคนก็จากไปไกล

เวลานี้หลายคนที่อยู่บนเรือรบต่างก็รู้สึกได้ถึงความไม่ชอบมาพากลจึงพากันเดินออกมายืนอยู่บนดาดฟ้าเรือ พอเห็นภาพนี้แต่ละคนก็แสดงสีหน้าแตกต่างกันออกไป

บนชั้นที่สอง จ้าวเทียนเจียวพุ่งตัวออกมาเป็นคนแรกแล้วเงยหน้ามองท้องฟ้า เฉินเยว่ซานก็เดินออกมาเช่นกัน มีเพียงจั่วเต้าเท่านั้นที่ไม่ปรากฏตัว

ไม่มีใครสังเกตเห็นว่าในห้องของกงซุนหว่านเอ๋อร์ นางในเวลานี้กำลังยืนอยู่ข้างกระจก มองไปยังเส้นสีเงินที่ห่างไปไกล มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มชวนขนลุก และบนนิ้วชี้ข้างขวาของนางก็มีหยดเลือดสีเงินติดอยู่หนึ่งหยด แล้วนางก็ยกนิ้วข้างนั้นขึ้นมาไว้ในปากก่อนจะเลียเบาๆ

“ทีนี้ข้าก็จะได้กินข้าวดีๆ เสียที” กงซุนหว่านเอ๋อร์หัวเราะเบาๆ ด้วยอารมณ์ที่เบิกบานอย่างมาก

กลุ่มของผู้เฒ่าสามตาห้อทะยานไปอย่างรวดเร็ว และความเร็วของเรือรบนี้ก็มีมากเช่นเดียวกัน ไม่นานต่างฝ่ายจึงต่างทิ้งระยะห่าง ซึ่งเวลาเพียงแค่สิบกว่าชั่วลมหายใจก็มองไม่เห็นเงาร่างของกันแล้ว

ตอนแรกเริ่มทุกคนที่อยู่บนเรือยังวิพากษ์วิจารณ์กันไปมา แต่ไม่นานก็ต้องเงียบเสียงลง เพราะยามนี้บนเรือรบ…ก่อกำเนิดและคนฟ้าล้วนจากไปหมดแล้ว ทุกคนมองมหาสมุทรกว้างใหญ่ไพศาลที่โอบล้อมอยู่รอบกาย ความรู้สึกไม่ปลอดภัยพลันลอยขึ้นมาในหัวใจของคนมากมาย

เวลาสามวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว ผู้เฒ่าสามตารวมไปถึงก่อกำเนิดทั้งห้าคนต่างก็ยังไม่กลับมา และก็ไม่รู้ทำไม ในใจของทุกคนที่อยู่บนเรือรบถึงถูกปกคลุมไปด้วยความรู้สึกกดดันบางอย่างที่บอกไม่ถูก ราวกับว่าบนเรือลำนี้มีปราณที่ลึกลับบางอย่างกำลังแผ่อบอวลไปทั่วเรือช้าๆ…

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version