Skip to content

A Will Eternal 446

บทที่ 446 คืนนี้กินข้าวได้หรือ

เมื่อเวลาผ่านพ้นไปแต่ละวัน พวกซ่งเชวียที่อยู่อาศัยในห้องของป๋ายเสี่ยวฉุนล้วนได้รับพื้นที่พักผ่อนที่เป็นส่วนตัว ดื่มด่ำไปกับการปฏิบัติที่มีเพียงคนในสิบอันดับแรกของกระดานเกียรติคุณอันตมรรคาฟ้าดาราเท่านั้นถึงจะได้รับ นอกเหนือจากการปลงอนิจจังแล้ว ในด้านการฝึกบำเพ็ญตบะแต่ละคนก็ยิ่งจริงจังตั้งใจกันมากขึ้น

ตบะของป๋ายเสี่ยวฉุนในตอนนี้อยู่ห่างจากรวมโอสถช่วงสมบูรณ์แบบอีกไม่ไกล เขารู้สึกว่าตัวเองร้ายกาจมากพอแล้ว ดังนั้นจึงใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่บนระเบียงแห่งนั้น อาบแดดพลางชื่มชมทัศนียภาพของมหาสมุทรใหญ่ไปด้วย

ห่างจากระเบียงนี้ไปไม่ไกลคือดาดฟ้าของเรือรบ สามารถมองเห็นเงาร่างของนักพรตบางส่วนที่อยู่ตรงนั้น ซึ่งหนึ่งในนั้นมีหญิงสาวคนหนึ่งนางก็คือกงซุนหว่านเอ๋อร์ นางยืนอยู่ตรงนั้นและดูเหมือนว่าจะกำลังมองทะเลกว้างอยู่เช่นกัน

ป๋ายเสี่ยวฉุนกวาดตามองทีเดียวก็รีบถอนสายตากลับ หยิบเอาเหล้าวิเศษที่ใส่น้ำแข็งออกมาดื่มอย่างสบายอารมณ์

“นี่ต่างหากถึงจะเรียกว่าชีวิต” ป๋ายเสี่ยวฉุนทอดถอนใจ ข้างหลังยังมีหุ่นเชิดสองตนที่กำลังบีบนวดหลังไหล่ให้แก่เขา

ในเวลาส่วนใหญ่มหาสมุทรสีทองจะมองไม่เห็นลูกคลื่นขนาดยักษ์เท่าใดนัก เมื่อมองออกไปจะเห็นพื้นผิวมหาสมุทรที่เรียบนิ่งราวกระจกสีทอง ให้ความรู้สึกงดงามอย่างบอกไม่ถูก ส่วนลมทะเลที่พัดโชยมานั้น ป๋ายเสี่ยวฉุนก็คุ้นชินกับมันนานแล้ว ต่อให้เป็นน้ำทะเลเองก็ตาม ด้วยวิชาของเขา ถึงแม้จะสาดกระเซ็นลงบนร่างก็ยังไม่มีอันตรายใดๆ ในช่วงระยะเวลาสั้นๆ

นับประสาอะไรกับที่เรือรบแห่งนี้มีค่ายกลดำรงอยู่จึงทำให้ปราณวิญญาณที่พลุ่งพล่านซึ่งทะลักทลายเข้ามาในเรือถูกทำให้สะอาดบริสุทธิ์ก่อนหนึ่งรอบจนเปลี่ยนมาเป็นอ่อนโยนกว่าเดิมไม่น้อย

ท่ามกลางการทอดถอนใจด้วยความปลดปลงเช่นนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนหันกลับไปมองห้องโถงใหญ่ที่อยู่ด้านหลัง มองเห็นเสินซ่วนจื่อและซ่งเชวีย รวมไปถึงเฉินม่านเหยาที่ต่างก็กำลังเข้าฌานด้วยสีหน้าเอาจริงเอาจัง เขารู้สึกเบื่อหน่ายเล็กน้อย อยากจะหาใครสักคนมาพูดคุยด้วย

“คนพวกนี้นี่จริงๆ เลย ช่วงเวลาที่เสวยสุขได้ก็มีแค่ครึ่งปีนี้แล้ว พอจอดเทียบท่าเมื่อไหร่ เข้าไปอยู่ในพื้นที่สำนักสาขาของสำนักอันตมรรคาฟ้าดารา เข้าไปอยู่ในกำแพงเมือง…ก็ไม่มีช่วงเวลาที่จะได้สบายอย่างในตอนนี้อีกแล้ว”

“ถ้าสวีเป่าไฉอยู่ด้วยก็ดีน่ะสิ” ป๋ายเสี่ยวฉุนถอนหายใจพรืด หลังจากที่ดื่มเหล้าวิเศษไปอีกหนึ่งอึกก็รู้สึกหมดอารมณ์ กำลังใคร่ครวญว่าควรจะออกไปเดินเล่นข้างนอกสักหน่อยดีไหม ทว่าเวลานี้เอง หางตาของเขาที่เหลือบไปเห็นมหาสมุทรก็พลันทำให้ดวงตาของเขาแข็งค้าง

เขามองเห็นว่าบนพื้นผิวมหาสมุทรที่ห่างไปไม่ไกลมีปลาสีทองกลุ่มหนึ่งกระโดดผลุงออกมาจากในน้ำเป็นเส้นโค้ง เหมือนรุ้งยาวสีทองเส้นหนึ่งที่วาดขึ้นบนผิวน้ำแล้วจมลงไปในทะเลอีกครั้ง

ขณะเดียวกันกับที่ทำให้น้ำทะเลสาดกระเซ็นเป็นวงกว้าง กลุ่มปลาสีทองเหล่านั้นก็ปรากฏอยู่ในดวงตาของป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างชัดเจน ปลาเหล่านั้นแต่ละตัวมีขนาดเท่าลำแขน เกล็ดสีทองบนร่างทอประกายแสงแวววาว ที่น่าตะลึงมากที่สุดก็คือมันมีถึงสองหัว อีกทั้งไม่ได้อยู่เคียงกัน และไม่มีหาง เพราะว่าหัวที่สองนั้นกลับมาอยู่ตรงตำแหน่งหางของมันแทน

“ปลากาลทอง!!” ป๋ายเสี่ยวฉุนลุกพรวดขึ้นยืน มองปราดเดียวก็จำได้ว่าปลาประหลาดนี้คือปลาวิเศษชนิดหนึ่งที่หาได้ยากยิ่งซึ่งตนเคยอ่านเจอจากในบันทึกบทสัตว์วิเศษ!

ป๋ายเสี่ยวฉุนเบิกตากว้าง ปลาวิเศษชนิดนี้คือวัตถุดิบวิเศษไม่กี่ชนิดที่ไม่จำเป็นต้องนำมาปรุงเป็นยาก็สามารถนำมากินได้โดยตรง หากกินเป็นประจำจะทำให้เส้นชีพจรในร่างกายหนาใหญ่มากขึ้น ทั้งยังทำให้ขอบเขตของพลังจิตแผ่ออกไปกว้างได้อีกระยะหนึ่ง มีประโยชน์สูงสุดต่อนักพรต อีกทั้งหากปลากาลทองนี้มีชีวิตเกินหนึ่งร้อยปียังช่วยสำหรับการก่อกำเนิดได้ด้วย

ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังตะลึงระคนดีใจ ทันใดนั้นในกลุ่มปลากาลทองที่กระโดดผลุงออกมาเหนือผิวน้ำจนน้ำทะเลกระเพื่อมซัดสาดก็มีปลาที่ขนาดตัวใหญ่กว่าปลาตัวอื่นๆ มากเกินสิบเท่ากระโดดพรวดออกมา

ปลาตัวนี้ก็มีสองหัวเช่นกัน เป็นสีทองตลอดทั้งร่าง แต่กลับแผ่กลิ่นอายเก่าแก่คล้ายดำรงอยู่มานานมากแล้ว เวลานี้พอกระโดดออกมา เกล็ดสีทองตลอดร่างที่สะท้อนกับแสงอาทิตย์ก็พร่างพราวจับตาถึงขีดสุด

“ปลากาลทองร้อยปี!!” ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจเฮือกใหญ่ มือขวายกขึ้นชี้ไปยังปลากาลทองตัวนั้นทันที พริบตาเดียวไอความเย็นก็ก่อตัวขึ้นเป็นเส้นไหมที่ห้อดิ่งเข้าหาปลาใหญ่แล้วรัดพันร่างของมันไว้ทันใด แต่กลับมีพละกำลังมหาศาลส่งกลับมาทำให้ร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนยืนได้ไม่มั่นคงจนเกือบพลัดตกไปจากระเบียง

ป๋ายเสี่ยวฉุนหน้าเปลี่ยนสี รีบตะโกนเสียงดังเรียกคนด้านหลัง

“เชวียเอ๋อร์ หึหึจื่อ เสี่ยวม่านเหยา พวกเจ้ารีบมานี่เร็วเข้า ตรงนี้มีของดี” เสียงของป๋ายเสี่ยวฉุนดังมากจึงส่งตรงเข้าไปในหูของพวกซ่งเชวียทันที

พวกเขาสามคนกำลังนั่งทำสมาธิ เวลานี้ล้วนลืมตากันหมด

ตอนที่มองมายังป๋ายเสี่ยวฉุน ซ่งเชวียมีท่าทีหงุดหงิดเล็กน้อย เสินซ่วนจื่อเองก็หน่ายใจ ส่วนเฉินม่านเหยายังคงยิ้มน้อยๆ เป็นปกติ ทว่าไม่นานพวกเขาก็มองเห็นปลากาลทองตัวใหญ่ยักษ์ที่ลอยอยู่เหนือน้ำทะเลนอกระเบียงตัวนั้น

หลังจากมองเห็นแล้วคนทั้งสามก็ตาค้างทันใด ซ่งเชวียพุ่งตัวออกไปเป็นคนแรก เฉินม่านเหยาและเสินซ่วนจื่อก็ตามหลังไปติดๆ

“รีบมาช่วยกันเร็ว พวกเรามาช่วยกันจับปลาตัวนี้ คืนนี้เราจะกินมันด้วยกัน!” ป๋ายเสี่ยวฉุนพูดด้วยความฮึกเหิม โคจรตบะเพิ่มขึ้น ยังดีที่ตอนอยู่สำนักธาราเทพเขาฝึกวิชาการควบคุม อีกทั้งตลอดเส้นทางแห่งการฝึกตนของเขาก็ล้วนเกี่ยวข้องกับวิชาการควบคุม เวลานี้เมื่อลงมือเต็มกำลัง ต่อให้ปลาใหญ่ตัวนั้นใกล้จะสัมผัสเข้ากับผิวน้ำทะเลเต็มทีแต่ก็ยังคงถูกเส้นใยแรงควบคุมของป๋ายเสี่ยวฉุนรัดพันตัวไว้ได้อยู่ดี

ทว่าการดิ้นรนของปลาใหญ่ตัวนี้รุนแรงมากจนทำให้เกิดลูกคลื่นถาโถมพร้อมเสียงดังอึกทึก ยังดีที่พวกซ่งเชวียตามมาทันเวลา พวกเขาต่างคนต่างร่ายวิชาของตัวเองออกมาอย่างไม่รีรอ มือขวาของซ่งเชวียทำมุทราแล้วชี้ไป ทันใดนั้นเงาของเขาที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าก็พลันแผ่ขยายออกไปผสานรวมกับผิวน้ำ ถึงแม้พลังจะถูกลดทอนไปไม่น้อย แต่ก็ยังคงตรงดิ่งไปหาปลาใหญ่ตัวนั้นดุจเดิม

ส่วนเสินซ่วนจื่อก็ร่ายเวทเรียกใช้อาวุธวิเศษให้ตรงเข้าโจมตีปลาใหญ่กลางทะเล

เฉินม่านเหยาแปลกประหลาดที่สุด ระหว่างที่ทำมุทรานางก็พลันอ้าปากแล้วพ่นควันสีชมพูออกมากลุ่มหนึ่ง ควันนี้ก่อตัวเข้าหากันกลางอากาศแล้วกลายมาเป็นอินทรีหมอกตัวหนึ่งที่แผดเสียงคำรามยาวแล้วบินกางกรงเล็บแหลมคมเข้าใส่ปลาใหญ่ตัวนั้น

ป๋ายเสี่ยวฉุนตื่นเต้น ฮึกเหิมอย่างหาที่เปรียบมิได้ ก่อนหน้านี้เขายังรู้สึกเบื่อหน่าย ทว่าตอนนี้กลับมีเรื่องสนุกให้ทำจึงตะโกนโหวกเหวกเสียงดังทันที

“ทุกคนออกแรงหน่อย ปลาใหญ่ตัวนี้หนีไม่รอดแน่!” ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนพูดขึ้นด้วยความคึกคัก พวกซ่งเชวียเองก็ใจเต้นรัวแรงอย่างห้ามไม่ได้ เวลานี้พวกเขาเองต่างก็สัมผัสได้ถึงความไม่ธรรมดาของปลาตัวนี้จึงช่วยกันออกแรงเต็มที่

ปลาใหญ่กลางทะเลดิ้นรนไม่หยุดพัก ทั้งยังส่งเสียงคำรามฮึ่มฮั่มออกมาด้วย ทำให้นักพรตไม่น้อยที่อยู่บนดาดฟ้าเรือสังเกตเห็น กงซุนหว่านเอ๋อร์อยู่ห่างจากระเบียงห้องของป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ไกล เวลานี้เมื่อก้มหน้าลงมองจึงเห็นปลาใหญ่กลางทะเลตัวนั้น และก็เห็นการกระทำของพวกป๋ายเสี่ยวฉุนด้วย

กงซุนหว่านเอ๋อร์หัวเราะเบาๆ หนึ่งครั้งคล้ายรู้สึกสนุกจึงยกมือขวาขึ้นชี้ไปยังปลาใหญ่เหนือผิวน้ำตัวนั้น แล้วแผ่ตบะออกช่วยพวกป๋ายเสี่ยวฉุนเอาชนะปลากาลทองตัวนี้

ป๋ายเสี่ยวฉุนสัมผัสได้ถึงความช่วยเหลือจากกงซุนหว่านเอ๋อร์ทันที และก็มองออกว่าอีกฝ่ายไม่ได้มีเจตนาจะแย่งชิง แค่อยากช่วยเหลือเท่านั้น ในใจเขาซาบซึ้งจึงตะโกนเสียงดังบอกไป

“หว่านเอ๋อร์ รอจับปลาตัวนี้ได้แล้ว คืนนี้เจ้ามากินข้าวด้วยกันสิ”

กงซุนหว่านเอ๋อร์ผินหน้ามามองป๋ายเสี่ยวฉุนที่อยู่บนระเบียง ใบหน้างดงามของนางแย้มยิ้มแล้วเอ่ยถามหนึ่งประโยค

“กินข้าว? คืนนี้กินได้หรือ?”

“ได้สิ” ป๋ายเสี่ยวฉุนตอบรับกลับไปอย่างไม่คิดอะไรมาก ไม่นานเมื่อทุกคนร่วมแรงร่วมใจกัน การดิ้นรนของปลาใหญ่ตัวนั้นจึงลดน้อยลง และวินาทีที่ปลาใหญ่ตัวนี้อ่อนกำลัง ทุกคนก็พลันออกแรง เสียงตูมดังหนึ่งครั้ง ปลาใหญ่ที่ยาวพอๆ กับตัวคนก็ถูกพวกป๋ายเสี่ยวฉุนกระชากให้ลอยจากกลางทะเลตรงมายังเรือรบ

ป๋ายเสี่ยวฉุนตื่นเต้น หัวเราะเสียงดังหมายจะเข้าไปรับ ซ่งเชวีย เสินซ่วนจื่อและเฉินม่านเหยาต่างก็ยิ้มแย้มดีใจ แม้ว่าการจับปลาใหญ่ตัวนี้จะไม่มีอันตรายอะไร ทว่าเมื่ออยู่บนเรือรบเหนือมหาสมุทรทงเทียนก็เปลืองแรงไม่น้อยเหมือนกัน

ทว่าวินาทีที่ปลาใหญ่ตัวนี้ลอยมายังเรือรบ ทันใดนั้นบนดาดฟ้าเรือก็มีเงาร่างหนึ่งพุ่งพรวดออกมาอย่างรวดเร็วราวสายฟ้าแลบ ทั้งยังระเบิดตบะรวมโอสถขั้นสมบูรณ์แบบออกมาดังครั่นครืน มือขวาของเขายกขึ้นแล้วชี้ไปยังปลาใหญ่ที่กำลังลอยมาใกล้ทันที

วินาทีนั้นเอง มือมายาขนาดใหญ่ข้างหนึ่งก็ปรากฏพรวดขึ้นกลางอากาศแล้วตบโครมลงไปบนร่างของปลาใหญ่ ทำให้ปลาใหญ่ที่เดิมทีก็เหน็ดเหนื่อยไร้เรี่ยวแรงอยู่แล้วตัวสั่นสะท้านไปทั้งร่าง ส่งเสียงร้องคำรามรวดร้าวหนึ่งครั้งแล้วตายคาที่ทันที!

ชั่วขณะที่ปลาถูกตบจนตาย มือใหญ่ที่คว้าปลาตัวนั้นไว้ได้ก็ม้วนกลับไปหาชายหนุ่มคนหนึ่ง ชายหนุ่มผู้นั้นสะบัดปลายแขนเสื้อหนึ่งครั้งแล้วเก็บมันเข้าไปไว้ในถุงเก็บของทันที

“ทำอะไรของเจ้า!” ป๋ายเสี่ยวฉุนคำรามเดือดดาล คิดจะห้ามปรามแต่กลับไม่ทันกาลเสียแล้ว ได้แค่บินจากระเบียงตรงดิ่งมายังดาดฟ้าเรือด้วยความขุ่นเคือง บนร่างของพวกซ่งเชวียสามคนก็ตลบอบอวลไปด้วยความแค้นเคืองแล้วพากันพุ่งตัวออกมา แต่เมื่อมองเห็นหน้าตาของชายหนุ่มผู้นั้นชัดเจนแล้ว ซ่งเชวียและเสินส่วนจื่อล้วนหน้าเปลี่ยนสี จำอีกฝ่ายได้ทันที

“ปลาตัวนี้พวกเราเป็นคนเห็นก่อนและก็ทำให้มันอ่อนกำลังจนใกล้จะจับไว้ได้แล้ว ที่เจ้าทำมันคือการแย่งชิงอย่างหน้าด้านชัดๆ !” ป๋ายเสี่ยวฉุนคำรามเข้ามาใกล้ หลังจากมาถึงบนดาดฟ้าเรือก็จ้องมองชายหนุ่มคนนั้นที่แย่งเอาปลาตัวใหญ่ของเขาไปด้วยสายตาขุ่นแค้น ยามนี้เขาก็จำชายหนุ่มคนนี้ได้เหมือนกัน อีกฝ่ายคือบุคคลที่เคยติดหนึ่งในสามของกระดานเกียรติคุณอันตมรรคาฟ้าดารา ซึ่งตอนนี้เลื่อนมาอยู่อันดับที่ห้า…จี้ฟาง!

“น่าขันสิ้นดี ตอนนี้มันอยู่ในมือของข้า มันก็ต้องเป็นของข้า!”

จี้ฟางสีหน้าเย่อหยิ่ง นัยน์ตาฉายแววดูแคลน มองเมินพวกซ่งเชวียที่ตามมาอยู่ด้านหลังของป๋ายเสี่ยวฉุน ทำเพียงแค่เหลือบตามองกงซุนหว่านเอ๋อร์ที่ยืนอยู่ข้างป๋ายเสี่ยวฉุนครั้งเดียวเท่านั้น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version