Skip to content

A Will Eternal 487

บทที่ 487 ยารวมวิญญาณขั้นสมบูรณ์แบบ

เห็นความวุ่นวายและความบ้าคลั่งทั่วทั้งสนามรบ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ไอแห้งๆ หนึ่งครั้ง เชิดหน้าขึ้น ก่อนจะสะบัดปลายแขนเสื้อเบาๆ

“ข้าป๋ายเสี่ยวฉุนแค่ดีดนิ้ว ชนพื้นเมืองและสัตว์ร้ายมีหรือจะกล้าไม่สิ้นราบพนาสูร!” ป๋ายเสี่ยวฉุนพูดขึ้นด้วยความลำพองใจ เดินอาดๆ ลงจากกำแพงเมืองด้วยสีหน้าของยอดฝีมือผู้เงียบเหงา ตอนที่นักพรตทุกคนมองมายังป๋ายเสี่ยวฉุน จิตใจของพวกเขาต่างก็สั่นไหว นัยน์ตาเผยความซับซ้อนมากมาย

คล้ายเคารพ คล้ายกริ่งเกรง คล้ายหวาดกลัว…

เมื่อป๋ายเสี่ยวฉุนจากไปไกล อาวุธวิเศษบนสนามรบก็พลันถูกเปิดใช้งาน เสียงกัมปนาทดังตามมาติดๆ มีหรือที่กองทัพใหญ่ทั้งห้าจะปล่อยโอกาสอันดีงามครั้งนี้ไป พริบตาเดียวลำแสงมากมายต่างก็พุ่งทะยานออกไปทำลายทุกอย่างให้พินาศวอดวาย ส่วนผลของการต่อสู้จะเป็นเช่นไร ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่จำเป็นต้องสนใจอีกแล้ว ที่เขาหลอมยากระสันซ่านออกมาก็เพื่อทำให้คนของแดนทุรกันดารรู้ถึงค่าตอบแทนที่ต้องจ่ายเมื่อกล้ามาแหยมกับเขาป๋ายเสี่ยวฉุน

อีกทั้งยากระสันซ่านนี้ก็ใช่ว่าจะไม่มีช่องโหว่เสียเลย สำหรับสัตว์แล้วอาจจะได้ผลดีหน่อย ทว่าสำหรับยักษ์ชนพื้นเมืองแล้ว หากคิดจะหลบเลี่ยงก็มีวิธีมากมาย แต่เนื่องจากการโจมตีครั้งนี้เกิดขึ้นกะทันหันถึงได้ทำให้เกิดผลลัพธ์น่าตะลึงขนาดนี้ ข้อนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็รู้ดีอยู่แก่ใจ

แต่เขาไม่คิดจะใช้ยากระสันซ่านมาแลกเปลี่ยนเอาคุณความชอบในการรบมาครอง เขาแค่ใช้วิธีการนี้ขู่ให้แดนทุรกันดารหวาดเกรง ไม่กล้าใช้ให้สัตว์พุงโตพวกนั้นมาเขมือบกลืนเตาระเบิดของเขาอีก

“หึ จะใช้แต่วิธีเตาระเบิดก็ไม่ใช่แผนการรับมือในระยะยาว ถึงเวลาที่ต้องเปลี่ยนบ้างแล้ว ขอแค่ยารวมวิญญาณถือกำเนิดขึ้น…ทุกอย่างก็สามารถแก้ไขได้” ป๋ายเสี่ยวฉุนจากไปอย่างสบายใจ พวกจ้าวหลงติดตามมาด้านหลัง ตอนนี้ใจของพวกเขายังสั่นไม่หาย มองแผ่นหลังของป๋ายเสี่ยวฉุน พวกเขาแต่ละคนก็ประหวั่นพรั่นพรึงไปทั้งใจ

พอนึกถึงความน่ากลัวของยากระสันซ่าน จ้าวหลงก็ดี หลิวลี่ก็ช่าง พวกเขาต่างก็รู้สึกว่าป๋ายเสี่ยวฉุนที่อยู่เบื้องหน้าผู้นี้น่ากลัวถึงขีดสุด คนแบบนี้…เกิดมาก็เหมาะให้มาปรากฏตัวบนสนามรบอยู่แล้ว…

หลายวันหลังจากนั้น เมื่อข่าวแพร่ออกไป นักพรตแทบทุกคนในกำแพงเมืองต่างก็ได้ยินเรื่องที่ป๋ายเสี่ยวฉุนลงมือ ภาพเหตุการณ์เหล่านั้นถูกคนมากมายบรรยายอย่างละเอียด พอขยายกันไปปากต่อปาก นามของเขาก็ระบือไปทั่วกำแพงเมืองอย่างสมบูรณ์แบบ

โดยเฉพาะความน่ากลัวเวลาที่เขาหลอมยา รวมไปถึงความน่ากลัวของยาที่เขาหลอม ทำให้พวกปรมาจารย์ที่พักอาศัยอยู่รอบด้านที่พักของป๋ายเสี่ยวฉุนในหอกงเจี่ยต่างก็ใจสั่นรัว พากันหนีออกไปอยู่ที่อื่นหมด…

หอกงเจี่ยเกือบครึ่งแทบจะว่างเปล่า…ป๋ายเสี่ยวฉุนเห็นว่าเป็นเช่นนี้ก็ถือโอกาสสะบัดปลายแขนเสื้อเป็นวงกว้าง รวมเอาพื้นที่เกือบครึ่งหอกงเจี่ยนี้ให้เป็นหนึ่งเดียวกัน สร้างฐานที่มั่นของตัวเองขึ้นมา

เวลาเดียวกันนั้น เนื่องด้วยเรื่องครั้งนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ถือว่าได้สร้างความดีความชอบครั้งใหญ่ หลังจากได้รับคุณความชอบในการรบที่ไม่ธรรมดาก็ได้เลื่อนขั้นจากผู้บังคับกองสิบมาเป็นผู้บังคับกองร้อย

เมื่อเป็นเช่นนี้ ถึงแม้ว่าลานที่พักของเขาจะกว้างขึ้นหลายเท่าตัว ทว่าพอนักพรตที่อยู่ใต้บังคับบัญชาย้ายมาอยู่รวมกัน ที่ว่างที่เหลืออยู่จึงมีไม่มากนัก

นามของป๋ายเสี่ยวฉุนเลื่องลือไปทั่วกำแพงเมืองเพราะศึกครั้งนี้ ขณะเดียวกันนอกกำแพงเมืองชื่อของเขาก็ยิ่งแผ่ขยายออกไป อีกทั้งเมื่อเวลาผ่านไปเรื่อยๆ การแพร่กระจายนี้ก็ยิ่งน่าตะลึงมากขึ้นไปใหญ่

ชนเผ่าหลายร้อยแห่งที่อยู่ในพื้นที่ของแดนทุรกันดารแม่น้ำสายตะวันออกต่างก็ได้ยินชื่อของป๋ายเสี่ยวฉุน และได้ยินมาว่าเมื่ออยู่ภายใต้ความน่ากลัวของยากระสันซ่าน แดนทุรกันดารก็ต้องพ่ายแพ้ยับเยิน อีกทั้งเนื่องด้วยเหตุผลมากมาย ชื่อของเขาที่อยู่บนประกาศรายชื่อต้องฆ่าซึ่งแดนทุรกันดารมีต่อนักพรตก็ไต่ทะยานขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากที่อยู่ในร้อยอันดับ เปลี่ยนมาอยู่ในอันดับที่ยี่สิบเจ็ด!

เหนือรายชื่อของเขา นักพรตที่มีตบะอ่อนด้อยที่สุดก็ยังเป็นก่อกำเนิด แถมล่างอันดับที่ยี่สิบลงไปก็ยังมีหลายคนที่เป็นก่อกำเนิด สามารถพูดได้ว่าในห้าสิบอันดับแรกนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนคือคนเดียวที่เป็น…รวมโอสถ!

ป๋ายเสี่ยวฉุนที่มีชื่อเสียงเลื่องลือ ทั้งยังมีคุณความชอบในการรบที่ไม่ธรรมดา แถมยังได้เลื่อนยศเป็นผู้บังคับกองร้อยจึงฮึกเหิมคึกคักเป็นกำลัง ไม่ว่าเดินไปที่ไหนในกำแพงเมืองแห่งนี้ก็ต้องมีคนเข้ามาคารวะ

ความรู้สึกเช่นนั้นทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนเปี่ยมสุข ยิ่งรู้สึกว่าการที่ตัวเองอยู่ต่อในกำแพงเมืองถือเป็นการเลือกที่ไม่เลวจริงๆ นอกเหนือจากความดีใจ บางครั้งเขายังหยิบเอากระจกทองแดงออกมาถามคำถามมากมายที่ทำให้เย่จั้งตัวปลอมซึ่งอยู่ข้างในใกล้จะเป็นบ้าเต็มที ทุกครั้งเย่จั้งตัวปลอมจะต้องเฟ้นหาคำพูดสวยหรูเท่าที่คิดได้มายกยอปอปั้นป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยท่าทางเหมือนคนใกล้เสียสติ ทำเอาป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกสงสารถึงได้ยอมรามือ

เวลาเดียวกันนั้นป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็ไม่ได้ละเลยการฝึกบำเพ็ญตบะของตัวเอง ทั้งยังใช้คุณความชอบในการรบของตัวเองไปแลกเอายาจำนวนไม่น้อยมา ด้านหนึ่งก็ทดลองหลอมยารวมวิญญาณ ส่วนอีกด้านหนึ่งก็เริ่มฝึกคาถาหันเหมินเลี้ยงความคิด

อันที่จริงความเร็วในการฝึกบำเพ็ญตบะของเขาก็ไม่ถือว่าช้า

แต่พอทุกครั้งที่ป๋ายเสี่ยวฉุนนึกได้ว่าตัวเองแค่แลกเอายาก่อกำเนิดมาหนึ่งเม็ดก็สามารถไต่ระดับไปสู่ยาอายุวัฒนะขั้นสมบูรณ์แบบได้โดยตรง เขาก็รู้สึกว่าตัวเองฝึกบำเพ็ญตบะได้ช้าเกินไป

ทว่าถึงแม้ตบะที่เพิ่มขึ้นจะช้าไปนิด แต่วิชาอมตะมิวางวายของเขากลับทะยานสูงสุด เพราะอย่างไรซะนับตั้งแต่ที่ป๋ายเสี่ยวฉุนสร้างชื่อในสนามรบ

วิถีโอสถของเขาก็ทำให้ป๋ายหลินสะท้านสะเทือนจนยินดีตอบสนองความต้องการทุกอย่างที่ป๋ายเสี่ยวฉุนเสนอมา

ต่อให้เขาจะมองออกเช่นกันว่าในบรรดาพืชหญ้าที่ป๋ายเสี่ยวฉุนขอมาสอดแทรกไปด้วยความต้องการส่วนตัว ทว่าเขาก็ไม่ถือสาแม้แต่นิด ในสายตาของเขา ราคาค่าตัวของป๋ายเสี่ยวฉุนต่างหากถึงจะแพงมากที่สุด

เมื่อเป็นเช่นนี้ พอมีพืชหญ้าให้รวบรวมพลังชีวิตที่มากพอ ความเร็วในการฝึกวิชาอมตะมิวางวายของป๋ายเสี่ยวฉุนย่อมเพิ่มพรวดพราด เอ็นคงกระพันที่แผ่ขยายอย่างต่อเนื่องก็ได้แผ่มาถึงมือซ้ายของเขาแล้ว จนกระทั่งกลางดึกของวันนี้ เมื่อมือซ้ายของป๋ายเสี่ยวฉุนเริ่มปล่อยแสงพริบราว ท่ามกลางแสงนั้น มือซ้ายของเขาก็คล้ายจะเปลี่ยนมาเป็นโปร่งใส สามารถมองเห็นได้ว่าเส้นชีพจรที่อยู่ในเลือดเนื้อมีแสงประหลาดไหลผ่าน ซึ่งมันกำลังปกคลุมไปทั่วทั้งแขนเขา

ป๋ายเสี่ยวฉุนลืมตาขึ้นมองมือซ้ายของตัวเอง ผ่านไปครู่หนึ่งถึงได้กำหมัดต่อยลงไปอย่างแรง ความว่างเปล่ามีเสียงลั่นดังเปรี๊ยะๆๆ ความเร็วในการกำมือเป็นหมัดนั้นมีมากจนยากจะมองเห็นได้ชัดด้วยตาเปล่า

ความรู้สึกถึงพลังงานที่แข็งแกร่งระลอกหนึ่งกำลังไล่จากมือซ้ายของเขาทะลักทลายไปทั่วร่าง ป๋ายเสี่ยวฉุนสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าในมือซ้ายของตัวเองมีพลังกล้ามเนื้อที่น่าหวาดกลัวแฝงเร้นอยู่

“สำเร็จแล้ว!”

“เอ็นคงกระพันของข้าฝึกสำเร็จถึงขาทั้งสองข้างและแขนซ้ายแล้ว ตอนนี้เหลือเพียงแขนขวา เรือนกายและศีรษะ!”

“หลังจากที่สามตำแหน่งนั้นต่างก็รวมตัวเป็นเอ็นคงกระพันได้สำเร็จ ขั้นที่สามของวิชามิวางวายนี้ก็ถือว่าฝึกสำเร็จอย่างสมบูรณ์แบบแล้ว ถึงเวลานั้นก็คือช่วงเวลาที่ข้าคิดหาวิธีการฝ่าทะลุจากยาอายุวัฒนะเข้าสู่ก่อกำเนิด!”

“และหากถึงขั้นก่อกำเนิดเมื่อใด ข้าก็จะสามารถฝึก…กระดูกคงกระพัน!” พอนึกถึงกระดูกคงกระพัน ป๋ายเสี่ยวฉุนก็เม้มปากตัวเองอย่างแรง นัยน์ตาฉายแสงสดใสมีชีวิตชีวา หน้าบานเป็นกระด้ง

ตามคำอธิบายในบทมิวางวาย หากฝึกได้ถึงระดับของกระดูกคงกระพัน ถ้าเช่นนั้น…ก็เท่ากับสัมผัสได้ถึงขอบเขตที่กล้ามเนื้อจะไม่ดับสลาย

“หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เลือด!” ป๋ายเสี่ยวฉุนพึมพำเบาๆ

“หนังคงกระพันมีไว้สำหรับป้องกัน เนื้อคงกระพันคือกำลัง เอ็นคงกระพันคือความเร็ว…ส่วนกระดูกคงกระพันก็คือการนำสามอย่างแรกมาผสานรวมให้ก่อกลายมาเป็น…พลังแห่งการระเบิดทำลาย!” ป๋ายเสี่ยวฉุนคิดมาถึงตรงนี้ก็ยิ่งเกิดความรอคอยต่อกระดูกคงกระพันมากขึ้น

“อย่าว่าแต่กระดูกคงกระพันเลย ต่อให้เป็นตอนนี้ ด้วยพลังเลือดเนื้อครึ่งร่างข้าที่มีเอ็นคงกระพันอยู่ บวกกับตบะยาอายุวัฒนะของข้า…ไม่รู้ว่าในคนระดับเดียวกันข้าจะสามารถอยู่ในตำแหน่งไหนได้แล้ว” ป๋ายเสี่ยวฉุนเชิดหน้าขึ้นอย่างภาคภูมิใจในตัวเองเล็กน้อย ตอนแรกที่เขาต่อสู้กับรูปปั้นของกงซุนหว่านเอ๋อร์ ถึงแม้จะเป็นยาอายุวัฒนะวิถีฟ้า ทว่าอย่างไรซะก็อยู่แค่รวมโอสถช่วงกลางเท่านั้น

เวลานั้นไม่ว่าจะเป็นยาอายุวัฒนะวิถีฟ้าของเขาก็ดี หรือวิชามิวางวายก็ช่าง ต่างก็ไม่สามารถสำแดงพลังในการต่อสู้อย่างที่ควรมีออกมาได้ เพราะต่อให้จะมีน้ำไหลที่กว้างใหญ่ไพศาลแค่ไหน ทว่าหากปากขวดไม่กว้างพอ ต่อให้พยายามสุดความสามารถก็ยังเทออกไปไม่ได้มากนัก

แต่ตอนนี้กลับต่างออกไป เมื่อตบะของเขาขยับเข้าไปใกล้ขั้นสมบูรณ์แบบมากขึ้นทุกที เมื่อครึ่งร่างมีเอ็นคงกระพัน ป๋ายเสี่ยวฉุนก็มั่นใจอย่างยิ่งว่าหากให้ต่อสู้กับรูปปั้นของกงซุนหว่านเอ๋อร์อีกครั้ง ถ้าตนคิดจะเอาชนะก็เป็นเรื่องที่ง่ายดาย!

“ศิษย์พี่จ้าวเทียนเจียวอยู่ขั้นรวมโอสถก็สังหารก่อกำเนิดได้…ข้าเองก็น่าจะทำได้เหมือนกัน” ป๋ายเสี่ยวฉุนรับสัมผัสกับตบะของตัวเองเล็กน้อย เขารู้สึกว่าตัวเองในตอนนี้หากลงมือเต็มกำลัง ระดับความน่ากลัวก็ไม่น่าจะอ่อนด้อยกว่าจ้าวเทียนเจียวมากนัก นั่นจึงยิ่งทำให้เขาภาคภูมิใจเข้าไปอีก

“นับแต่วันนี้เป็นต้นไป ต่ำกว่ารวมโอสถช่วงท้ายลงไป ใครจะเป็นคู่ต่อสู้ของข้าได้!” ป๋ายเสี่ยวฉุนสะบัดปลายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง แล้วหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง

เรื่องดีๆ เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง วันที่สามหลังจากที่เอ็นคงกระพันในมือซ้ายของป๋ายเสี่ยวฉุนแผ่ขยายออกไป การหลอมยาที่ใช้เวลาเกินครึ่งปีนี้ เมื่อผ่านการทดลองครั้งแล้วครั้งเล่า ยามสนธยาของวันนี้ ในที่สุดก็มียารวมวิญญาณเตาหนึ่งที่พอหลอมเสร็จก็ปรากฎออกมาเป็น…ยาที่ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนพึงพอใจอย่างถึงที่สุด!

ยารวมวิญญาณนี้ไม่ใช่สีดำอีกต่อไป แต่เป็นสีทอง!

มันแผ่ปราณที่มองไม่เห็นออกมา บิดเบือนความว่างเปล่ารอบด้าน เมื่อถือไว้ในมือก็สัมผัสได้ว่าในยาเม็ดนี้ราวกับมีหลุมดำหลุมหนึ่งแฝงเร้นอยู่

หากมองนานเกินไปยังมีความรู้สึกเหมือนวิญญาณจะถูกดูดออกจากร่าง

วินาทีที่ยารวมวิญญาณสีทองหลอมออกมาได้สำเร็จ ตัวยาก็ไต่ไปถึงระดับของวัตถุชั้นสูงแล้ว แม้ว่าจะมีสิ่งเจือปนอยู่บ้าง ทว่าสิ่งเจือปนนี้กลับไม่ส่งผลกระทบมากนัก

และนี่ก็คือยารวมวิญญาณที่ป๋ายเสี่ยวฉุนหลอมออกมาได้สมบูรณ์แบบที่สุดในช่วงเวลาตลอดครึ่งปีมานี้

ถือยาไว้ในมือ ป๋ายเสี่ยวฉุนฮึกเหิมอย่างยิ่ง

หลังจากที่ส่งข้อความเสียงไปบอกป๋ายหลิน ภายใต้การพิทักษ์ของพวกจ้าวหลง เขาก็ห้อตะบึงไปยังกำแพงเมืองทันที

เมื่อมาถึงกำแพงเมือง ป๋ายหลินเองก็มาถึงแล้ว พอมองเห็นป๋ายเสี่ยวฉุน เขาก็เห็นยาสีทองที่อยู่ในมือของป๋ายเสี่ยวฉุนทันที

“ยารวมวิญญาณ?” ป๋ายหลินสีหน้าห้าวเหิม

“ใช่แล้ว!” บนใบหน้าของป๋ายเสี่ยวฉุนเผยรอยยิ้มลำพองใจ เขาถือยารวมวิญญาณไว้ในมือด้วยดวงตาเปล่งประกายวิบวับ มองออกไปยังนอกกำแพงเมือง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version